ตอนที่ 118-2 ไล่ไปให้หมด
ตอนอยู่ในตระกูลขุนนาง กู้ชีเหนียงก็เป็นกึ่งๆ บ่าวคนหนึ่ง นางจึงกลัวติงเสี่ยวอิงยิ่งนัก แม้วันนี้ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้านายของผู้ใดแล้ว แต่ความหวาดกลัวที่มีต่อติงเสี่ยวอิงยังคงฝังอยู่ในกระดูก ติงเสี่ยวอิงตวาดครั้งหนึ่ง นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
อากุ้ยเปิดประตูเข้ามา เขามองติงเสี่ยวอิงที่กำลังทำหน้าบึ้ง แล้วหันไปมองกู้ชีเหนียงที่กลัวจนตัวสั่นระริก แล้วก้าวฉับๆ เข้ามาบังกู้ชีเหนียงไว้ด้านหลัง กล่าวกับติงเสี่ยวอิงว่า “มาถึงก็โหวกเหวกโวยวาย เจ้าคิดจะทำอะไร อยากไปจวนกั๋วกงเจ้าก็ไปเอง ไม่ต้องมาลากชีเหนียงไปด้วย!”
ติงเสี่ยวอิงมุ่นคิ้ว “อารอง! เหตุใดท่านมาถึงก็ปกป้องนาง”
“จงเกอร์เล่า” กู้ชีเหนียงถามเสียงเบา
อากุ้ยตอบเสียงเบา “อยู่กับฮูหยิน รอจิงอวิ๋นกับน้องสาวไปเรียนด้วยกัน”
ติงเสี่ยวอิงเห็นทั้งสองคนกระซิบกระซาบแก้มชิดหูก็ยิ่งฉุน “อารอง ข้าพูดกับท่านอยู่นะ ท่านไม่ได้ยินหรือ”
อากุ้ยเอ็ดอย่างไม่เกรงใจสักนิด “มีผู้ใดพูดจากับญาติผู้ใหญ่เช่นเจ้าบ้าง”
ติงเสี่ยวอิงถูกต่อว่า แล้วยังเป็นอารองผู้ไม่เคยโมโหต่อว่า นางจึงมึนงงไปเล็กน้อย
ติงหมิงกระตุกแขนเสื้อน้องสาว ทำท่าบอกให้นางอย่าใจร้อน
ทว่าติงเสี่ยวอิงกลับเป็นพวกยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ นางสะบัดมือของพี่ชายออกแล้วลุกขึ้นยืน “อารองยังจำได้หรือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของข้า เหตุใดออกมาพูดแทนบ่าวต้อยต่ำคนหนึ่ง แต่ไม่รู้จักปกป้องหลานสาวของตัวเอง!”
“เจ้าลองด่าชีเหนียงอีกคำดูสิ”
“ข้าด่านางแล้วจะเป็นอะไร ก็แค่บ่าวต่ำช้าที่ล่อลวงบิดาของข้า…”
เพียะ!
อากุ้ยฟาดฝ่ามือลงบนหน้าของติงเสี่ยวอิง!
ทั้งห้องเงียบกริบ
ทุกคนตาโตอ้าปากค้าง กู้ชีเหนียงได้สติกลับมาเป็นคนแรก นางก้าวออกมาจากด้านหลังของอากุ้ยแล้วเดินออกมาข้างหน้า “คุณหนู ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เพียะ!
ติงเสี่ยวอิงกลับตบบ้องหูของนาง!
การตบบ้องหูครั้งนี้บังเอิญตบเข้าตรงหูขวาของกู้ชีเหนียงพอดี กู้ชีเหนียงถูกตบเข้าที่หูขวาจนหูดับ ไม่ได้ยินเสียงใดสักนิดไปพักใหญ่
อากุ้ยเห็นนางยังกล้าตบชีเหนียง เพลิงโทสะก็ลุกโชนสามจั้งทันที ติงหมิงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบขวางอากุ้ยไว้ “อารอง! อารองท่านอย่าหุนหัน! พูดจากันดีๆ! เสี่ยวอิงเป็นหลานสาวของท่าน นางไม่รู้ความ ข้าจะต่อว่านางแทนท่านเอง ท่านอย่าลงมือเลย!”
