ตอนที่ 415 คุยโทรศัพท์กับเคอจื่อฉิง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 415 คุยโทรศัพท์กับเคอจื่อฉิง

หลินม่ายแค่นหัวเราะพลางพูด “พอเป็นเรื่องเงินนี่คุณช่างกระตือรือร้นเสียจริง! งั้นฉันขอถามคุณหน่อยว่าทำไม Unique ถึงไม่ถูกถอดออกจากห้าง เพราะความเมตตากรุณาของคุณที่เปลี่ยนความคิดงั้นเหรอ?”

สีหน้าผู้จัดการข่งดูอึดอัดเล็กน้อย “จะไปคิดเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นทำไมกันครับ ยังไงตอนนี้ Unique ก็ไม่ได้ถูกถอดออกจากห้างแล้วนี่”

หลินม่ายเอ่ยแฝงความประชดประชัน “ในฐานะที่เป็นผู้จัดการห้างที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในเจียงเฉิง คุณพูดได้แค่นี้เองเหรอคะ? ช่างเถียงข้างๆ คูๆ ได้เหมือนแม่ค้าปากตลาดไม่มีผิด! ฝ่ายที่เอาเปรียบกันคือห้างสรรพสินค้าของพวกคุณ คุณก็ต้องไม่คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว ในเมื่อไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย งั้นฉันจะคืนเงินค่าเสียหายให้คุณหนึ่งเฟินก็แล้วกันค่ะ ถึงจะไม่ได้คืนให้ห้าหมื่นหยวนเท่าเดิม แต่ก็ช่วยอย่าคิดเล็กคิดน้อยเลยนะคะ”

ผู้จัดการข่งถูกตอกกลับจนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

หลินม่ายเชิดคางขึ้นเอ่ยยั่วยุ “ก็แค่การเถียงข้างๆ คูๆ ฉันเองก็ทำได้!”

เธอพูดต่อ “ที่ Unique ไม่ได้ถูกถอนออกจากห้าง เพราะท่านเลขาธิการคณะกรรมการพรรคช่วยปกป้องเอาไว้ ไม่ใช่เพราะพวกคุณไม่ได้ทำลายข้อตกลงเสียหน่อย! ดังนั้นการที่คุณมาขอเงินค่าเสียหายคืนโดยไม่มีเหตุอันควรกับฉัน ฉันก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องคืนให้เลยสักนิด!”

หลินม่ายพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล จนผู้จัดการข่งไม่อาจค้านได้เลย

แต่ถ้าไม่เอาเงินค่าเสียหายคืนมา เขาก็หมดหนทางจะรายงานกับเบื้องบนได้ หน้าที่ผู้จัดการของเขาคงจบเห่แน่

ขณะที่ผู้จัดการข่งกำลังแสดงท่าทางที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี หลินม่ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “การทำธุรกิจน่ะ ให้ความสำคัญกับความสงบสันติ แม้พวกคุณไร้เมตตา แต่ฉันก็ไม่อาจไร้คุณธรรม ฉันก็ไม่ใช่คนมองการณ์ตื้นเขิน เงินห้าหมื่นหยวนนั้นฉันไม่ได้เห็นมันอยู่ในสายตาสักนิด ขอแค่คุณย้ายร้านเสื้อผ้า Unique ของฉันไปยังตำแหน่งดีๆ สักหน่อย ฉันก็จะคืนเงินห้าหมื่นนั้นให้พวกคุณทันที”

ในใจเธอรู้ดีว่าหากตนดึงดันไม่ยอมคืนค่าเสียหายให้อย่างเด็ดขาด ห้างเจียงเฉิงจะต้องใช้อำนาจกลั่นแกล้งเธอ ให้เธอทุกข์ทรมานแต่ไม่อาจระบายได้อย่างแน่นอน

แทนที่จะทำอย่างนั้น ไม่สู้ถอยก้าวหนึ่ง แล้วเสนอเงื่อนไขกับผู้จัดการข่ง มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย

ผู้จัดการข่งนึกว่าคงไม่ได้เงินค่าเสียหายห้าหมื่นหยวนนั้นกลับมาแล้ว จึงรู้สึกเป็นทุกข์เหลือทน เมื่อได้ยินหลินม่ายพูดเช่นนั้น เขาก็พลันดีใจกับข่าวดีที่คาดไม่ถึง เอ่ยตอบตกลงในทันที “ผมจะเปลี่ยนตำแหน่งให้ Unique เดี๋ยวนี้เลย”

