ครั้นฟังอวิ้จิ่นอธิบายจบ เจียงซื่อก็ยกพัดขึ้นพร้อมหัวเราะจนเกือบจะสำลัก
นางรู้จักก็แต่อวี้ชีที่ไม่เกรงฟ้ากลัวดิน ผู้ไม่เคยแยแสกฎเกณฑ์ใดบนโลกใบนี้
ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าที่ผ่านมานางประเมินเขาผิดไป ในตอนที่ยังเป็นเด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลก เขาเคยแม้กระทั่งปลอมตัวเป็นสตรี
เสียงหัวเราะชอบใจของเจียงซื่อทำให้อวี้จิ่นเริ่มหงุดหงิด ชายหนุ่มอุ้มนางทิ้งลงที่เตียงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าห้ามหัวเราะ!”
เจียงซื่อหยุดหัวเราะพลางยกมือขึ้นลูบคิ้วงามของชายหนุ่ม จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนมือลงมาที่ใบหน้าคมสันได้รูปของเขา
อวี้จิ่นขยับหนีเล็กน้อยและพึมพำขึ้นว่า “ลูบอะไรน่ะ”
เจียงซื่อหลุดหัวเราะอีกครั้ง “ข้ากำลังคิดว่า เจ้าในตอนสิบสองสิบสาม แต่งกายเป็นผู้หญิงคงงดงามกว่าพวกคุณหนูจริงๆ เสียอีก…”
ในสายตาของพวกกุยกง[1]คงเห็นว่า เด็กสาวรูปงามปานสลักเหมาะแก่การนำไปฝึกให้เป็นยอดนางโลม
“อาซื่อ!” อวี้จิ่นไม่อาจทนอีกต่อไป เขาก้มศีรษะลง แล้วใช้ปากขบเน้นเข้าที่หัวไหล่ของนาง
มีเพียงอาภรณ์สำหรับฤดูร้อนตัวบางที่คลุมเนื้อนวลเนียน เจียงซื่อรู้สึกวูบวาบที่หัวไหล่จนต้องผลักเขาออก “หยุดเลยนะ”
“เจ้าก็ต้องห้ามหัวเราะด้วยเหมือนกัน”
เจียงซื่อดันชายหนุ่มออกไปให้พ้นทางก่อนจะลุกขึ้นนั่งหลังตรง นางถามเสียงแผ่วเบา “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็รู้จักข้าตั้งแต่ตอนนั้นงั้นหรือ”
อวี้จิ่นเอนศีรษะพิงหัวเตียงพลางชำเลืองมองคนข้างๆ “ใช่ ในตอนนั้นข้าคิดว่า ในอนาคตข้าอยากจะอยู่กับคุณหนูที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้ากับนางจะกินข้าวด้วยกัน ในค่ำคืนฟ้าโปร่งข้ากับนางก็จะนอนฟังสรรพเสียงร้องของเหล่าจิ้งหรีดด้วยกัน…”
เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว
จู่ๆ ใบหน้าของเจียงซื่อก็ขึ้นสีแดงระเรื่อพลางบ่นมุบมิบ “ตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะอายุไม่เท่าไหร่ ก็เริ่มคิดเรื่องเพ้อเจ้อแล้วหรือ…”
อวี้จิ่นทำสีหน้าไร้เดียงสา “แค่นอนเฉยๆ อาซื่อเจ้านั่นแหละคิดไปไกล”
เจียงซื่อเอาพัดตีแขนอวี้จิ่น แต่เมื่อเห็นสายตาลุ่มลึกของอีกฝ่าย นางกลับรู้สึกปวดใจเอาเสียดื้อๆ
อวี้จิ่นสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของคนตรงหน้าเปลี่ยนไป จึงวางมือบนไหล่ของนางพลางถาม “อาซื่อ เจ้ามีเรื่องทุกข์ใจอยู่หรือ”
ขนตาหนาเรียงสวยสั่นเล็กน้อย พยายามข่มกลั้นไม่ให้หยดน้ำตาไหลออกมา นางกล่าวโทษเขาไม่หยุดปาก “เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้า”
ถ้าหากชาติที่แล้วเขาบอกนางว่าเขาเคยพบนางมาก่อน พวกเขาคงไม่ต้องเข้าใจผิดกัน และคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนั้น
“จะให้บอกคนที่ตัวเองชอบว่า ข้าเคยแต่งตัวเป็นสตรีและเกือบถูกขายเข้าไปอยู่ในหอโคมเขียวงั้นหรือ” อวี้จิ่นดึงมุมปากพร้อมใบหน้าอเนจอนาถเหลือประมาณ
หากวันนี้อาซื่อไม่พบรูปนี้ในห้องตำราของเขา ให้ตายเขาก็ไม่มีทางเล่าเรื่องนี้ออกมาเองอย่างแน่นอน
เจียงซื่อครุ่นคิดกับตัวเองแล้วก็พอเข้าใจเหตุผลของอวี้จิ่น
เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นิสัยอย่างอวี้ชีคงเก็บเงียบไม่ปริปากบอกใคร
เพียงแต่ว่าในพวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งก็เป็นพวกหวงหน้าตา ส่วนอีกคนก็สุดแสนดื้อดึง ทำให้ในท้ายที่สุดแล้วจำต้องพบจุดจบเช่นนั้น
ในชั่วขณะนั้นเจียงซื่อสงสัยว่า แล้วเมื่อชาติที่แล้ว อวี้จิ่นเป็นอย่างไรหลังจากที่นางเสียชีวิตลง
แต่ช่างเถอะ นางจะไม่ปล่อยให้เรื่องในอดีตที่ผ่านพ้นมากระทบกับปัจจุบันอีกแล้ว เพราะถ้าปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น นางเองแหละที่เป็นคนโง่
ส่วนสาเหตุที่บนรูปในชาติก่อนมีปานแดง แต่ทว่าในชาตินี้กลับไม่มี นางก็ไม่คิดจะซักไซ้ถึงรายละเอียด
ตอนที่นางพบภาพนี้ในชาติที่แล้ว ช้ากว่าในชาตินี้ถึงสามปี ปานแดงเพียงจุดเดียวจะแต่งเติมเข้าไปเมื่อใดก็ได้ หรือจะบอกว่ามีใครมือบอนมาขีดเขียนก็ย่อมได้ แต่หากนางถามอวี้ชีไปตอนนี้ คงจะทำให้ลำบากใจกันเปล่าๆ
ในมือของนางยังคงถือภาพวาดนั้นไว้ ส่วนอวี้จิ่นก็ดูอึดอัดใจไม่น้อย “ก่อนที่ข้าจะไปที่หนานเจียง ข้าแอบไปหาเจ้าอีกครั้ง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่พี่ใหญ่ของเจ้าออกเรือน การไปอยู่ที่หนานเจียงในช่วงแรกช่างยากลำบากยิ่งนัก นั่นยิ่งทำให้ข้าคิดถึงเจ้ามากกว่าเดิม ต่อมาข้ามีโอกาสได้รู้จักกับอาซังผู้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ จึงคิดได้ว่าข้าควรมีรูปเจ้าเก็บไว้ เพราะหากอยากเจอเจ้าเมื่อไหร่ก็จะได้หยิบรูปนั้นขึ้นมาดู…”
ยิ่งเขาพูด แววตาของเขาก็ยิ่งฉายแววอ่อนโยน
ในตอนนั้นเขาไม่ได้พบหน้าอาซื่อมานานกว่าสองปี จากภาพในหัว คุณหนูของเขาคงเข้าสู่วัยที่พร้อมจะออกเรือนแล้ว
“ตามที่เจ้าว่ามาก็หมายความได้ว่า เจ้าใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังมาเป็นแบบในการวาดรูปข้างั้นหรือ”
อวี้จิ่นปฏิเสธ “ไม่มีทาง แม้คนอื่นจะมองว่าพวกเจ้าหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่ในสายตาข้า พวกเจ้าต่างกันโดยสิ้นเชิง”
เขาชี้นิ้วไปที่ภาพเด็กสาว “หางตาของเจ้ายาวกว่าของนาง จมูกของเจ้าก็โด่งเป็นสันได้รูปกว่าของนาง ส่วนปากของเจ้าก็บางกว่าของนาง… และที่เด่นชัดที่สุด นางมีปานตรงนี้ ส่วนเจ้าไม่มี…”
เจียงซื่อยิ้ม “พิศมองได้ถี่ถ้วนดีนะเพคะ”
อวี้จิ่นภูมิใจ พลางจับมือเจียงซื่อมาแนบอก “แน่นอนอยู่แล้ว ความจำข้าเป็นเลิศ ได้เห็นเจ้าแค่สองครั้งก็ประทับภาพไว้ตรงนี้แล้ว”
“ข้าหมายความว่าเจ้าพิศมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ถี่ถ้วนเสียเหลือเกิน”
อวี้จิ่นสำลักไอออกมาทันใด
ไม่ทันระวังก็ถูกต้อนจนมุมเสียแล้ว ชีวิตนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ฝ่ายเจียงซื่อพอใจอย่างยิ่งยวด จึงโน้มตัวไปจุมพิตที่แก้มของชายหนุ่ม
อวี้จิ่นผงะไปชั่วครู่ ก่อนจะดันเจียงซื่อลงไปอยู่ด้านล่างอย่างช่ำชอง
“ท่านอ๋อง กระหม่อมมีเรื่องจะรายงานพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงจากด้านนอกกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน
อวี้จิ่นและเจียงซื่อสบตากันและยิ้มออกมาอย่างช่วยมิได้ “ไอ้จั่งสื่อผู้นี้นี่ช่างยุ่งยิ่งเรื่องชาวบ้านเสียเหลือเกิน!”
