สายตาของเจียงซื่อเหลือบมองไปทางสตรีทั้งสองนางตรงหน้า “นางกำนัลเจี้ยวอิ่น?”
ใบหน้าของจี้หมัวมัวดูไร้ซึ่งความรู้สึก น้ำเสียงของนางดูสูงขึ้นเล็กน้อย “พระชายาอาจจะมิทราบว่าทางราชวงศ์มีกฎเช่นนี้มาโดยตลอด เมื่อองค์ชายทรงเจริญพระชันษาสิบสี่ปี ก็จะได้รับการชี้แนะเรื่องของเพศโดยนางกำนัลเจี้ยวอิ่น ทว่าท่านอ๋องยังอยู่ที่หนานเจียงเมื่อครั้นมีพระชันษาได้สิบสี่ปี ดังนั้นจึงไม่ได้รับการอบรมตามกฎเกณฑ์ ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาเหลือเกินที่ได้ส่งตัวนางกำนัลเจี้ยวอิ่นทั้งสองนางนี้มาชี้แนะให้…”
เจียงซื่อนั่งฟังอย่างสงบ
จี้หมัวมัวหยุดลงชั่วครู่ แล้วกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คาดมิถึงว่าท่านอ๋องจะเมินเฉยต่อนางกำนัลทั้งสอง ไม่สนใจปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ บัดนี้เมื่อพระชายาได้เข้ามาในจวนอ๋องแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไปจวนอ๋องอันใหญ่โตนี้จะมีพระชายาเป็นผู้ดูแลตัดสินใจเรื่องในจวนทั้งสิ้น ดังนั้นพระชายาโปรดจัดการเรื่องของนางกำนัลทั้งสองนี้ด้วยเถิดเพคะ”
“ไม่ทราบแม่นางทั้งสองมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร”
นางกำนัลเจี้ยวอิ่นทั้งสองสบตากัน ผู้ที่สวมกระโปรงสีชมพูย่อเข่าลงแล้วตอบว่า “บ่าวนามว่าเจี้ยงจูเพคะ”
สตรีชุดสีเขียวอีกนางหนึ่งจึงเอ่ยตามว่า “บ่าวนามว่าชิงอวี้เพคะ”
เจียงซื่อมองไปทางจี้หมัวมัว “ก่อนหน้าที่ข้าจะเข้ามาในจวนนี้ จัดการกับเจี้ยงจูและชิงอวี้อย่างไร”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จี้หมัวมัวก็รู้สึกโมโห
ทั้งที่ฮ่องเต้ประทานแม่นางทั้งสองนี้มาให้ท่านอ๋องเป็นสาวใช้ห้องข้าง ทว่าท่านอ๋องกลับโยนมาให้นาง
เผือกอันร้อนระอุมาอยู่ในมือเช่นนี้ นางเองก็ไม่รู้จะจัดการเช่นไรจึงจะเหมาะสม หากสั่งให้ไปทำงานหนัก เรื่องนี้เผยแพร่ออกไปคงไม่อาจอธิบายได้ แต่หากไม่จัดหาให้ทำสิ่งใดเลยก็คงขัดต่อประสงค์ของท่านอ๋อง ท้ายที่สุดแล้วด้วยความลำบากใจ นางจึงให้ทั้งสองรับผิดชอบเครื่องเทศ
“จัดการเครื่องเทศ?” เมื่อได้ยินจี้หมัวมัวกล่าวดังนั้น เจียงซื่อก็ยิ้มขึ้น “แม่นางทั้งสองเป็นผู้ที่ฝ่าบาทประทานมา มีสถานะสูงกว่าบ่าวทั่วไป และเครื่องเทศนับว่าเป็นของชั้นดี จากที่ข้าดูแล้วหมัวมัวจัดแจงให้แม่นางทั้งสองรับผิดชอบดูแลเครื่องเทศช่างทำได้เหมาะสมยิ่งนัก เข้ากันได้ดี”
จี้หมัวมัวเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย
เหมาะสม เข้ากันได้ดีงั้นหรือ
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ประทานนางทั้งสองมาให้บำเรอท่านอ๋อง การให้พวกนางไปรับผิดชอบเครื่องเทศจะเหมาะสมได้อย่างไร!
จะว่าไปแล้วคงเป็นเพราะพระชายาพระทัยกว้างขวางไม่พอ นางไม่อาจทนเห็นท่านอ๋องหลับนอนกับสตรีนางอื่นได้
เหอะๆ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเทียบได้กับสตรีชั้นสูงทั้งหลาย หามีลักษณะของนายหญิงไม่
ไม่ใช่สิ ไม่ว่าจะเป็นนายหญิงจากจวนใดล้วนไม่เคยได้ยินพวกนางกล่าวว่าไม่ให้สามีของพวกนางมีสาวใช้ห้องข้างมาก่อน พระชายาคิดว่าท่านอ๋องจะมีนางเพียงคนเดียวไปตลอดงั้นหรือ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง
จี้หมัวมัวเบ้ริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “พระชายาทรงล้อเล่นหรืออย่างไรเพคะ การที่หม่อมฉันมอบหมายให้แม่นางทั้งสองดูแลเรื่องเครื่องเทศเป็นเพียงหน้าที่ชั่วคราวเท่านั้น บัดนี้เมื่อพระชายาเข้ามาอาศัยในจวนแล้ว สตรีสองนางนี้ก็ควรจะเข้าปรนนิบัติท่านอ๋องตามคำสั่งของท่าน เช่นนี้จึงจะได้ไม่ขัดต่อพระประสงค์ของฮ่องเต้”
เจียงซื่อสีหน้าเคร่งขรึมลงแล้วเอ่ยถามกลับว่า “ให้ข้าส่งพวกนางไปปรนนิบัติท่านอ๋อง?”
