เมื่อส่งพวกนางออกมายังปากประตูของอวี้เหอย่วน อาหมานก็หยุดฝีเท้าลง นางเชิดหน้าขึ้นแล้วเอ่ยกับทุกคนด้วยท่าทางหยิ่งผยองว่า “พระชายาของพวกเราเป็นคนใจดีมีพระเมตตา แต่ข้าไม่ใช่ นับจากนี้ไปเจ้าทั้งสามจงสงบเสงี่ยมเจียมตนให้มากกว่านี้ อย่าทำให้พระชายาต้องโมโห”
เมื่อนางกล่าวจบก็โยนกริชในมือออกไปปักเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ยอดไม้สั่นไหวทำให้ใบไม้บางส่วนร่วงหล่นลงมา
พวกนางทั้งสามไม่อาจซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ในใจได้อีกต่อไป
อาหมานคงจะเป็นผู้ที่พระชายาปลูกฝังมาเป็นแน่
“ทั้งสามจำได้แล้วหรือไม่”
จี้หมัวมัวตอบรับด้วยสีหน้าซีดเผือด นางกำนัลอีกสองนางไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา
พวกนางฝืนร่างกายเดินออกมาจากอวี้เหอย่วนกลับไปยังที่พักของตน ชิงอวี้เอนกายพิงไปที่กำแพง ร่างกายอ่อนแรงทรุดลงทันใด “ข้าตกใจแทบแย่ พระชายาอ๋อง…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…”
เจี้ยงจูสีหน้าซีดเผือดลงเช่นกัน นางพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วกล่าวว่า “นั่นน่ะสิ ไม่เหมือนกับพระชายาอ๋องที่ข้าจินตนาการเอาไว้สักนิด…”
บรรดาสตรีผู้สูงศักดิ์ในพระราชวัง ผู้ใดบ้างที่ไร้ท่าทางอันสง่า สุภาพ อ่อนโยน แม้แต่ยามที่พวกนางลงโทษผู้อื่นก็ทำเพียงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็จะมีบ่าวรับใช้ลงมือจัดการแทน เหนียงเหนียงแต่ละนางล้วนสง่างามและดูมีเกียรติ
แต่เหตุใดพระชายาอ๋องผู้นี้ จู่ๆ จึงได้หยิบกริชออกมาโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนั้น
ชิงอวี้พิงกำแพงพยายามทำจิตใจให้สงบลง ก่อนจะเอ่ยถามเจี้ยงจูว่า “เจ้าว่า ที่พระชายาอ๋องเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋องรู้เรื่องหรือไม่”
บัดนี้หัวใจของเจี้ยงจูยังคงเต้นเร็วนัก นางใช้มือลูบไปที่หน้าอกแล้วถอนหายใจว่า “ต่อให้ทรงรู้แล้วอย่างไร จากที่ข้ามองดู ท่านอ๋องก็แตกต่างจากคนทั่วไป ไม่แน่ว่าอาจทรงชื่นชอบที่พระชายาอ๋องเป็นเช่นนี้”
ชิงอวี้ดูสิ้นหวัง “ถ้าเช่นนั้น พวกเรา พวกเราจะไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากหรือ”
เจี้ยงจูครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะตอบออกมาช้าๆ “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก”
ชิงอวี้เบิกตากว้างขึ้นทันที ใบหน้าของนางตกตะลึง “เจี้ยงจู เจ้าหวาดกลัวเสียจนเสียสติไปแล้วหรือ”