ทั้งสองเดินออกจากบริเวณที่เป็นห้องนอน และเปิดประตูห้องตำราออกไป
จั่งสื่อที่กลับมาฮึดอีกครั้งยืนเด่นอยู่ที่หน้าประตู สายตาคมกริบกวาดขึ้นลงสำรวจร่างอวี้จิ่น
ส่วนพระชายาที่ดูไม่เข้ากฎเข้าเกณฑ์ประเภทนี้ เขาคงต้องขอร้องให้จี้หมัวมัว ผู้เป็นสหายคู่ใจของเขาจับตาดู
ครั้นตรวจสอบเสร็จแล้ว จั่งสื่อก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ไม่มีการแหกคอกประเพณีกลางวันแสกๆ ถือว่าท่านอ๋องยังพอมีหวัง!
ใบหน้าของอวี้จิ่นยามนี้หม่นคล้ำเสียยิ่งกว่ากลุ่มเมฆ “จั่งสื่อมีเรื่องใดรายงานงั้นรึ”
หากมิใช่เพราะเห็นว่าชายผู้นี้อายุมากแล้ว และดูแลจวนอย่างขยันขันแข็ง เขาคงไล่ออกไปนานแล้ว
ใบหน้าของจั่งสื่อจริงจังขึ้นทันใด “เรื่องภายนอก กระหม่อมต้องรายงานท่านอ๋องเป็นการส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อกลั้นยิ้มพลางผงกศีรษะให้อวี้จิ่น “ท่านอ๋อง ข้าจะนำสมุดใต้หมอนไปเก็บไว้ที่เรือนหลักนะเพคะ เห็นจี้หมัวมัวบอกว่าของเช่นนี้จะช่วยปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย”
แม้เจียงซื่อจะจากไปแล้ว แต่จั่งสื่อก็ยังคงตกตะลึงไม่หาย
จี้…หมัว…มัว…. ไฉนเจ้าถึงกลายเป็นคนเช่นนั้น!
อวี้จิ่นเห็นสภาพแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
อาซื่อแกล้งเขาอีกแล้ว เพราะเห็นแก่ผู้ประสบเคราะห์กรรมเดียวกัน เห็นทีเขาคงต้องให้จั่งสื่อทำงานที่นี่ต่อไป
“จั่งสื่อเชิญด้านในเถิด” อวี้จิ่นหมุนตัวกลับไปทางห้องตำรา
ตลอดทางที่เดินไปที่อวี้เหอย่วน เจียงซื่อรู้สึกเบิกบานใจคลับคล้ายฤดูใบไม้ผลิ แม้แต่เสียงกรีดกรอเซ็งแซ่ของหมู่แมลงกลับกลายเป็นเสียงเสนาะหูเสียอย่างนั้น
ครั้นมาถึงอวี้เหอย่วนแล้ว นางก็เอนตัวพิงฉากกั้นพลางคลี่ภาพในมือออกมาดูอีกครั้ง ทว่าความรู้สึกในตอนนี้แตกต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง
นี่คือนางตอนเด็ก
ตอนที่เขาวาดภาพนี้ นางเองก็อายุยังไม่ถึงสิบห้าปีด้วยซ้ำ
หากนางรู้ว่ามีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเฝ้าคะนึงหาแต่นาง อยู่เคียงข้างนาง และเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่นางชื่นชอบ บางทีนางคงไม่จำเป็นต้องเก็บงำความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ใต้ความเย่อหยิ่งนั้นอีกแล้ว
“พระชายา จี้หมัวมัวขอเข้าเฝ้าเจ้าค่ะ” อาเฉี่ยวรายงานขัดอารมณ์ล่องลอยของเจียงซื่อ
เจียงซื่อส่งม้วนภาพให้อาหมานนำไปเก็บ และส่งสัญญาณให้อาเฉี่ยวพาตัวนางเข้ามา
ไม่นานหญิงสาวใบหน้าเรียวยาวในชุดสะอาดสะอ้านก็ย่างกรายเข้ามา โดยมีเด็กสาวอีกสองคนเดินตามหลัง
เจียงซื่อมองผ่านจี้หมัวมัวไปยังเด็กสาวทั้งสอง แล้วก็ละสายตากลับมา
“ถวายบังคมพระชายา”
“หมัวมัวมิต้องมากพิธี ไม่ทราบว่าที่มาพบข้ายามนี้มีเรื่องใดงั้นหรือ”
ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว วันนี้นับว่าเป็นวันแรกของการแต่งงาน ต้องรอไปอีกสามนางถึงจะรับหน้าที่เป็นผู้จัดการงานต่างๆ ภายในจวน
จี้หมัวมัวเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อให้เจียงซื่อเห็นเด็กสาวอีกสองคนได้อย่างชัดเจน
“เดิมทีจะต้องรอให้ถึงวันที่สาม พระชายาจึงจะทรงงานได้ เพียงแต่นางทั้งสองเป็นนางกำนัลเจี้ยวอิ่นที่ฝ่าบาทพระราชทานมาให้ จะให้จัดการเช่นไร หม่อมฉันต้องรอรับสั่งจากพระชายาเสียก่อนเพคะ”
————————
[1]กุยกง บุรุษที่ทำงานจิปาถะในหอนางโลม โดยมากจะดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัย
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง