นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 257 หย่าร้าง6

ผู้ชายคนนี้คิดถึงแต่เรื่องไร้สาระพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา นางจะหน้าไม่อายเหมือนเขาไม่ได้

สวีฉางหลินขมวดคิ้ว แต่ก็รู้ว่าหากไม่หยุดภรรยาก็จะโกรธแล้ว จึงหยุดมือลง

เห็นเขาหยุดมือแล้ว โจวกุ้ยหลานรู้ว่าเขาคิดถึงความรู้สึกของนาง ในใจก็อ่อนลง ขยับเข้าไปใกล้ พร้อมกระซิบพูดกับเขาว่า “ข้างในเรือนบ้านเรามีสี่ห้องนอนไม่ใช่หรือ? เราอยู่ด้านทิศใต้ ให้พวกเขาอยู่ห้องทางด้านทิศตะวันออก เราปิดประตูห้องหลักใช้ชีวิตของเราเอง ต่างก็ไม่รบกวนกัน เป็นไง?”

สวีฉางหลินครุ่นคิดคำพูดของภรรยาตนเอง พร้อมพูดขึ้นว่า “ต้องนอนกับข้าทุกคืน”

โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่กลัวเหนื่อยหมดแรงตายหรือ?”

“ไม่ ร่างกายของข้าแข็งแรงดี จะลองดูดีไหม?” สวีฉางหลินพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

โจวกุ้ยหลานกัดเขาหนึ่งที คนอันธพาลคนนี้ บ้าบอไปแล้วจริงๆ

“หากข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าห้ามบังคับข้า และข้าต้องมีเวลาพัก ทุกๆสิบวันต้องพักสี่วัน” โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นมา

เรื่องนั้นต้องสูญเสียกำลังเยอะมาก นางเหนื่อยไม่ไหวจริงๆ

สวีฉางหลินครุ่นคิด คิดว่าแบบนี้ไม่ได้ เดือนหนึ่งก็มีเวลาแต่ยี่สิบวัน ยังต้องพักอีกแปดวัน งั้นก็เหลือแค่สิบสองวัน

“ไม่ได้ ข้าเสียเปรียบ”

โจวกุ้ยหลานกัดฟัน ผู้ชายคนนี้รีบฉวยโอกาสอย่างเห็นได้ชัดเจน

แต่เมื่อคิดถึงโจวคายจือที่อยู่ข้างใน นางจึงจำต้องระงับความโกรธของตนเองไว้ พร้อมถามขึ้นว่า “งั้นเจ้าจะเอายังไง?”

“เดือนหนึ่งให้เจ้าพักสิบวัน” สวีฉางหลินพูดเงื่อนไขตนเองขึ้นมาอย่างสงบ

โจวกุ้ยหลานครุ่นคิดดู แล้วพยักหัวยิ้มพูดขึ้นว่า “ดี”

แบบนี้ก็ไม่เลว บวกกับช่วงมีประจำเดือนอีกสิบวัน….

“บวกกับช่วงมีประจำเดือน”

สวีฉางหลินพูดย้ำขึ้นมา

โจวกุ้ยหลานอ้าปากค้าง

คิดถึงช่วงเวลาต่อไปที่น่าเศร้า โจวกุ้ยหลานกัดฟัน สุดท้ายยังคงยื่นข้อเสนอว่า “เจ้าไปสู่ขอเมียน้อยสักคนดีไหม?”

“ข้าไม่มีอารมณ์กับผู้หญิงคนอื่น” สวีฉางหลินพูดปฏิเสธ

เขาเคยพูดแล้ว เขาจะมีภรรยาเพียงคนเดียว ชั่วชีวิตนี้ก็จะมีภรรยาเพียงคนเดียว

โจวกุ้ยหลานรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริงๆ ในขณะที่กำลังต่อรองกับสวีฉางหลิน ทางด้านนั้นเหล่าไท่ไท่พาโจวคายจือกับลูกอีกหลายคนออกมาพร้อมกัน

“สวีฉางหลิน เจ้าลองคิดดู พี่สาวใหญ่ของข้าไปช่วยเราทำงาน เราก็จะสบายขึ้นไม่ใช่หรือ?” โจวกุ้ยหลานรีบฉวยโอกาสหลอกล่อสวีฉางหลิน

แต่สวีฉางหลินกลับพูดขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ข้าไม่เหนื่อย”

โจวกุ้ยหลานแอบกัดฟัน

คนคนนี้ร่างกายแข็งแรงมาก ไม่อย่างนั้นจะแบกคนคนหนึ่งมาจากอีกหมู่บ้านหนึ่งอย่างไม่หอบเลยได้อย่างไร?

ทางด้านนั้น เหล่าไท่ไท่ทะเลาะกับป้าซุนขึ้นมาแล้ว สักพัก ป้าซุนคนนั้นก็ถูกเหล่าไท่ไท่ประทับดันลงไป

โจวกุ้ยหลานฟังคำพูดของเหล่าไท่ไท่ เด็กๆพวกนั้นอยู่บ้านอย่างย่ำแย่มาก แล้วโจวคายจือก็พูดออกมาว่าจะหย่าร้าง

“เจ้าจะตกลงหรือไม่ตกลง?” โจวกุ้ยหลานกัดฟันถาม

สวีฉางหลินพูดขึ้นมาอย่างสงบว่า “ภรรยา เรื่องนี้ข้าไม่ยอมถอย”

ภรรยาอยากให้พี่สาวใหญ่ของนางมีชีวิตที่ดี ก็ต้องคิดถึงเขาที่เป็นสามีด้วย ชีวิตที่ดี ต้องดิ้นรนมาด้วยตนเอง

“ได้ๆได้ ข้ารับปากเจ้า เรื่องนี้เจ้าต้องช่วยพี่สาวใหญ่ของข้า เข้าใจไหม?” โจวกุ้ยหลานไม่มีทางเลือก จึงจำต้องยอมจำนน

สายตาสวีฉางหลินแฝงไปด้วยรอยยิ้ม คิดถึงชีวิตต่อไปที่มีความสุข แล้วก็อยากให้เรื่องนี้จบเร็ว

โจวกุ้ยหลานพูดเสร็จ ก็รีบเดินไป ได้ยินป้าซุนพูดว่าหย่าร้างก็หย่าร้าง จากนั้นก็หิ้วซุนโก่วต้านขึ้นมา ให้กํานันเขียนหนังสือหย่าร้าง

ทั้งสองคนต่างเขียนหนังสือไม่เป็น งั้นจึงต้องประทับลายนิ้วมือ ซุนโก่วต้านมองดูโจวคายจือที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่พอใจ

“ครั้งนี้ทำให้แม่โกรธอย่างมาก เจ้าคุกเข่าขอโทษแม่ แล้วให้น้องสาวของเจ้าสอนวิธีเผาถ่านให้กับพวกเรา ชีวิตของเราก็จะสามารถดำเนินไปต่อ ทำไมเจ้าถึงได้พูดยากขนาดนี้?”

คำพูดนี้ โจวคายจือฟังมามากพอแล้ว ที่ผ่านมานางก็ทำเช่นนี้ เดิมยังรู้สึกลังเล แต่เมื่อได้ยินซุนโก่วต้านพูดเช่นนี้ จิตใจของนางกลับสงบลง ยื่นมือประทับลายนิ้วมือตนเองลงไป

ป้าซุนที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้ว ดึงนิ้วโป้งซุนโก่วต้านมา แล้วประทับลงไปบนหย่าร้างอย่างแรง จากนั้นก็เชิดหน้า มองดูเหล่าไท่ไท่กับโจวคายจืออย่างเหยียดหยาม พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “ครั้งนี้ประทับลายนิ้วมือแล้ว ข้าจะรอพวกเจ้าร้องห่มร้องไห้มาขอร้องข้า ถึงตอนนั้นใช่ว่าเงินแค่นี้จะสามารถทำอะไรพวกเราได้”

“ไสหัวไป รีบไสหัวไป” เหล่าไท่ไท่ตะคอกพูดขึ้น

เห็นสองคนนี้แล้วก็หงุดหงิด

“เจ้านึกว่าข้าอยากอยู่ที่บ้านของเจ้าหรือ? หลานล้วนเป็นของตระกูลข้า ข้าจะเอาไป ผู้หญิงสามคนไม่เอา สิ้นเปลือง”

โจวคายจือได้ยินแบบนี้แล้วก็รีบยื่นมือไปโอบกอดเสี่ยวฮู่กับลูกสาวของนางทั้งสามคน

นี่เป็นชีวิตของนาง พาด้วยไปได้

“ข้าจะอยู่กับแม่ ไม่ไปกับพวกเจ้า” ต้าหู่ตะโกนพูดขึ้น

เสี่ยวฮู่ก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าก็จะอยู่กับแม่….”

คราวนี้ป้าซุนยิ่งโกรธโมโห พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าจะอยู่กับแม่ของพวกเจ้าใช่ไหม? ได้ งั้นก็ไปเลย ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตรอดไหม ถึงตอนนั้นถึงบ้านจะต้องมาคุกเข่าขอร้องพวกเรา”

นางไม่เคยเห็นเด็กพวกนี้อยู่ในสายตา ตอนนี้ไม่ยอมกลับไปกับนาง งั้นก็ดี ให้พวกเขาได้รู้จักความลำบากที่อยู่ข้างนอก

“พวกเจ้าไม่เอาเด็กพวกนี้ งั้นก็เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย เด็กทั้งห้าคนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของพี่สาวใหญ่ข้าคนเดียว” โจวกุ้ยหลานพูดขึ้น

“เขียนก็เขียน นึกว่าจะกลัวพวกเจ้าหรือไง?” ป้าซุนตอบกลับ

มีคนช่วยนางเลี้ยงลูก นางจะได้ประหยัดค่าอาหาร อีกอย่าง อีกไม่กี่วัน พวกเขาทั้งบ้านก็จะต้องร้องห่มร้องไห้มาขอร้องนาง

กํานันขมวดคิ้ว กำลังคิดอยากที่พูดเตือน ป้าซุนที่อยู่ทางด้านนั้นก็หันมาพูดขึ้นว่า “รีบเขียนเถอะ”

ใบหน้ากํานันโกรธขึ้นมา นี่คุยอยู่กับใคร?

ทันใดนั้นก็ไม่อยากพูดอะไรอีก เอาพู่กันขึ้นมาเขียนต่อ รอเขียนเสร็จก็ให้ทั้งสองฝ่ายดู ป้าซุนคนนั้นอ่านหนังสือไม่ออก จึงพูดกับกํานันว่า “เจ้าช่วยอ่านที”

คราวนี้กํานันแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก เขาเคยถูกสั่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงไม่สนใจ ยื่นเอกสารให้กับโจวต้าไห่

โจวต้าไห่รีบรับมา แต่ตนเองก็อ่านไม่ออก จึงรีบหันไปมองเหล่าไท่ไท่ สวีฉางหลินก็เดินมาพอดี ยื่นมือคว้าเอากระดาษแผ่นนั้นไปมองดู จากนั้นก็อ่านให้โจวกุ้ยหลานฟังด้วยเสียงต่ำอย่างคร่าวๆ

ที่จริงก็ไม่ได้เขียนอะไร ก็แค่ยกลูกให้กับโจวคายจือ ต่อไปก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลซุน

“ลุงกํานันเขียนได้ชัดเจนดี พวกเด็กๆมาประทับลายนิ้วมือด้วย” โจวกุ้ยหลานพูดชมกํานัน จากนั้นก็หันไปพูดกับพวกเด็กๆ

เด็กๆพวกนั้นลังเล หันไปมองโจวคายจือ แล้วก็หันไปมองซุนโก่วต้าน ซุนโก่วต้านอยากพูดอะไร ป้าซุนถลึงตาใส่เขา เขาจึงไม่กล้าพูดอะไร