นางกล่าวพลางเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเจี้ยงจูเพื่อดูว่านางป่วยหรือไม่
เจี้ยงจูเอนหน้าหลบหนี น้ำเสียงดูสงบลงกว่าเดิม “ข้าไม่ได้เสียสติไป ชิงอวี้ เจ้าลองคิดดูว่าบัดนี้การที่เราดูแลเครื่องเทศอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง สบายกว่างานในวังมากไม่ใช่หรือ”
ชิงอวี้ครุ่นคิดแล้วพยักหน้า จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ที่พวกนางได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็นนางกำนัลเจี้ยวอิ่นเมื่อสามปีก่อน ก็ไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ใดเป็นการพิเศษ โดยมากแล้วมักจะศึกษากฎและมารยาท นอกจากนั้นก็เรียนรู้เรื่องการหลับนอน หากจะกล่าวว่าเหนื่อยก็คงไม่ใช่ แต่ทว่า…
ไม่รู้ว่านางนึกถึงสิ่งใดอยู่ แววตาของชิงอวี้ฉายถึงความหวาดกลัวออกมา
เจี้ยงจูก็รู้สึกเช่นเดียวกัน “สามปีมานี้มีคืนใดบ้างที่พวกเราได้นอนหลับอย่างสงบสุข ทางกลับกัน เมื่อเดินทางมาถึงจวนอ๋องแห่งนี้ และได้รับมอบหมายให้ดูแลในเรื่องเครื่องเทศ ข้ารู้สึกว่าผ่อนคลายมากกว่าเดิม ในตอนแรกข้าคิดว่าพระชายาอ๋องจะเป็นเช่นสตรีชั้นสูงทั่วไปที่เคยพบ เมื่อพระชายาย้ายเข้ามาอยู่ในจวนแล้วก็คงจะจัดการให้พวกเราเข้าปรนนิบัติท่านอ๋อง แต่จากเมื่อครู่มองดูแล้วเราคงไม่ต้องทำเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใด เราอาศัยอยู่ในจวนอ๋องมีกินมีดื่มไม่ต้องกังวล อีกทั้งเราคือนางกำนัลที่ฮ่องเต้ทรงประทานมาให้เป็นรางวัล เพียงแค่เราไม่ทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง ไม่ว่าใครก็คงไม่กล้าข่มเหงเรา เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ชิงอวี้ยังคงคิดไม่ตก นางกัดริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “เจี้ยงจู เมื่อครู่เจ้าก็เอ่ยออกมาเองว่าพวกเรานั้นคือรางวัลที่ฮ่องเต้ประทานมาให้ หากเราไม่ได้ปรนนิบัติท่านอ๋อง แต่เจ้าคิดว่าผู้อื่นจะกล้ามาสู่ขอเราหรือ และหากเป็นเช่นนี้พวกเรา…พวกเราก็จะต้องโดดเดี่ยวไปจนตายหรือ”
เจี้ยงจูเหล่ตามองด้วยท่าทางแข็งทื่อราวกับแท่งเหล็ก “เหตุใดจึงต้องออกเรือนเล่า การออกเรือนนั้นก็เพื่อจะได้มีอาหารกินและเครื่องนุ่งห่มใช้ เราใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องดื่มและเครื่องนุ่งห่ม เหตุใดจะต้องดิ้นรนไปเป็นภรรยาคนอื่น แล้วคอยซักผ้าทำกับข้าวให้พวกเขาเล่า พวกเราลำบากลำบนมาครึ่งชีวิต แต่ชายเหล่านั้นเมื่อแก่ตัวลงมีเงิน ก็จะรับอนุภรรยาเข้ามาอีก”
ประโยคของเจี้ยงจูราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางใจชิงอวี้ เป็นการเปิดมุมมองโลกใหม่ให้แก่นาง
“เจี้ยงจู เมื่อได้ยินเจ้ากล่าวแบบนี้ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าเป็นจริงดังนั้น…”
โดยมากแล้วนางกำนัลในพระราชวังล้วนมาจากครอบครัวที่ยากจน แม้ว่าเมื่ออายุครบยี่สิบห้าปีพวกนางก็จะต้องออกจากวังแล้วเดินทางกลับบ้านเกิด แต่นางกำนัลผู้ที่เคยเห็นความรุ่งเรือง ใช้ชีวิตกินดีมีสุขอยู่ในพระราชวัง นอกเสียจากบิดามารดาอันเป็นที่รักแล้ว ไม่มีสิ่งจูงใจใดที่จะทำให้พวกนางกลับไปยังบ้านเกิดอีก บิดาของชิงอวี้ออกรบและจากไปเมื่อหลายปีก่อน เจี้ยงจูจึงมีเพียงมารดา พี่ชายและพี่สะใภ้ บ้านนั้นนางคงไม่อาจกลับไปได้อีก
“ไปกันเถอะ เข้าไปในเรือนของพวกเรากัน” เจี้ยงจูเอื้อมมือออกไปทางชิงอวี้
ชิงอวี้จับมือของเจี้ยงจูเอาไว้ ทั้งสองคนเดินตรงเข้าไปด้านในด้วยกัน
ภายในลาน แสงแดดส่องกระทบ ใบไม้เขียวชอุ่ม
จี้หมัวมัวรีบเดินตรงเข้าไปที่ร้านเรือนด้านหน้าเพื่อพบกับจั่งสื่อ
จั่งสื่อเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษรของอวี้จิ่นได้ไม่นาน เขากำลังรู้สึกปวดใจที่ท่านอ๋องไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อจี้หมัวมัวเดินตรงมาก็ได้แต่ถอนหายใจ
“หมัวมัว เหตุใดจึงถอนหายใจเช่นนั้น”
“จั่งสื่อ หน้าที่นี้ข้าคงไม่อาจทำได้อีกต่อไป”
เมื่อฟังเสียงจี้หมัวมัวถอนหายใจออกมา จากนั้นก็เล่าเรื่องอันยืดยาวให้ฟังจนเสร็จสิ้นแล้ว สีหน้าของจั่งสื่อก็ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ ผ่านไปชั่วครู่จึงได้เอ่ยว่า “เนื่องจากเป็นเช่นนี้ หมัวมัวจึงต้องพยายามให้มากกว่าเดิม และชี้นำพระชายาให้กลับมาสู่หนทางปกติให้จงได้”
จี้หมัวมัวทำสีหน้าหม่นหมองแล้วกล่าวออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เดิมทีข้าคิดว่าเพียงต้องเผชิญหน้ากับการทำให้ท่านอ๋อง และพระชายาอ๋องต้องไม่พอพระทัยเท่านั้น แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ ที่ข้าเดินทางมาในวันนี้ก็เพื่อต้องการบอกกับจั่งสื่อว่า นับจากนี้ไปข้าจะดูแลเพียงแค่บ่าวรับใช้ ส่วนท่านอ๋องและพระชายาอ๋องทั้งสองล้วนมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง ข้าไม่อาจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้”
เมื่อจี้หมัวมัวกล่าวจบ นางก็หันหลังเดินจากไป
“หมัวมัว หมัวมัว!” จั่งสื่อไล่ตามไปแต่ไม่ทัน เขากระทืบเท้าแล้วทำท่าห่อเหี่ยว “เมื่อพบเจอกับปัญหาก็ถอยหนี ไม่อาจคาดหวังสิ่งใดกับสตรีได้จริงๆ!”
ตัวเขาในฐานะจั่งสื่ออาจจะคอยตักเตือนท่านอ๋องได้ แต่จะไปยุ่งเกี่ยวกับพระชายาได้อย่างไร เมื่อคิดได้ดังนั้นชายชราก็รู้สึกว่าอนาคตในวันข้างหน้าช่างมืดมนเหลือเกิน
บัดนี้เจียงซื่อจึงใช้ชีวิตได้อย่างสงบ
ด้านของจิ่งหมิงฮ่องเต้เมื่ออ่านสาสน์ที่กราบทูลทั้งสิ้นเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เปิดอ่านจดหมายลับของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน
สำหรับจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้ว จดหมายลับที่ส่งมาจากทางองครักษ์จิ่นหลินน่าสนใจมากกว่าสาส์นกราบทูลของบรรดาขุนนางเหล่านั้นมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนั้นมีเรื่องที่เขารับสั่งลงไปเป็นการส่วนตัว
อาทิเช่น การสืบประวัติของพระชายาเยี่ยนอ๋องในอดีต
รายงานลับขององครักษ์จิ่นหลินนั้นมักจะใช้คำตรงไปตรงมาตอบได้อย่างชัดเจน
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงอ่านจบ ก็ได้คลายความกังวลในใจลง
พระชายาเยี่ยนอ๋องเติบโตมาในจวนไม่ได้ออกไปไหน นอกเสียจากรูปลักษณ์ที่งดงามแล้วนางก็ไม่มีสิ่งใดที่โดดเด่น อีกทั้งไม่ค่อยจะได้ติดต่อสนทนากับผู้ใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องกล่าวว่ารู้ทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ก็ไม่มีสิ่งใดติดขัด
ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบต่อเรื่องใหญ่ใด หลังจากที่ทอดพระเนตรดูแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้วางจดหมายลับเอาไว้ด้านข้าง เขามองซ้ายมองขวา แล้วหยิบหนังสือบทละครที่วางไว้ใต้ล่างจดหมายกองโตเป็นภูเขาเลากาขึ้นมาอ่านอย่างสนุกสนาน
งานเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสที่ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงกลับมามองเห็นได้เป็นปกติจะจัดขึ้นหลังจากนี้อีกสองวัน ซึ่งนับว่าเป็นงานเลี้ยงภายในตระกูล ดังนั้นผู้ที่ได้รับหนังสือเชิญจึงมีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้น
ซึ่งในวันนั้นเป็นจังหวะพอดีกับที่เจียงซื่อเดินทางกลับจวนบ้านเกิดเพื่อคารวะบิดามารดา เมื่อเป็นเช่นนี้คงทำได้เพียงส่งคนมาบอกนางที่จวนตงผิงปั๋ว ให้เดินทางไปช้าหน่อย
ไม่ต้องเอ่ยถึงสีหน้าของคนอื่นในจวนปั๋วว่ามีท่าทางเช่นไรเมื่อได้รับจดหมาย เจียงซื่อและอวี้จิ่นก็รีบนั่งรถม้ามุ่งตรงเข้าไปยังพระราชวังแต่เช้าตรู่
งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นในตำหนักฉางเซิง โดยให้ความสำคัญไม่ต่างจากเทศกาลตงจื้อและปีใหม่ งานเลี้ยงในพระราชวังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาให้ความสำคัญกับองค์หญิงฝูชิงเพียงใด
เจียงซื่อและอวี้จิ่นเดินทางมาถึงค่อนข้างเช้า เมื่อก้าวเข้าไปในประตูใหญ่ของห้องโถง ทั้งสองคนก็ต้องแยกออกจากกัน โดยมีโดยมีนางกำนัลเดินนำทั้งสองไปสู่ที่นั่งซึ่งจัดเตรียมไว้
เจียงซื่อเพิ่งจะนั่งลง ก็ได้ยินน้ำเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นว่า “น้องสะใภ้เจ็ด?”
ความรู้สึกหนาวเย็นที่ไม่อาจควบคุมได้แผ่ซ่านออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ในไม่ช้าก็พลุ่งพล่านไปสู่แขนขาทั้งสี่
เจียงซื่อถูไปที่นิ้วมืออันเยือกเย็นของนางแล้วมองไปยังต้นเสียง
พระชายาฉีอ๋องเผยอริมฝีปากเรียวบางยิ้มขึ้นเล็กน้อย ท่าทางของนางดูอ่อนโยนใจดีและเป็นมิตร “ในวันอภิเษกของน้องสะใภ้เจ็ดมีผู้คนมากมายเหลือเกิน คาดว่าคงจำข้าไม่ได้ ข้าคือพี่สะใภ้สี่ของเจ้า”