ตอนที่ 387 สมาคมลับ หอนางโลม

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 387 สมาคมลับ ? หอนางโลม ?

หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจียงโม่หานเพื่อรอฟังความเห็นจากเขา เจียงโม่หานพยักหน้า “ที่นี่ดีมากแล้ว เช่าเถิด ! ”

หลินเว่ยเว่ยถามว่าค่าเช่าคิดเท่าไหร่ ราคาที่เจ้าของบ้านพูดมายังพอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง นางจึงตอบตกลงโดยไม่คิดแม้แต่น้อย ! ไม่เพียงเช่าแค่ช่วงสอบฝู่ซื่อเท่านั้น เพราะนางเช่าจนถึงการสอบเยวี่ยนซื่อเสร็จสิ้นเลยทีเดียว

เจ้าของบ้านเช่ายิ้มหน้าบาน คราวนี้เขาไม่ได้มองผิดไปจริง ๆ บัณฑิตที่มีสง่าราศีคนนั้นเป็นถงเซิงแล้ว คราวนี้มาเพื่อสอบซิ่วไฉ ! หวังว่าสวรรค์จะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง หวังว่าสุดท้ายในบ้านหลังนี้จะมีบัณฑิตหลิ่นเซิงบ้าง !

หลังจ่ายเงินมัดจำแล้ว เขาก็นำสัญญาเช่าออกมา หลินจื่อเหยียนยังคิดว่ามันแปลก ๆ อยู่ “พี่รอง ท่านคิดว่าท่าทางของเขาดูเอาอกเอาใจเราเกินไปหน่อยหรือไม่ ? หากบ้านดีอย่างที่เขาบอกจริง ๆ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนมาเช่าสิ ! เหตุใดอยากให้เราเช่าเสียเหลือเกิน ? ”

หลินเว่ยเว่ยพูด “เขาก็ไม่ได้บอกแล้วหรือ ? ที่บอกว่าชอบพวกเจ้าน่ะ ! บ้านที่เพิ่งปรับปรุงเสร็จ ถ้ามีคนสอบติดซิ่วไฉในชั่วพริบตาเดียวหรือหลิ่นเซิงอะไรพวกนั้น บัณฑิตที่จะมาสอบครั้งต่อไปก็จะรู้สึกมีสิริมงคลอยู่ แม้ค่าเช่าจะแพงหน่อยก็ยอมเช่าอยู่ดี ! ”

เจียงโม่หานพยักหน้าเบา ๆ “พี่รองของเจ้าพูดถูก ! ”

หลินจื่อเหยียน “…” หากพี่รองผายลม ท่านก็ยังบอกว่าหอมใช่หรือไม่ ?

หลินเว่ยเว่ยหันไปมองบัณฑิตทั้งหกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะถามว่า “พวกเจ้าอยากไปเดินเล่นที่ไหนหรือไม่ ? ”

เมิ่งจิ่งหงออกความเห็น “ได้ยินว่านอกเมืองมีสถานที่หนึ่งเรียกว่าหานจินตู้ มีภูเขาและแม่น้ำขนาบข้าง ทิวทัศน์ดั่งภาพวาด ถ้าอย่างไร…เราไปเที่ยวที่นั่นดีหรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเขาพลางห่อเสื้อคลุมให้มิดชิดกว่าเดิมแล้วย้อนถามว่า “แน่ใจว่าจะไปเที่ยวชมภูเขาและแม่น้ำในปีแห่งภัยแล้งของช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้หรือ ? ”

เวลานี้ภูเขาเป็นภูเขาหัวโล้น แม่น้ำเหลือแต่ผืนดินให้เห็น แถมยังหนาวยิ่งกว่าอะไร โง่ไปแล้วกระมัง !

เมิ่งจิ่งหงเกาจมูก ในฤดูกาลนี้ไม่มีทิวทัศน์อะไรน่ามองจริง ๆ “ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน ! ”

เจียงโม่หานเสนอความคิด “ถ้าอย่างไรเราไป ‘คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนง’ กันดีหรือไม่ ? ”

“คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนง ? คือสถานที่อย่างไร ? คงไม่ใช่หอนางโลมที่ร่วมตัวของสตรีแบบนั้นหรอกกระมัง ? ” หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสตรีที่ขายศิลปะแต่ไม่ขายเรือนร่าง เชี่ยวชาญทั้งการเล่นฉิน หมากล้อม คัดอักษรและวาดภาพ อีกทั้งยังเป็นหญิงงามที่ฉลาดเฉลียว…

“คิดอะไรอยู่ ? เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร ? ใครจะพาเจ้าไปสถานที่แบบนั้น ? ” เจียงโม่หานเข้าใจความคิดของนางทันที เขาเคาะศีรษะนางแรง ๆ “ศาสตร์ทั้งหกแขนงของปัญญาชน ได้แก่ จารีต ดนตรี ยิงธนู ขับรถศึก เขียนอักษรและการคำนวณ ! เจ้าของคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงเป็นผู้มีความสง่างาม ทุกสองสามวันแรกของต้นเดือนจะมีการจัดงานประลองศาสตร์ทั้งหกแขนงขึ้นในคฤหาสน์ เหล่าบัณฑิตล้วนแห่กันไปที่นั่นเพื่อหวังใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตน…”

“อ้อ ! ฟังดูน่าสนุกดี แล้วคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงอนุญาตให้สตรีเข้าได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเกิดความสนใจขึ้นมา แต่ก็กลัวว่าทางคฤหาสน์จะไม่ต้อนรับสตรี หากนางตามไปแล้วจะกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะเสียมากกว่า ตัวนางไม่เท่าไรหรอก กลัวจะทำให้บัณฑิตน้อยกับต้าฮว๋าต้องลำบากไปด้วย

เจียงโม่หานมองนาง “นี่ก็เปิดมาสองรอบแล้ว สตรีก็สามารถเข้าร่วมการประลองได้ เจ้าอยากเข้าร่วมหรือไม่ ? ”

“ข้าหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยชี้มาที่จมูกตัวเองแล้วทำดวงตากลมโตเหมือนพระจันทร์เต็มดวง “ข้าจะไปประลองอะไรกับเขาได้ ? จะให้ไปแข่งความแข็งแรงกับเด็กสาวตัวน้อยน่ารักหรือไร ? ข้าชนะขาดลอยแน่นอน ! ”

หลินจื่อเหยียนหัวเราะอย่างมีความสุข “พี่รอง หากสู้กับพวกนาง ท่านใช้แค่นิ้วเดียวก็ล้มพวกนางได้หมดแล้ว ! ”

หลินเว่ยเว่ยเอื้อมมือไปบิดหูของน้องสาม “เจ้าเห็นคุณหนูตระกูลใหญ่หรือคุณหนูบอบบางที่ไหนใช้กำลังกันเล่า ? ล้างความคิดไม่ดีออกไปจากสมองเลยนะ”

เจียงโม่หานเลิกคิ้วให้นาง “เจ้าสามารถประลองแต่งบทกวีกับพวกนางได้ ! บทกวี ‘ร่ำสุรา’ นั้นผู้อาวุโสเซวียชมไม่ขาดปากเชียว…”

“กวีบทนั้นไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย เอาออกไปแข่งก็ไม่เท่ากับลอกเลียนผลงานคนอื่นหรือ ? ถ้าจะใช้ก็ต้องใช้ผลงานของบัณฑิตน้อย ลอกเลียนของคนบ้านตัวเอง ! ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์หรือก็คือ ‘ลอกเลียนแบบไม่เสียเงิน’ นั่นเอง ! ” หลินเว่ยเว่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

เจียงโม่หานเคาะศีรษะนางอีกรอบ “อย่าคิดว่าข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด ! ในสมองเท่าเมล็ดถั่วของเจ้าบรรจุเรื่องไร้สาระเต็มไปหมด”

หลินเว่ยเว่ยไหลไปตามน้ำ นางพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “ในสมองของข้าไม่ได้มีเรื่องไร้สาระ เพราะมีแต่เจ้า…”

แม้นางจะลดเสียงลงแล้ว แต่หลินจื่อเหยียนที่เดินอยู่ด้านข้างก็ยังได้ยินคำพูดของนางอยู่ดี หลินจื่อเหยียนรีบพูดว่า “พี่รอง ท่านเป็นผู้หญิง ช่วยรักนวลสงวนตัวหน่อยได้หรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเขา “ไป ไปให้พ้น ! ข้ากับคู่หมั้นกำลังจู๋จี๋กัน เกี่ยวอะไรกับเด็กอย่างเจ้า? ผู้ใหญ่คุยกันอยู่ เด็กอย่าพูดแทรก ! ”

หลินจื่อเหยียนมุ่ยปาก “ท่านแก่กว่าข้าปีเดียวไม่ใช่หรือ ? เหตุใดตัวท่านในปีที่แล้วไม่พูดว่าตนเป็นแค่เด็กคนหนึ่งบ้าง ? ”

หลินเว่ยเว่ยเตะเขาเบา ๆ หนึ่งที “เวลานี้ของปีก่อน ข้ายังเป็นแค่เด็กปัญญาอ่อนไม่ใช่หรือ ? เจ้าก็ปัญญาอ่อนด้วยหรือไร ? ถ้ายังกล้าเถียงข้าอีก ข้าจะตีเจ้า คอยดูสิ ! ”

หลินจื่อเหยียนทำท่าทางหมดคำพูด “เถียงไม่ได้ก็จะใช้กำลัง ! แล้วคนที่โดนรังแกอย่างข้าจะไปถามหาความยุติธรรมจากใครได้ ? ”

ระหว่างสนทนากัน เจียงโม่หานก็ขอความเห็นจากบัณฑิตคนอื่น ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจจะไปลองหาประสบการณ์ที่คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนง ทว่าตอนนี้เกือบถึงช่วงหัวค่ำแล้ว พวกเขาจึงไปหาโรงเตี๊ยมก่อน

พวกเขาลองถามโรงเตี๊ยมที่หนิงตงเซิ่งเคยจองให้คราวก่อน ตอนนี้ยังมีเหลือ 4 ห้อง หลินเว่ยเว่ย 1 ห้อง ส่วนคนอื่นที่เหลืออีกหกก็แบ่งกันไป ด้านเหลยหยู่และคนขับรถม้าอื่น ๆ ก็ไปหาโรงเตี๊ยมราคาถูกในละแวกใกล้เคียง

ห้องของเจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนเชื่อมต่อกับห้องของหลินเว่ยเว่ย เจียงโม่หานเดินเข้าไปในห้องของนางแล้วเห็นนางเอาผ้าห่มของโรงเตี๊ยมวางบนเตียงเตาแล้วเอาฟูกของทางโรงเตี๊ยมปูทับลงไป

จากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนฟูกนุ่ม ๆ “บัณฑิตน้อย ตอนกลางคืนก็เพิ่มไฟให้ห้องของพวกเราอีกหน่อยเถิด…ฤดูหนาวต้องนอนเตียงเตาถึงจะสบาย ! ”

โรงเตี๊ยมทางภาคเหนือจะมีเตียงเตาอยู่ทุกห้อง ไม่อย่างนั้นพอตอนกลางคืนอุณหภูมิติดลบแล้ว คนจะต้องแข็งเป็นก้อนน้ำแข็งแน่นอน !

เจียงโม่หานย่อกายนั่งบนเตียงเตาของนางแล้วพูดเหมือนมีอะไรในใจ “วันหน้าข้าจะหาสาวใช้มาคอยดูแลเจ้า เวลาออกไปข้างนอก เจ้าอยู่คนเดียวจะไม่ปลอดภัย”

หลินเว่ยเว่ยพลิกตัวแล้วพูดอย่างไม่เห็นด้วย “สาวใช้อะไรกัน ? เด็กน้อยร่างกายอ่อนแอ มือไม้ไม่มีแรงจะให้นางปกป้องข้าหรือข้าปกป้องนางกันแน่ ? บ้านเราไม่มีห้องว่างแล้ว ข้าไม่ชินกับการอยู่ร่วมห้องกับคนอื่นหรอก ! ”

นางมักเข้าไปในมิติน้ำพุวิญญาณเพื่อดูแปลงผักของตนบ่อย ๆ หากในห้องมีคนเพิ่มจะไม่สะดวก ตอนกลางคืนนางต้องกินผลไม้ 1 ผล แล้วจะอธิบายที่มาที่ไปของผลไม้ว่าอย่างไร ? ยุ่งยากจะตาย !

ในมิติน้ำพุวิญญาณนางปลูกข้าวสาลีไว้ 1 หมู่ ข้าวโพด 1 หมู่ แล้วก็ยังมีข้าวขาว 1 หมู่ พืชผลในมิติน้ำพุวิญญาณจะได้ผลผลิตสูงกว่าข้างนอก โดยเฉพาะข้าวขาวที่ได้รับน้ำพุวิญญาณเสมอ

นางไม่รู้ว่าข้าวของภาคใต้ได้ผลผลิตเฉลี่ยหมู่ละเท่าไหร่ นางประเมินด้วยสายตาว่าตอนนี้ข้าวขาวในมิติน้ำพุวิญญาณต้องมีประมาณ 1,000 ชั่ง ! ถ้าเอาเมล็ดพันธุ์มาปลูกข้างนอก แม้จะไม่เยอะเท่าในห้วงมิติ แต่ผลผลิตที่ได้ก็ต้องมีประมาณ 700-800 ชั่งแน่นอน

นางจำได้คร่าว ๆ ว่าข้าวสารในสมัยโบราณน่าจะมีปริมาณอยู่ที่ 300 กว่าชั่งต่อหนึ่งหมู่ หากเกิน 400 ชั่งก็ถือว่าหาได้ยากมาก…ไม่ได้ ตอนนี้เมล็ดพันธุ์ข้าวในมิติน้ำพุวิญญาณยังเอาออกมาใช้ไม่ได้ เพราะนางยังหาข้ออ้างมาอธิบายถึงที่มาที่ไปของเมล็ดพันธุ์ไม่ได้ !