จั่งสื่อเร้าโทสะแผดเสียงดังลั่น “พระชายา!”
แม้หญิงชราที่เรือนของเขาจะนำสมุดใต้หมอนไปไว้ใต้หมอนแต่ก็เพื่อปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย แต่ท่านอ๋องและพระชายาคงมิได้นำมันไปใช้เพื่อการนั้นแน่!
พระชายาทรงไร้ยางอายเพียงนี้ รังแต่จะทำให้ท่านอ๋องเสื่อมเสียไปด้วย!
แต่เดี๋ยว ท่านอ๋องเองก็มิได้เป็นพวกดีเด่อะไรอยู่แล้ว…
ยิ่งจั่งสื่อครุ่นคิดเรื่องนี้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นวี่แววแล้วว่าอนาคตของตนดูจะมืดมิดลงเรื่อยๆ
อวี้จิ่นเดินออกมาจากมุมหนึ่งพลางส่งเสียงกระแอมไอ “เหตุใดจั่งสื่อถึงต้องส่งเสียงเอะอะเช่นนั้น”
ครั้นเห็นชายหนุ่มรูปงามดุจหยกกำลังเดินดุ่มๆ เข้ามา พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ จั่งสื่อจึงได้แต่กลอกตาด้วยความโกรธ
เหตุใดถึงมากล่าวหาว่าเขาส่งเสียงเอะอะ
เขาเพียงแต่ปฏิบัติตามหน้าที่ คอยคุ้มกันไม่ให้ท่านอ๋องและพระชายาหลงไปในทางที่ผิดก็เท่านั้น
“ท่านอ๋อง ท่านเป็นคนสั่งให้พระชายาเข้าไปในห้องตำราหรือพ่ะย่ะค่ะ” แม้จะโกรธจนแทบคลั่ง แต่จั่งสื่อก็ไม่ลืมที่จะถวายความเคารพอวี้จิ่น
อวี้จิ่นชำเลืองมองไปที่เจียงซื่อแล้วพยักหน้า “อื้อ”
“ท่านอ๋อง!” จั่งสื่อก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับสีหน้าตื่นตะลึงราวกับฟ้าจะถล่ม “ห้องตำราถือเป็นสถานที่ต้องห้าม ไฉนพระองค์ถึงให้สตรีเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้ ต่อให้เป็นพระชายาก็มิบังควรพ่ะย่ะค่ะ! พระองค์ทรงละเมิดกฎเกณฑ์เช่นนี้ กฎ…”
อวี้จิ่นเองก็หยุดจั่งสื่อไม่อยู่ ได้แต่ปล่อยให้เขาพ่นน้ำลายต่อไปจนพอใจ ครั้นเห็นว่าชายชราเริ่มคอแห้งแล้ว อวี้จิ่นจึงหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นว่า “จั่งสื่อ อยากเข้าไปดื่มชากับข้าสักถ้วยหน่อยไหม”
จั่งสื่อได้ยินว่าให้ไปดื่มชา เคราของเขาก็กระตุกวูบ คล้ายกับว่ามีคนมาบีบคอไม่ให้พูดต่อ
อวี้จิ่นชำเลืองไปที่เด็กรับใช้ “ยังไม่พาจั่งสื่อเข้าไปในห้องตำราอีก ฟังไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร!”
เด็กรับใช้เชื่อฟังอวี้จิ่นเป็นที่สุด เขารีบลากแขนจั่งสื่อเข้าไปที่ห้องตำรา
จั่งสื่อพอจะรู้ว่าการดื่มน้ำชาหมายถึงอะไร ถึงได้รีบผลักไสเด็กรับใช้ผู้นั้น แล้ววิ่งหนีไปทันที
เด็กรับใช้หันไปมองอวี้จิ่นด้วยความลังเล “ท่านอ๋อง…”
“เจ้าเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูนี้ก็แล้วกัน” อวี้จิ่นตัดบท พลางเอื้อมมือไปดึงเจียงซื่อให้เดินตามเข้าไปในห้องตำรา และเดินตรงไปที่ห้องนอนฝั่งตะวันออก
ในบริเวณนั้นมีเตียงเตี้ยๆ ตั้งอยู่ อวี้จิ่นนั่งลงพลางตบเบาะนุ่มข้างกาย “อาซื่อ ข้าอยากจะชมสมุดใต้หมอนที่เจ้าหามาเสียหน่อย”
เขาเคยเอาสมุดใต้หมอนซ่อนไว้ในห้องตำราที่ไหนกัน เขาดูเป็นคนประมาทเช่นนั้นเชียวรึ ถ้าจะให้ซ่อนจริงๆ เขาคงซุกมันไว้ที่ใต้หมอนต่างหาก
เจียงซื่อเดินตรงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวน้อย แล้วยื่นม้วนภาพให้อวี้จิ่น
อวี้จิ่นรับไป พิศมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สีหน้าของชายหนุ่มจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อาซื่อเจอสิ่งนี้ได้อย่างไร
ความเงียบปกคลุมอยู่พักหนึ่ง เป็นเจียงซื่อที่เอ่ยขึ้นก่อน “ในรูปนั้นคือผู้ใด”