จี้หมัวมัวตอบกลับอย่างไม่หวาดกลัว อีกทั้งแสดงท่าทีคิดแทนเจียงซื่อว่า “ท่านอ๋องเป็นชายหนุ่ม เรื่องบางเรื่องก็สามารถทำได้ตามอำเภอใจ ทว่าพระชายาอย่าได้ใจแคบเช่นนี้ มิเช่นนั้นอาจทำให้เสียชื่อเสียงเอาได้เพคะ…”
เจียงซื่อหัวเราะออกมา
เมื่อตอนก่อนออกเรือน นางมักได้ยินเรื่องชื่อเสียงมาจนคุ้นหู บัดนี้แม้นางจะออกเรือนแล้วก็ยังคงได้ยินคำอันคุ้นเคยซึ่งไม่อาจหลบเลี่ยงได้
คำว่าชื่อเสียงนี้…แทบกลืนกินผู้คนได้เลยเชียว
เสียงหัวเราะเมื่อครู่ของเจียงซื่อทำให้จี้หมัวมัวตกตะลึง
นางกล่าวสิ่งใดผิดไปหรือ เหตุใดพระชายาจึงขำออกมาเช่นนั้น
“ขอบใจหมัวมัวยิ่งนักที่คิดแทนข้า ว่าแต่ ข้ามีคำถามอย่างถามหมัวมัวสักหน่อย”
เชิญพระชายาตรัสถามเถิดเพคะ”
“ฮ่องเต้ทรงส่งนางกำนัลเจี้ยวอิ่นสองนางนี้มาเพื่อวัตถุประสงค์ใดในตอนแรก”
“แน่นอนว่าเป็นเพราะกังวลเรื่องการใช้ชีวิตอย่างสามีภรรยาของท่านอ๋อง ดังนั้นจึงทรงให้นางกำนัลเจี้ยวอิ่นสองนางนี้เดินทางมาชี้แนะท่านอ๋อง พระชายาคงจะทรงทราบถึงความหวังดีของฝ่าบาทที่มีต่อท่านอ๋อง”
“ความหวังดีของเสด็จพ่อนั้นข้าเข้าใจดี ไม่จำเป็นต้องให้หมัวมัวมาตักเตือน ทว่าหมัวมัวอาจลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนนี้ ข้าและท่านอ๋องได้เป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์…”
สีหน้าของจี้หมัวมัวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย
ลืมงั้นหรือ? ล้อข้าเล่นหรือไร ต่อให้ทุบนางจนตายก็ไม่อาจลืมได้ คืนหนึ่งถึงห้าน้ำเชียว!
นางไม่เคยพบเคยเห็นสามีภรรยาคู่ใดจะไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน
“ดูเหมือนหมัวมัวจะลืมไปแล้วจริงๆ ”
หมัวมัวกัดฟันเอ่ยคำออกมาสองคำจากซี่ฟันว่า “ไม่ลืม”
เจียงซื่อมองดูจี้หมัวมัวแล้วทำท่าทางเหมือนยิ้ม “ยังไม่ลืมก็ดี ข้าและท่านอ๋องได้เป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ นั่นหมายความว่าท่านอ๋องไม่ต้องการนางกำนัลเจี้ยวอวิ่นแล้ว การจัดหาหน้าที่อื่นให้พวกนางทำก็เหมาะสมดีแล้วนี่ ไม่เช่นนั้นจะให้จวนอ๋องเลี้ยงคนเปล่าเสียข้าวสุกหรือ หมัวมัว มิใช่เป็นการฟุ่มเฟือยให้พวกนางนั่งกินนอนกินหรอกหรือ!”
จี้หมัวมัวได้แต่อ้าปากค้าง
หืม ดูเหมือนสิ่งที่พระชายาตรัสมาจะดูสมเหตุสมผล
เดี๋ยวนะ นี่นางถูกพระชายาจูงจมูกได้อย่างไร!
“พระชายาเพคะ คนละเรื่องกันนะเพคะ”
น้ำเสียงของเจียงซื่อดูเยือกเย็นลงไปกว่าเดิม “เป็นเรื่องเดียวกัน หากไม่เชื่อ เชิญหมัวมัวไปถามท่านอ๋องดูเถิดว่าเขาจะคิดเห็นตรงกับข้าหรือไม่”
จี้หมัวมัวยังพยายามจะโต้เถียงต่อไป “ชายเป็นใหญ่นอกเรือน หญิงเป็นใหญ่ในเรือน เดิมทีเรื่องในจวนอ๋องก็ควรเป็นพระชายาที่จัดการดูแล จะไปรบกวนท่านอ๋องด้วยเรื่องเพียงนี้ได้อย่างไรเพคะ”
เจียงซื่อจึงเยาะเย้ยด้วยความเยือกเย็นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดหมัวมัวจึงยืนกรานจะโต้เถียงข้าเล่า”
นางกล่าวจบก็เอามือหดเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นนำกริชเล่มหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะ
กริชเล่มนั้นเรียบง่ายไร้ลวดลายใด มองดูไม่เหมือนกับของสะสมอันมีค่าของสตรี กลับคล้ายอาวุธเสียมากกว่า
จี้หมัวมัวอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้าน
นางคิดผิดไป กริชเล่มนั้นเดิมทีก็ไว้ใช้สำหรับฆ่าคน พระชายาที่เพิ่งอภิเษกเข้ามา เหตุใดจึงมีของสิ่งนี้ติดตัว
แววตาที่จี้หมัวมัวมองไปยังเจียงซื่อเปลี่ยนไปทันที นางดูเหมือนจะได้ทำความรู้จักแวดวงสตรีชั้นสูงในมุมมองใหม่
เจียงซื่อลูบไล้ไปที่กริชนั้นด้วยใบหน้าดูผ่อนคลาย “ข้านั้นเป็นคนอารมณ์ร้อน หากเรื่องใดที่ข้าเป็นคนจัดการแล้วมีคนอื่นเข้ามาวุ่นวายยุ่งเกี่ยว ก็มักจะหงุดหงิดเสมอ”
เมื่อนางแต่งเข้ามาในพระราชวัง ที่ด้านนอกไม่รู้ว่ามีพายุมากมายเพียงไรรอพัดกระหน่ำใส่นางอยู่ ในจวนอ๋องนี้เสมือนที่หลบภัยของนางและอาจิ่น นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาก้าวก่ายบีบบังคับในถิ่นของตนเป็นอันขาด
จี้หมัวมัวได้แต่ตกตะลึง
ไหนว่าบัณฑิตสู้ด้วยวาจามิใช่กำลังเล่า
นางเป็นถึงพระชายาอ๋อง เหตุใดจึงหยิบกริชออกมาข่มขู่ผู้อื่นเช่นนี้ หากเผยแพร่ออกไปจะไม่ขายหน้าจวนเยี่ยนอ๋องแย่หรือ
ไม่ได้การละ เพื่อชื่อเสียงของจวนอ๋อง ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย แต่นางก็จะต้องเปลี่ยนแปลงพระชายาให้จากร้ายกลายเป็นดีให้ได้
จี้หมัวมัวยืดหลังตรงแล้วแย้งกลับด้วยคำพูดอันชอบธรรมว่า “พระชายาเพคะ การกระทำนี้หากแพร่ออกไปจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้นะเพคะ ถึงเวลาจะทำให้คนทั้งจวนอ๋องขายหน้าเอาเพคะ!”
เจียงซื่อหัวเราะออกมา “แพร่ออกไปงั้นหรือ หมัวมัวกล่าวเรื่องตลกหรืออย่างไร ภายในจวนมีเพียงพวกเราไม่กี่คน หากว่ามีคนแพร่เรื่องนี้ออกไป เพียงจับมาตัดลิ้นเสียก็สิ้นเรื่อง”
ใบหน้าของอาเฉี่ยวและอาหมานมิได้มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด ทว่าคนอื่นๆ ภายในห้องกลับหน้าขาวซีด
พระชายาล้อเล่นหรือ
เจียงซื่อนำกริชขึ้นมาลูบคลำเล่น นางกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ข้าไม่เคยล้อเล่นกับผู้ใด หากไม่เชื่อ เจ้าจะลองดูก็ย่อมได้”
บัดนี้จี้หมัวมัวได้แต่นั่งหุบปากนิ่ง
เจียงซื่อถูกริชไปมาแล้วหันไปมองนางกำนัลสองคนนั้น “แม่นางทั้งสองหากว่าไม่พอใจกับหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมาย บอกกับข้าย่อมได้”
นางกำนัลทั้งสองคนสะดุ้งแล้วตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “พอใจเพคะ บ่าวพอใจกับหน้าที่ของตนยิ่งนัก……”
เจียงซื่อโยนกริชออกไป
บ่าวรับใช้ในเรือนตกอกตกใจเอามือยกขึ้นปิดปาก จากนั้นพบว่ากริชตกไปอยู่ในมืออาหมาน
อาหมานรับกริชนั้นไว้แล้วหมุนควงมันได้เพียงมือข้างเดียว กริชส่งแสงวูบวาบเป็นประกาย ทำให้ผู้คนที่พบเห็นอกสั่นขวัญหาย
“อาหมาน ส่งหมัวมัวและแม่นางทั้งสองนี้ออกไป”
“เจ้าค่ะ” อาหมานตอบรับแล้วหันไปขยิบตาให้จี้หมัวมัวและแม่นางทั้งสาม “เชิญเถิด”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง