“ถวายบังคมพระชายา”
“ท่านอ๋องอยู่หรือไม่” เจียงซื่อถามพลางเดินอ้อมเด็กรับใช้ผู้นั้น
เด็กรับใช้รีบตอบ “กราบทูลพระชายา ท่านอ๋องมิได้อยู่ในห้องตำราพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม” เจียงซื่อเอื้อมมือไปผลักประตู
เด็กรับใช้ผงะไปชั่วขณะ
ก็เขาบอกชัดแล้วว่าท่านอ๋องมิได้อยู่ที่นี่ เหตุไฉนพระชายาถึงดึงดันจะเข้าไปอีก
ห้องตำราถือเป็นสถานที่ต้องห้าม เดิมทีที่นี่มิได้เป็นเพียงห้องนอนของท่านอ๋องเท่านั้น แต่ยังเป็นที่พบปะยามที่มีแขกมาเยี่ยมเยือน ในเมื่อไม่ได้รับการอนุญาตจากท่านอ๋องแล้ว พระชายาจะบุ่มบ่ามเข้าไปก็มิบังควร ถ้าหากท่านอ๋องทรงทราบ อีกทั้งพระชายายังถูกคาดโทษ คนทำหน้าที่เฝ้าประตูอย่างเขาคงมิวายถูกลงโทษเป็นแน่
เด็กรับใช้รีบก้าวเท้าเข้าไปขวางเจียงซื่อพลางบอกอย่างอาจหาญ “พระชายา ท่านอ๋องมิได้อยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อชะงักฝีเท้าก่อนจะกล่าวแผ่วเบา “ข้ารู้แล้ว”
“เช่นนั้น เช่นนั้นเชิญพระองค์กลับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อยังไม่ทันเกริ่นกล่าว มือข้างหนึ่งของอาหมานก็เท้าเข้าที่เอว ส่วนอีกข้างก็ชี้ปราดไปที่ปลายจมูกของเด็กรับใช้นายนั้น พร้อมแผดเสียง “บังอาจ เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
เด็กรับใช้ตะลึงตาค้าง เท้าพลันก้าวถอยเพื่อหลบหลีกการโจมตีของสาวรับใช้ตรงหน้า
อาหมานกล่าวตำหนิด้วยสีหน้าเย็นชา “ในจวนแห่งนี้ พระชายาของพวกข้ามีอำนาจสิทธิ์ขาด หากพระชายาใคร่จะเข้าไปในห้องตำรา บ่าวอย่างเจ้ากลับมาขวางไม่รู้ว่าเพราะไปกินหัวใจหมีหรือดีเสือมาหรืออย่างไร ถึงได้ใจกล้าเช่นนี้”
มุมปากของเด็กรับใช้กระตุกวูบ
เขาเป็นบ่าวอย่างนั้นหรือ
เห็นชัดๆ ว่านางต่างหากที่เป็นบ่าว ข้าไม่เคยพบเคยเห็นหญิงรับใช้ที่ไหนเหี้ยมโหดเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ!
เด็กรับใช้เริ่มมีน้ำโหด้วยอีกคน เขาถลกแขนเสื้อขึ้นพลางบอก “ท่านอ๋องเคยรับสั่งไว้ว่า สถานที่ต้องห้ามอย่างห้องตำรา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปยุ่มย่ามเป็นอันขาด!”
อาหมานถ่มน้ำลาย “เข้าไปยุ่มย่ามงั้นหรือ บ่าวอย่างเจ้านี่มันพูดจาภาษาคนมารู้เรื่องเลยจริงๆ…”
ขณะที่ทั้งสองกำลังทำสงครามน้ำลายกันอย่างดุเดือด เจียงซื่อก็ผลักประตูเข้าไปด้านใน ทั้งยังปิดประตูแน่สนิท
เสียงปิดประตูชวนให้เด็กรับใช้ได้สติ เขารีบวิ่งไปดันประตูพลางบอก “พระชายาเสด็จเข้าไปด้านในมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ…”
อาหมานที่ยืนอยู่ด้านข้างกลอกตามองบน “ในเมื่อเข้าไปแล้ว เจ้าจะพล่ามให้ได้อะไรขึ้นมา อยากให้คนอื่นรู้หรือไงว่าเจ้าเฝ้าประตูไม่ได้เรื่อง ถ้าเกิดมีผู้ใดรู้เข้า ข้ารับรองเลยว่าเจ้าตกงานแน่ บ่าวอย่างเจ้านี่โง่เง่าเสียจริง…”
เด็กรับใช้ยกมือกุมอกด้วยความคับแค้น
คำก็บ่าว สองคำก็บ่าว ถ้ามิใช่เพราะนางเอาแต่เรียกเขาว่าบ่าว เขาจะพลาดพลั้งเช่นนี้หรือ
เด็กรับใช้ลูบหน้าพลางตัดพ้อ “หากข้าตกงานก็เป็นความผิดของเจ้า”
อาหมานเบะปาก “เป็นบ่าวยังรู้จักหาคำแก้ตัวเสียด้วย”
เด็กรับใช้ : “…” หากเขาฆ่าสาวรับใช้ข้างกายพระชายาจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ
ห้องตำราของอวี้จิ่นมีขนาดใหญ่กว่าห้องตำราทั่วไป
เป็นห้องขนาดใหญ่โดยเชื่อมทั้งสามห้องไว้ด้วยกัน หากเดินผ่านเข้ามาทางประตูจะพบบริเวณที่เป็นพื้นที่ต้อนรับแขกเป็นอันดับแรก ด้านฝั่งตะวันออกที่มีฉากกั้นเป็นพื้นที่สำหรับนอนหลับพักผ่อน ส่วนบริเวณฝั่งตะวันตกเป็นพื้นที่เปิดโล่ง เมื่อเดินเข้าไปจะพบชั้นวางตำรา และโต๊ะตัวหนึ่งพร้อมแท่นวางพู่กัน แท่นฝนหมึก รวมถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่นๆ บริเวณนี้ถูกใช้เป็นที่สำหรับอ่านและเขียน
เป้าหมายของเจียงซื่อก็คือพื้นที่ตรงที่ว่านี้
นางกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วไปหยุดๆ บริเวณหนึ่งซึ่งตรงกับภาพในความทรงจำ
ที่ตรงนั้นมีช่องลับ และด้านในช่องลับนั้นก็มีภาพเหมือนวางอยู่ด้วย
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเค้าลางจากภาพเมื่อชาติที่แล้ว ส่วนในชาตินี้เป็นอย่างไร นางเองก็ไม่แน่ใจนัก
เจียงซื่อเดินตรงไป เอื้อมมือไปแล้วก็หยุดข้างกลางอากาศ หัวใจของนางแทบหยุดเต้น
แม้ว่านางจะบอกว่านางไม่สนใจ แม้ว่านางจะบอกว่านางยอมรับได้ หรือแม้ว่านางจะปลอบใจตัวเองว่า ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติที่แล้ว คนที่อาจิ่นรักก็คือนาง
แต่ในเสี้ยวนาทีนั้น นางก็อดหวั่นใจไม่ได้
ไม่ว่านางจะหลอกตัวเองอย่างไร สุดท้ายแล้วภาพนั้นก็ยังเป็นปมค้างคาอยู่ในใจนางอยู่ดี
เพราะนางยังไม่ได้คำตอบ
หากในชาติที่แล้วอาจิ่นไม่ได้ชอบสตรีศักดิ์สิทธิ์ แล้วเหตุใดในภาพนั้นถึงเป็นรูปอาซัง
เด็กสาวในภาพน่าจะอายุราวสิบต้นๆ ซึ่งก็ไม่มีทางเป็นนางอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่านางจะเลือกกังวลใจต่อไป หรือเลือกที่จะหลีกหนีความจริง นั่นก็หมายความว่าปมนี้จะติดค้างอยู่ในใจของนางตลอดไปอย่างนั้นหรือ
หากนางยังหาภาพนั้นไม่พบ นางก็ไม่มีเหตุผลให้เอ่ยชื่อของสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียว แต่หากนางเจอภาพนั้นแล้ว นางถึงสามารถถามได้อย่างตรงไปตรงมามิใช่หรือ
แล้วยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า หากถามออกไปก็จะได้ทราบความจริง อย่างน้อยตอนนี้นางก็มั่นใจได้ว่าคนที่ครอบครองหัวใจอวี้ชีในตอนนี้ก็คือนาง
เจียงซื่อกลั้นใจเอื้อมมือไปเปิดช่องลับพร้อมกับหลับตาปี๋
ผ่านไปชั่วอึดใจ นางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นดู เมื่อนางเห็นสิ่งของที่อยู่ในช่องลับนั้นแล้ว นางก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
มีภาพเหมือนนั้นอยู่จริงด้วย!
เจียงซื่อยื่นมือไปหยิบม้วนภาพออกมา เส้นเลือดสีเข้มที่หลังฝ่ามือปูดโปนจนเห็นได้อย่างชัดเจนอันเนื่องมาจากความประหม่าที่อยู่เหนือการควบคุม
ภายในห้องเงียบสงัด ไร้แม้กระทั่งเสียงลมหวีดหวิว
ในห้องตำราอบอ้าวไปด้วยไอร้อนของคิมหันตฤดู
เม็ดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก แล้วไหลลงอาบข้างแก้มก่อนจะร่วงแหมะลงบนแผ่นกระดาษสีเหลืองหม่น และแผ่เป็นวงอย่างรวดเร็ว
เจียงซื่อลอบสูดลมหายใจแล้วค่อยๆ คลี่ม้วนภาพนั้น ภาพของเด็กสาววัยแรกรุ่นปรากฏแก่สายตาของนาง
เจียงซื่อรับรู้ได้ถึงเสียงหึ่งที่กังวานขึ้นในหัว ร่างกายของนางไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ
กาลเวลาคืบเคลื่อนผันผ่าน นางค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบหน้าผากของเด็กสาวในภาพ
ตรงนี้…ไม่มีปานสีแดง…
ในเสี้ยวนาทีนั้น ความสุขล้นดุจต้นกล้าอ่อนนุ่มในฤดูใบไม้ผลิแตกหน่อออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของนาง และพวกมันก็เจริญเติบโตขึ้นอย่างเร็วรี่จนทะลุแทรกออกมาจากใจ
เจียงซื่อทรุดตัวลงบนพื้นที่ทำจากไม้ นางหายใจหอบคล้ายคนที่เพิ่งรอดชีวิตมาจากภัยพิบัติ
ไม่มีปานแดง ไม่มีปานแดง!
แต่ว่าอาซังมีปานแดง…
หรือว่าคนในภาพคือนาง
ความฉงนสนเท่ห์ก่อตัวหนักหน่วง แล้วอาจิ่นรู้ได้อย่างไรว่านางตอนอายุสิบต้นๆ หน้าตาเป็นเช่นไร
เรื่องนี้มิจำเป็นต้องลังเลอีกแล้ว นางจะต้องไปถามเจ้าตัว!
เจียงซื่อม้วนภาพนั้นอย่างเบามือ แล้วกำไว้แน่น นางปิดช่องลับเรียบร้อยก่อนจะเดินไปที่ประตู
ครั้นเดินไปถึงประตูแล้ว นางได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังเอ่ยถามขึ้นจากด้านนอก “เหตุใดสาวรับใช้ถึงมาอยู่ที่นี่”
เด็กรับใช้อ้อมแอ้มทำตัวไม่ถูก
เจียงซื่อจึงเปิดประตู
ที่หน้าประตู นอกจากเด็กรับใช้และอาหมาน ยังมีชายชราอีกคนยืนอยู่ด้วย
ชายชรารูปลักษณ์คมคาย หนวดเคราบนหน้าได้รับการดูแลมาอย่างดี รอยขมวดลึกที่หว่างคิ้วแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนจริงจังเพียงใด ชายผู้นั้นคือจั่งสื่อแห่งจวนอ๋อง
“พระชายา?” จั่งสื่อประหลาดใจทันทีที่เห็นเจียงซื่อ
แม้เขาจะไม่เคยเห็นโฉมหน้าของพระชายามาก่อน แต่จากการแต่งกายแล้ว ในจวนหลังนี้ไม่มีทางเป็นใครอื่นไปได้
จั่งสื่อเป็นผู้เคร่งขรัดในกฎระเบียบ ทันทีที่ทราบสถานะของเจียงซื่อ เขาก็รีบก้มศีรษะลงต่ำทันใด แต่เพราะก้มหน้าลงถึงได้เห็นม้วนภาพในมือเจียงซื่อ
ใบหน้าของจั่งสื่อแปรเปลี่ยนฉับพลัน
นี่พระชายาหยิบของจากห้องตำราของท่านอ๋องออกมางั้นหรือ
นี่ นี่มันระเบียบแบบแผนอะไรกันนี่!
ในชั่วขณะนั้น จั่งสื่อไม่สนใจกฎระเบียบใดๆ อีกแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับหนวดเคราที่สั่นระริกด้วยความโมโห “พระชายา กระหม่อมจำต้องขอถามว่าท่านอ๋องประทับอยู่ด้านในหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ไม่อยู่น่ะสิ”
“เช่นนั้น เช่นนั้นแล้วของในพระหัตถ์ของพระองค์คือสิ่งใดกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็แค่ภาพๆ หนึ่ง”
จั่งสื่อกล่าวเสียงแหลม “พระชายา ถึงแม้ท่านอ๋องจะมิได้ทรงดำรงตำแหน่งใดๆ ในราชสำนัก แต่ถึงกระนั้นห้องตำราก็ถือเป็นสถานที่ต้องห้าม พระองค์ไม่ควรเข้าไปหยิบของออกมาสุ่มสี่สุ่มห้านะพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดนำกลับไปวางคืนที่เดิมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เดิมทีเขาคิดว่าหากพระชายาย้ายเข้ามาอยู่ในจวนแล้วจะช่วยควบคุมท่านอ๋องที่สุดแสนจะดื้อดึง แต่ไม่คิดเลยว่าพระชายาจะไม่สนกฎระเบียบหนักยิ่งกว่า!
เจียงซื่อเอี้ยวตัวหลบฟองน้ำลายของจั่งสื่อ พลางเผยสีหน้าลำบากใจ “แต่ว่าท่านอ๋องเป็นคนวานให้ข้ามาหยิบสมุดใต้หมอน[1]นี้…”
จั่งสื่อตัวสั่นค้างคล้ายถูกฟ้าผ่าลงกลางหัวจนด้วยคำพูด
เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็แทบล้มพับไม่ต่างกัน
มีเพียงอาหมานเท่านั้นที่ดูเหมือนจะเข้าใจแต่ติดอยู่เรื่องเดียว
สมุดใต้หมอนคืออะไร
อวี้จิ่นที่ได้ทราบความจากบ่าวรับใช้ว่าพระชายาเสด็จมาที่เรือนหน้ารีบรุดมายังที่เกิดเหตุ ประโยคของเจียงซื่อเมื่อครู่เล่นเอาชายหนุ่มก้าวขาไม่ออก
ลับหลังเขา อาซื่อทำให้เขาดูแย่เพียงนี้เลยรึ
———————-
[1]สมุดใต้หมอน เป็นบันทึกชนิดหนึ่งที่ประกอบไปด้วยท่วงท่าการร่วมรักหลากหลายแบบ