อวี้จิ่นยังมิได้คลี่ม้วนภาพมาดู เขาเพียงแต่บีบม้วนกระดาษสีเหลืองในมือแน่นพลางมองไปที่เจียงซื่อ ครั้นเห็นว่านางถามด้วยท่าทีจริงจัง เขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้ม “ก็ต้องเป็นเจ้าสิ จะเป็นผู้ใดได้เล่า”
เจียงซื่อดึงม้วนภาพนั้นกลับไปและกางออก พร้อมกับชี้ไปที่บุคคลในภาพนั้น “เด็กสาวในภาพอายุอานามน่าจะแค่สิบสามปี ตอนที่ข้าอายุเท่านั้น เจ้ายังอยู่ที่หนานเจียง”
อวี้จิ่นไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “อาซื่อ เจ้าสงสัยว่าข้าจะวาดรูปหญิงอื่นงั้นหรือ”
เจียงซื่อหลุบตาลงมองไปที่ภาพเด็กสาวอีกครั้ง นางฝืนยิ้มจางๆ ให้อวี้จิ่น “คนในภาพละม้ายคล้ายกับข้าเมื่อตอนอายุสิบสอง สิบสาม แล้วข้าจะสงสัยว่าเจ้าวาดภาพหญิงอื่นได้อย่างไร อาจิ่น เจ้าพูดเช่นนี้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างหรือ”
อวี้จิ่นกระแอมไอสองสามครั้งก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา “อาซื่อ ถ้าข้าบอกไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อว่า ที่หนานเจียงมีสตรีผู้หนึ่งหน้าตาคล้ายกับเจ้า”
เจียงซื่อเม้มปากเล็กน้อย
แม้คำสารภาพจากปากอวี้จิ่นจะทำให้นางผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นนางก็อดประหม่าไม่ได้
นางจะไม่แยแสเรื่องค้างคาที่ตามติดมาตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ได้อย่างไร
“นางเป็นใคร” เจียงซื่อถาม
แม้เสียงที่ถ่ายทอดออกมาจะบางเบา แต่ทว่ากลับจริงจัง
คำตอบของอวี้จิ่นฟังดูผ่อนคลาย “สตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียว”
เจียงซื่อกะพริบตา “ที่แท้ข้าก็หน้าตาเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียว?”
อวี้จิ่นผงกหัวรับ “อื้ม ช่างคล้ายกันยิ่งนัก คนที่ไม่รู้จักคงคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนๆ เดียวกัน”
“ช่างบังเอิญอะไรเยี่ยงนี้ น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสได้พบนาง”
อวี้จิ่นขมวดคิ้ว “เจ้าคงไม่มีทางได้พบนางอย่างแน่นอน เพราะสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียวเสียชีวิตจนบัดนี้ร่างของนางคงกลายเป็นเถ้าธุลีไปเสียแล้ว แต่อาซื่อ เจ้าน่ะจะยังต้องมีชีวิตยืนยาวอยู่ไปอีกร้อยปี”
เจียงซื่อเงียบไป
“เป็นอะไรไปรึ อาซื่อ”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“บอกข้ามาว่าเจ้าไม่เข้าใจตรงไหน”
“เจ้าบอกว่าคนในภาพนั้นคือข้า แต่ครั้งแรกที่พวกเราพบกันครานั้น ข้าก็ย่างเข้าวัยที่จะออกเรือนได้แล้ว…”
นัยน์ตาของอวี้จิ่นเป็นประกาย ทว่าสายตาของเจียงซื่อยังดูงุนงง เขาจึงสารภาพออกไป “ใครบอกกันเล่า ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า เจ้ายังไม่ถึงสิบขวบเลยด้วยซ้ำ…”
คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้เจียงซื่อตกตะลึงไปโดยสมบูรณ์
“เจ้าคงลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่า ตนเองเคยช่วยชีวิตเด็กสาวที่อายุราวๆ สิบสองสิบสาม”
“เด็กสาวอายุราวๆ สิบสองสิบสามงั้นหรือ” เจียงซื่อค้นภาพในความทรงจำ แต่กลับไม่พบเบาะแสใด
อวี้จิ่นจึงช่วยเตือนความจำอีกครั้ง “ระหว่างทางที่นอกเมืองหลวง มีเด็กสาวคนหนึ่งถูกบุรุษสองคนจับตัวเอาไว้…”
ทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซื่อพลันส่องแสงเป็นประกาย เพราะจู่ๆ ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นในหัวของนางอีกครั้ง
“ข้านึกออกแล้ว ในตอนนั้นข้าไปถวายธูปที่วัดนอกเมือง ระหว่างทางข้าเห็นชายสองคนกำลังจับตัวเด็กสาวคนหนึ่ง เด็กสาวผู้นั้นบอกว่าทั้งคู่กำลังจะลักพาตัวนาง แต่ชายสองคนนั้นกลับบอกว่าเป็นพี่ชายของนาง…”
นางยังจำได้ด้วยว่า เพราะทั้งคู่กล่าวเช่นนั้น ผู้คนรอบข้างที่เฝ้าดูเหตุการณ์จึงไม่ใคร่จะใส่ใจ พวกเขาจึงยืนดูเด็กสาวดิ้นรนโดยไม่คิดจะช่วย
แต่คงเป็นเพราะสัญชาตญาณของความเป็นเพศหญิง นางจึงรู้สึกได้ว่าผู้ชายพวกนั้นไม่ใช่คนดี
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวกำลังพยายามขัดขืนอย่างสุดความสามารถ นางจึงตัดสินใจว่าต้องเข้าไปช่วย ในตอนนั้นนางโกหกว่า เด็กสาวเป็นหญิงรับใช้ของนางที่หายตัวไป
แม้ว่าชายทั้งสองจะเห็นว่าเจียงซื่อเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง แต่ก็มีข้ารับใช้ตามมาอีกมากมาย จึงไม่กล้ามีปัญหาด้วย จำต้องยอมปล่อยเด็กสาวไปแต่โดยดี
ในตอนนั้น นางสั่งให้อาหมานนำเงินไปให้ชายทั้งสอง เพื่อเรื่องนี้จะได้จบลงอย่างสงบ
เดิมทีเงินก้อนนั้นเป็นเงินที่เตรียมไว้สำหรับนำไปถวายให้แก่วัด แต่เมื่อไม่มีเงินนั้นแล้ว นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปที่วัดอีก สุดท้ายนางจึงพาเด็กสาวผู้นั้นกลับไปยังเมืองหลวง
ครั้นมาถึงเมืองหลวงที่ที่มีคนพลุกพล่าน เจียงซื่อได้มอบเงินติดตัวให้นางสองสามก้อนก่อนจะปล่อยนางไป ผ่านไม่นาน เรื่องนี้ก็เลือนหายไปในความทรงจำ
สำหรับนางแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ
เจียงซื่อดึงสติกลับมา แล้วหันไปมองหน้าอวี้จิ่นด้วยสายตาแปลกพิลึก “แล้วเด็กสาวผู้นั้นเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หูของอวี้จิ่นขึ้นสีแดงระเรื่อ และในที่สุดก็กลั้นใจตอบไปว่า “เด็กสาวผู้นั้นก็คือข้าเอง!”
เจียงซื่อคิดว่าตัวเองฟังผิดไป นางเผลอยกพัดขึ้นมาปิดปากที่อ้าค้างด้วยความตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่งหลังรวบรวมสติได้ นางก็กล่าวออกมาอย่างระมัดระวังว่า “อาจิ่น ดูไม่ออกเลยว่า… เจ้าในวัยเยาว์จะชอบแต่งตัวเป็นหญิง…”
อวี้จิ่นหน้าแดง รีบอธิบายต่อทันควัน “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าอาศัยอยู่ในแถบชานเมือง ในตอนนั้นข้าเกลียดทุกอย่างเข้าไส้ มีอยู่วันหนึ่งข้าอยากจะเข้าไปดูในเมืองหลวงโดยปราศจากผู้ติดตามพวกนั้น แต่ตัวข้าก็มิได้เป็นที่ต้อนรับ อีกทั้งยังมีสถานะเป็นองค์ชาย การจะหนีออกไปจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นข้าจึงคิดได้ว่าข้าจะต้องแต่งตัวเป็นเด็กสาวถึงจะออกไปได้โดยไม่มีผู้ใดสังเกต แต่ใครจะไปคาดคิดว่าระหว่างทางจะถูกคนพวกนั้นสะกดรอยตาม…”
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาเก็บความขุ่นเคืองและความอยุติธรรมทั้งหมดทั้งมวล พร้อมปฏิญาณกับตนเองว่าจะต้องเป็นคนแข็งแกร่งให้จงได้ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ตกอยู่ในสภาวการณ์เช่นนั้นอีก
และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หัวใจแสนด้านชาและโดดเดี่ยวของเขาได้พบสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นครั้งแรก…