แต่หลินม่ากลับทำสีหน้าเรียบนิ่ง โบกมือให้เขาเล็กน้อยแล้วก็ออกจากห้างไป

เมื่อกลับมาที่บ้าน หลินม่ายก็โทรหาเคอจื่อฉิงก่อนเป็นอันดับแรก ถามหล่อนว่าราคาเสื้อผ้าสำเร็จรูปของเมืองติดชายฝั่งกำลังขึ้นหรือลง

“ขึ้น” เคอจื่อฉิงตอบกลับมาอย่างชัดเจนเรียบง่าย “ขึ้นราคากันไม่ใช่น้อยๆ เลย”

หลินม่ายพลันโล่งใจ

เธอจะใช้กระแสของราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ หาถังทองกองโตมาให้เธอ

หลินม่ายกำลังคิดจะวางสาย ก็ได้ยินเคอจื่อฉิงพูดขึ้น “เธอไม่ได้มาที่กว่างโจวอยู่พักใหญ่แล้วนะ เมื่อไหร่จะมาอีกล่ะ?”

หลินม่ายถาม “มีสินค้าดีๆ บ้างไหม ถ้าไม่มีของดีฉันก็ไม่ไปหรอกนะ”

แม้เธอจะถามอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดจะขายสินค้าในการจัดการของศุลกากรเป็นจุดสูงสุดของชีวิตหรอก แค่ให้ครอบครัวร่ำรวยเฟื่องฟูขึ้นมาก็ได้แล้ว

สินค้าในการจัดการของศุลกากรเองก็ทำกำไรได้มากแค่ในยุคสมัยที่ยากจนข้นแค้นนี้ แต่ผ่านไปอีกสิบยี่สิบปี เศรษฐกิจของประเทศนี้ก็จะเฟื่องฟูขึ้น มีสิ่งของมากมายหลากหลาย สินค้านำเข้าจะกลายเป็นของธรรมดา ใครจะอยากได้สินค้าในการจัดการของศุลกากรที่เก็บดองค้างไว้ตั้งนานพวกนั้นกันล่ะ!

เคอจื่อฉิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “มียกทรงชั้นในล็อตหนึ่ง แล้วก็มีคุ้กกี้กับลูกกวาดอีกนิดหน่อย เธอจะเอาไหม?”

“ยกทรงชั้นในเหรอ”

แม้ว่ายกทรงชั้นในที่รับมาก่อนหน้านี้จะขายได้ไม่เลวที่ห้างสรรพสินค้า แต่หลินม่ายก็ไม่ได้คิดจะรับมาอีก

ยกทรงชั้นในที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศนั้นวาบหวิวเกินไป ล้ำสมัยเกินไปสำหรับเมืองเจียงเฉิง เป็นสินค้าสำหรับคนกลุ่มน้อย ซึ่งขายไม่ออกได้ง่ายมาก

“ยกทรงชั้นในฉันไม่อยากได้แล้ว ส่วนคุ้กกี้กับลูกกวาดเอาหมดเลย ถ้ามีน้ำตาลทรายแดงน้ำตาลทรายขาวด้วยก็ยิ่งดี”

หากในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ตลาดสดฝูตัวตัวมีน้ำตาลทรายแดงน้ำตาลทรายขาวที่ไม่ต้องใช้คูปองน้ำตาลซื้อ จะต้องหาเงินได้ก้อนโตแน่ๆ

ส่วนพวกลูกกวาด ถ้าซื้อกลับมาก็คงจะขายได้ไม่ยากเช่นกัน

เดือนเก้าเดือนสิบเป็นฤดูกาลแห่งงานมงคลสมรสพอดี คู่บ่าวสาวของงานมงคลเหล่านั้นก็ต้องการลูกกวาดมงคลด้วย

บวกกับเทศกาลไหว้พระจันทร์และงานวันชาติ ก็คงมีคนซื้อลูกกวาดไว้ต้อนรับแขกด้วยเหมือนกัน

นอกจากนี้ยังสามารถให้เฉินเฟิงขายลูกกวาดบางส่วนให้กับคู่ค้าของเขาได้เล็กน้อย แรงกดดันจึงไม่มากนัก

อีกฝั่งของสาย เคอจื่อฉิงแตะที่ใบหู พูดอย่างขอโทษ “น้ำตาลทรายแดงน้ำตาลทรายขาวก็พอมีอยู่หรอก แต่ถูกคนมีความสามารถซื้อไปแล้วล่ะ เจ้าพนักงานตัวเล็กๆ อย่างฉันไปโต้แย้งอะไรกับคนพวกนั้นไม่ได้เลย”

“ไม่เป็นไร” หลินม่ายคิดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “หลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ฉันจะไปกว่างโจวสักรอบแล้วกัน”

เคอจื่อฉิงเอ่ยตอบรับ แล้วพูด “มีแฮมกระป๋องที่ใกล้หมดอายุอยู่ล็อตหนึ่งพอดีเธอจะเอาไหม? ถ้าเอาฉันจะจองไว้ให้เธอก่อน?”

แฮมกระป๋องในยุคนี้เป็นของดีทีเดียว

หลินม่ายรีบพูด “งั้นเธอจองไว้เลย ส่วนคุกกี้กับลูกกวาดเองก็จองเอาไว้ให้ฉันด้วยนะ”

คิดไปคิดมา ก็กลัวเวลายิ่งยาวนานอุปสรรคยิ่งมาก จึงเอ่ย “พรุ่งนี้ฉันจะโอนเงินให้เธอ เธอช่วยฉันซื้อไว้เลยก็แล้วกัน จากนั้นก็ไปหาหัวหน้าข่ง ข่งลิ่งเสียง ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกว่างโจว บอกชื่อของฉัน ให้เขาช่วยดำเนินการฝากส่ง ฉันจะได้ชิงขายสินค้าล็อตนี้ในเทศกาลไหว้พระจันทร์เสียเลย”

เธอหยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยกำชับ “อย่าลืมให้ซองแดงเขาไปสัก 50 หยวนด้วยนะ ฉันคงไม่ไปกว่างโจวแล้วล่ะ”

อีกฝั่งของสาย เคอจื่อฉิงก็พูดขึ้นอย่างผิดหวัง “เธอไม่มากว่างโจวแล้วเหรอ?”

หลินม่ายพูดอย่างรู้สึกผิด “ฉันยุ่งเกินไปนี่นา”

เคอจื่อฉิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงดีใจขึ้นมา “ทำไมฉันต้องให้เธอมาที่กว่างโจวด้วยล่ะ? ฉันไปที่เจียงเฉิงเองก็ได้นี่ ฉันยังไม่เคยไปที่เจียงเฉิงเลยสักครั้ง”

หลินม่ายยิ้มพลางพูด “ดีเลยๆ ยินดีต้อนรับ! จะมาเมื่อไหร่เหรอ ฉันจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า”

เคอจื่อฉิงใคร่ครวญครู่หนึ่ง “เอาเป็นวันชาติแล้วกัน วันชาติเป็นวันหมั้นของเธอไม่ใช่เหรอ ฉันจะไปดื่มเหล้ามงคลของเธอนะ”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้เลย ได้เลย!”

หลังจากคุยโทรศัพท์กับเคอจื่อฉิงเสร็จแล้ว หลินม่ายก็โทรหาเฉินเฟิง ให้เขาช่วยตรวจสอบเรื่องความสัมพันธ์ของหวังหรงกับผู้บริหารบริษัทเสื้อผ้า Seaman

ในเมื่อหวังหรงท้าทายเธอแบบนี้ ก็คอยดูว่าจะมีวิธีตอบโต้กลับไปไหม

หลังจากวางสายแล้ว เธอก็หยิบหนังสือขึ้นมาเริ่มการเรียนด้วยตัวเอง

เรียนไปยังไม่ถึง15นาที ผู้จัดการข่งก็โทรศัพท์มาหา บอกว่าเขาแก้ไขปรับปรุงตำแหน่งของบูธ Unique ให้แล้ว ขอให้เธอรีบส่งเงินห้าหมื่นหยวนให้เดี๋ยวนี้

หลินม่ายกลอกตา เอ่ยตำหนิต่อว่าอยู่ในใจ นายบอกให้ฉันส่งเงินให้ฉันก็ต้องให้หรือยังไง? โลกสวยจริงเชียว!

เงินน่ะให้ได้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องเล่นตัวสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ยังนึกว่าเธอเป็นลูกพลับนิ่ม ต่อไปก็คิดจะกลั่นแกล้งเธออีก

เธอพูดอย่างเย็นชา “จะรีบไปทำไมกันคะ? อีกสามเดือนให้หลังฉันถึงจะคืนเงินให้คุณค่ะ ถ้าไม่อยากรอก็ถอนฉันออกได้เลย”

ผู้จัดการข่งไม่นึกว่าหลินม่ายจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้ พลันพูดอย่างโมโห “ก็คุณบอกว่าขอแค่ผมเปลี่ยนตำแหน่งดีๆ ให้Unique คุณก็จะคืนเงินให้ทันทีเลยไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงมากลับคำกันล่ะ?”

หลินม่ายแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยันในใจ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงจนใจอย่างสุดแสน “เรื่องนี้จะโทษฉันไม่ได้นะคะ ถ้าโทษก็ต้องโทษพวกคุณที่ผิดสัญญาเองก่อนหน้านี้ ทำให้ใจฉันต้องหวาดผวา ฉันก็เลยเปลี่ยนใจ แล้วก็คำพูดนั้น ถ้าคุณยอมรับได้ อีกสามเดือนให้หลังฉันจะคืนเงินให้ หากไม่เห็นด้วยก็ไล่ฉันออกไปได้เลย”

อำนาจในการตัดสินใจอยู่ในมือของหลินม่าย ผู้จัดการข่งจำต้องยอมจำนน

หลินม่ายวางสายโทรศัพท์แล้วเรียนต่อ ก่อนจะมีคนมาเคาะประตู

หลินม่ายไปเปิดประตู ผู้มาเยือนนั้นคือเจิ้งซวี่ตงและวังเสี่ยวลี่

หลินม่ายพาพวกเขาเข้ามาข้างใน แล้วถาม “พวกคุณมาได้ยังไงกันคะ?”

วังเสี่ยวลี่ “ฉันมาส่งสมุดบัญชีค่ะ”

เจิ้งซวี่ตง “ผมมาส่งหนังสือแผนการพัฒนาครับ”

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกคุณช่างทำงานได้มีประสิทธิภาพจริงๆ ฉันชอบค่ะ”

เธอเชิญพวกเขานั่งลง แล้วดูสมุดบัญชีที่วังเสี่ยวเอามาก่อน

นับตั้งแต่เหรินเจียนเยียนหั่วเปิดกิจการ ธุรกิจก็ดีขึ้นทุกวัน

เธอปิดสมุดบัญชีและพูดกับวังเสี่ยวลี่ “ธุรกิจไม่เลวเลย คำแนะนำของฉันคือ นอกจากการหาหน้าร้านไว้เปิดร้านเรือธงของร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วสักร้านในบริเวณใกล้เคียงแทนร้านเซาเข่าในปัจจุบันแล้ว ยังสามารถเปิดร้านสาขาที่เจียต้าวโข่วกับซือเหมินโข่วสักแห่งได้ด้วย ละแวกใกล้เคียงของเจียต้าวโข่วนั้นมีมหาวิทยาลัยอยู่มาก ขอแค่ทำการตลาดได้ดี ก็จะมีนักศึกษามหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ไม่ต้องกลัวเลยว่าธุรกิจจะไม่รุ่ง ซือเหมินโข่วเป็นเขตย่านการค้า มีผู้คนหลั่งไหลคับคั่ง หากเปิดร้านสาขาที่นั่นก็เป็นทำเลที่ไม่เลวเหมือนกัน”

เจิ้งซวี่ตงพูดแทรกขึ้นมา “ผมเองก็เล็งพื้นที่ของซือเหมินโข่วอยู่เหมือนกัน และเตรียมจะเปิดร้านสาขาของเปาห่าวชือที่นั่นด้วย ให้ร้านสาขาอยู่ถัดจากอาคารพาณิชย์ซือเหมินโข่วจะดีที่สุด แบบนี้ลูกค้าที่ช้อปปิ้งกันจนเหนื่อยแล้ว ก็สามารถมากินอาหารที่ร้านของเราได้ทันที ที่ธุรกิจร้านอาหารทานเล่นทั้งสองร้านของเราในตอนนี้ต่างก็ไม่เลว มีความเกี่ยวข้องกับการที่อยู่ติดกับห้างเจียงเฉิงอยู่มาก”

หลินม่ายพยักหน้า “วิเคราะห์ได้ถูกต้องเลยค่ะ”

วังเสี่ยวลี่หันไปพูดกับเจิ้งซวี่ตง “ตอนที่คุณเลือกหน้าร้านให้ร้านเปาห่าวชือเสร็จแล้ว ก็ช่วยจัดการหน้าร้านของร้านสาขาสองแห่งให้ฉันด้วยเลยสิคะ”

เจิ้งซวี่ตงยังไม่ทันพูดอะไร หลินม่ายก็พูดขึ้น “เรื่องของตัวเองก็จัดการกันเองนะคะ”

วังเสี่ยวลี่เลิกคิ้วอย่างช่วยไม่ได้แล้วก้มหน้าลง

หลินม่ายเบนสายตาไปยังแผนการพัฒนาของเจิ้งซวี่ตง

ในหนังสือแผนการพัฒนาเขียนไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อยากจะเปิดร้านในพื้นที่ตรงไหน ทำไมถึงเลือกพื้นที่นี้ ทุกอย่างล้วนเอาไว้อย่างชัดเจน

หลินม่ายอ่านจบแล้ว ก็คืนหนังสือแผนพัฒนาให้กับเจิ้งซวี่ตง “ทำตามแผนพัฒนาที่คุณเขียนไว้เลยค่ะ”

เธอแย้มยิ้ม “ภาระบนบ่าของคุณหนักไม่เบาเลย ต้องซื้อหน้าร้านไม่น้อยเลยนะคะ ยังต้องหาพนักงานประจำที่ร้านสาขา ทั้งยังต้องจัดการดูแลร้านเปาห่าวชือที่ถนนเจี่ยเฟิงในตอนนี้ด้วย คนเก่งย่อมต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น ตอนที่ซื้อหน้าร้าน ก็ซื้อบ้านมือสองเอาไว้ด้วยเลยนะคะ เอาแค่หมู่บ้านที่อยู่ในเมืองเท่านั้นนะ”

เจิ้งซวี่ตงแปลกใจมากว่าทำไมหลินม่ายถึงอยากได้บ้านมือสองของหมู่บ้านในเมือง

แต่แปลกใจก็ส่วนแปลกใจ ทว่าเขาไม่ได้ถามหาเหตุผลกับหลินม่าย

ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขารู้ดีว่าคำไหนควรพูด คำไหนไม่ควรพูด

คุยเรื่องงานจบ ทั้งสองคนก็ขอลากลับไป

หลินม่ายเรียนหนังสือต่อ จนถึงเวลาประมาณสี่โมงครึ่งถึงวางปากกาลง ใส่เครื่องเขียนที่ซื้อให้โต้วโต้วไปโรงเรียนอนุบาลลงในกระเป๋าหนังสือใบเล็กที่เถาจืออวิ๋นทำให้เธอ

จากนั้นถึงพกกระเป๋าใบเล็ก พร้อมกับชุดเสื้อผ้ายีนชุดนั้นที่เถาจืออวิ๋นทำให้โต้วโต้ว แล้วขี่จักรยานไปที่ห้างเจียงเฉิง และเห็นว่าผู้จัดการข่งย้ายบูธของ Uniqueไปยังตำแหน่งที่ไม่เลวอย่างที่คิด

แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งทองคำอย่างร้านเสื้อผ้า Seaman แต่ก็ไม่เลวแล้วล่ะ ลูกค้ามองมาสองสามคราวก็สามารถมองเห็นได้แล้ว

หลินม่ายพอใจอย่างมาก

เสื้อผ้าของ Unique ถูกกว่าของ Seaman ซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องราคา

พอตอนนี้ได้ตำแหน่งที่ไม่เลว ธุรกิจก็เฟื่องฟูขึ้นมา พนักงานทั้งสามคนยุ่งจนไม่ได้หยุดพัก

กลับกันทาง Seaman ธุรกิจพลันซบเซาลงมาทันที

เหล่าพนักงานขายของเสื้อผ้า Seaman ชำเลืองมองมาที่เสื้อผ้า Unique เป็นครั้งคราว

ผู้จัดการข่งเห็นหลินม่ายก็เดินเข้ามาทันที “เป็นไงบ้าง ตำแหน่งบูธถูกใจไหม?”

หลินม่ายพูดอย่างเรียบเฉย “ก็พอได้ค่ะ”

พูดจบเธอก็ไม่คิดจะเสวนากับเขาอีก พลันหมุนตัวเดินไปทันที ทิ้งให้ผู้จัดการข่งยืนกระฟัดกระเฟียดอยู่ตรงนั้น

กวนหย่งหัวได้รับข่าวว่าห้างเจียงเฉิงได้ปรับให้บูธของเสื้อผ้า Unique ย้ายจากในซอกหลืบมาอยู่ตำแหน่งที่ค่อนข้างดี จึงรีบมาดูสถานการณ์ทันที

เมื่อเห็นว่าธุรกิจของบูธเสื้อผ้าร้านตัวเองขายได้ไม่ดี แต่ธุรกิจของเสื้อผ้า Unique กลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สีหน้าก็พลันบึ้งตึงขึ้นมาทันใด

เขาไปหาผู้จัดการข่งเพื่อถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นทันที

ผู้จัดการข่งรู้ว่าเขาได้รับการสนับสนุนจากผู้อำนวยการหูแห่งคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูป

ที่ย้าย Unique ไปอยู่ในหลืบ ก็เป็นความคิดของผู้อำนวยการหู

ดังนั้นเขาจึงล่วงเกินผู้บริหารบริษัทเสื้อผ้า Seaman ไม่ได้

แต่เขาคิดวิธีรับมือเอาไว้นานแล้ว

เขาผายมือสองข้างออก “ผมเองก็ไม่มีทางเลือก เลขาธิการคณะกรรมการพรรคให้ห้างเราจัดการแบบนี้นี่ครับ”

แค่โยนทุกอย่างไปให้เลขาธิการคณะกรรมการพรรคก็พอแล้ว

ถึงห้างเจียงเฉิงของพวกเขาล่วงเกินผู้อำนวยการหูไม่ได้ แต่เลขาธิการคณะกรรมการพรรคจะต้องกลัวเขาด้วยเหรอ?

ผู้จัดการข่งเองก็ไม่กลัวว่าผู้อำนวยการหูจะไปเผชิญหน้ากับเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเช่นกัน

เมื่อวานเขาเพิ่งจะถูกท่านเลขาธิการตำหนิมา กล้าไปหาเขาที่ไหนกัน!

อีกอย่างเมื่อวานท่านเลขาธิการก็ตำหนิผู้อำนวยการหูในเรื่องที่กดขี่องค์กรเอกชนในท้องถิ่นของตัวเอง แต่เขากลับไม่รู้จักสำนึกผิด หน้าไหว้หลังหลอก แล้วกดขี่องค์กรเอกชนในท้องถิ่นของตัวเองต่อไป

ถ้าเขาเผชิญหน้ากับเลขาธิการคณะกรรมการพรรคด้วยเรื่องนี้ เขาคงอยากถูกตำหนิอีกครั้ง แล้วยังอยากเสียตำแหน่งด้วยล่ะมั้ง?

กวนหย่งหัวได้ยินว่าเป็นเจตนาของท่านเลขาธิการคณะกรรมการพรรค ก็ตกตะลึงในทันที

ก่อนแสดงท่าทางก้าวร้าว แล้วเดินจากไปด้วยสีหน้าดำทะมึน

ครั้นหลินม่ายออกจากห้างเจียงเฉิง ก็ขี่จักรยานไปที่ตลาดสดฝูตัวตัว

ตอนที่กินอาหารเที่ยง โต้วโต้วบอกว่า หล่อนอยากกินมะเขือเทศผัดไข่ คุณย่าฟางจึงกำชับหลินม่ายเป็นพิเศษว่าตอนมาทำอาหารช่วงบ่าย ให้ซื้อมะเขือเทศมาด้วย

หลินม่ายเดินไปมาอยู่ในตลาดสดสองสามรอบ ก็ยังไม่เห็นว่ามีมะเขือเทศขายเลย

เธอถามคุณป้าพนักงานขายที่ทำหน้าที่ขายผักคนหนึ่ง “วันนี้ไม่มีมะเขือเทศขายเหรอคะ หรือว่าเดิมทีไม่ได้รับมะเขือเทศมาอยู่แล้ว?”

คุณป้าพนักงานขายคนนั้นหัวเราะ “นี่มันฤดูไหนกันแล้ว จะยังมีมะเขือเทศขายที่ไหนกัน? มันพ้นหน้ามะเขือเทศไปตั้งนานแล้วล่ะค่ะ อีกเดี๋ยวก็มีผักอีกหลายอย่างที่ใกล้จะหมดหน้าของมันแล้ว หลังจากนี้คงได้แต่ขายผักกาดขาว ปวยเล้ง ตังโอ๋พวกนี้ ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ แตงกวา มะเขือยาว…ทั้งหมดนี้คงไม่มีขายแล้ว”

หลินม่ายพลันสะกิดใจ ตนสามารถปลูกผักนอกฤดูไว้ขายได้

ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงเวลานี้ ฝูตัวตัวสามารถโกยกำไรก้อนโตได้จากการขายผักนอกฤดูกาล

แม้จะไม่มีมะเขือเทศขาย แต่หลินม่ายกลับค้นพบเรื่องนี้ อีกทั้งยังมีเป็ดอ้วนพีสองสามตัวที่ขายไม่หมด จึงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ

จุดมุ่งหมายของตลาดสดฝูตัวตัวนั้นคือความสดใหม่ไม่ค้างคืนของสัตว์ปีกและปลาที่ยังเป็นๆ จะต้องขายให้หมดในวันนั้น

เพราะหากขายไม่หมด ตอนกลางคืนจะไม่มีพื้นที่เลี้ยงชั่วคราว และไม่มีคนให้อาหารด้วย แถมผู้คนในยุคนี้ก็ไม่ชอบซื้อเนื้อไก่เนื้อเป็ดและปลาที่ตายแล้วด้วย

ดังนั้นสัตว์ปีกและปลาจะต้องควบคุมปริมาณทั้งหมด โดยปกติไม่ถึงห้าโมงเย็นก็ขายหมดแล้ว

หลินม่ายซื้อเป็ดอ้วนตัวหนึ่งกับปลาเฉาฮื้อตัวใหญ่ตัวหนึ่ง หลังให้พนักงานจัดการทั้งหมดให้เรียบร้อยแล้ว ก็ซื้อผักเขียวอีกสองสามอย่างแล้วจึงไปที่วิลล่า

ที่ลานด้านหน้ามีเพียงโต้วโต้วกับอาหวงกำลังเล่นกันอยู่เท่านั้น

หลินม่ายใช้กุญแจไขเปิดประตูรั้ว เข็นจักรยานเดินเข้าไป แล้วถามโต้วโต้ว “คุณปู่ทวดย่าทวดล่ะ?”

โต้วโต้วพูดเสียงเจื้อยแจ้ว “พวกเขาเล่นจนเหนื่อยแล้ว ก็เลยพักผ่อนอยู่ในบ้านกันหมดค่ะ”

หลินม่ายปิดประตูรั้วเรียบร้อยแล้ว จึงจอดรถจักรยานเอาไว้ ก่อนจะหยิบกระเป๋าหนังสือใบเล็กที่เถาจืออวิ๋นทำให้โต้วโต้วขึ้นมา เขย่าไปมาตรงหน้าเธอ “แต่นแตนแต๊น ดูซินี่อะไร?”

โต้วโต้ววิ่งเข้ามาอย่างลิงโลด ดีอกดีใจสุดๆ “กระเป๋าหนังสือใบน้อย!”

จากนั้นก็ให้หลินม่ายสะพายบนหลังให้หล่อนอย่างแทบอดใจรอไม่ไหว แล้ววิ่งไปยังวิลล่า

วิ่งไปตะโกนไป “ปู่ทวดย่าทวดขา หนูมีกระเป๋าหนังสือใบใหม่แล้ว!”

อาหวงตามเธออยู่ข้างหลัง วิ่งส่ายหัวดุกดิกพร้อมส่งเสียงร้องบ้อกแบ้ก

หลินม่ายแย้มยิ้มบาง แล้วถือเป็ดอ้วนและผักเขียวที่ซื้อเดินเข้าไปในวิลล่าด้วยเช่นกัน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เอาสิ มาท้าทายหลินม่ายแบบนี้ ก็เจอโต้กลับไปแบบเจ็บๆ มั่ง

ไหหม่า(海馬)