น้องสาวถูกตบ ความจริงเขาก็ปวดใจนัก แต่คนตบคืออารอง บิดาไม่อยู่แล้ว อารองจึงเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของพวกเขา ญาติผู้ใหญ่สั่งสอนลูกหลานเล็กน้อย เขาย่อมขวางไม่ได้
แต่จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เห็นอารองโมโหร้ายเช่นนี้นะ…
กู้ชีเหนียงกลับทราบว่าอากุ้ยเป็นคนโมโหร้าย จงเกอร์ไม่เชื่อฟังขึ้นมาก็ถูกอากุ้ยตีจนก้นบวม นางไม่มีเวลาสนใจความเจ็บแสบบนใบหน้า รีบเข้าไปห้ามอากุ้ยไว้ “ท่านอย่าลงมือกับเด็กเลยนะ!”
ติงเสี่ยวอิงไม่รับน้ำใจของนาง “เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้ง! อารองของข้าตีข้าไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ เจ้ากรอกยาเสน่ห์อันใดให้อารองของข้ากิน”
อากุ้ยสวนอย่างโมโห “นางไม่ได้กรอกยาเสน่ห์ใส่ข้า! เจ้าให้เกียรติกันหน่อย ติงเสี่ยวอิง นับจากวันนี้เป็นต้นไป นางคืออาสะใภ้รองของเจ้า!”
ติงเสี่ยวอิงประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด “อะไรนะ อารองท่านบ้าไปแล้วหรือ นางเป็นอนุภรรยาของบิดาข้า! ท่านจะไปยุ่งกับนางได้อย่างไร”
กู้ชีเหนียงดวงตาแดงระเรื่อกล่าวว่า “คุณหนู ท่านอย่าตำหนิอารองของท่าน ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง”
ติงเสี่ยวอิงด่าทออย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย “แน่นอนว่าเป็นความผิดของเจ้า! หากไม่ใช่เจ้าล่อลวงอารองของข้า อารองของข้าจะต้องการหญิงแพศยาอย่างเจ้าหรือ นังปีศาจจิ้งจอก! นังจิ้งจอกมารยา! ผู้หญิงร่าน! หน้าไม่อาย!”
อากุ้ยเงื้อมือขึ้นมา “ติงเสี่ยวอิงเจ้าอยากโดนตีใช่หรือไม่!”
กู้ชีเหนียงกอดแขนของเขาไว้ “อากุ้ย! ท่านอย่าหุนหันพลันแล่นเช่นนี้!”
ติงเสี่ยวอิงเอ่ยเสียดสีกู้ชีเหนียงอีก “เจ้าเสแสร้งเป็นคนดีอะไร เจ้าล่องลวงบิดาข้า ทำให้มารดาข้าโกรธจนตาย ตอนนี้ยังมาล่องลวงอารองของข้าอีก เจ้าอยากทำให้ข้าโมโหจนตายสินะ! หากเจ้าทนความเปล่าเปลี่ยวไม่ได้ ข้างนอกมีบุรุษตั้งมากมาย! เหตุใดต้องจ้องแต่คนตระกูลติงของพวกเรา”
ดวงตาของอากุ้ยแทบจะมีเปลวเพลิงพ่นออกมา “ตอนแรกผู้ใดเป็นคนบังคับนำชีเหนียงไปมอบให้บิดาของเจ้า ทำไมเจ้าไม่ลองถามมารดาเจ้าดูเล่า”
ติงเสี่ยวอิงกัดฟันกรอด ถลึงตาใส่กู้ชีเหนียง “ดีนัก มารดาข้าตายไปแล้ว เจ้าก็เลยใส่ร้ายนางเช่นนี้!”
อากุ้ยอยากตบสาวน้อยคนนี้ให้ตายเสียจริง “ไม่เกี่ยวกับชีเหนียง! ข้ารู้ของข้าเอง!”
ติงเสี่ยวอิงยังคงตวาดใส่กู้ชีเหนียง “เกี่ยวหรือไม่เกี่ยว ตัวเจ้าเองรู้ดีแก่ใจ เจ้ามันตัวซวยทำครอบครัวล่มจม เจ้าทำมารดาข้าตาย ทำบิดาข้าตาย ตอนนี้ก็ยงจะมาทำร้ายอารองของข้าอีก! ครอบครัวข้าพังพินาศเพราะเจ้า! เจ้ามันตัวกาลกิณี”
“เจ้าไสหัวออกไป!” อากุ้ยโกรธจัด
“อากุ้ย ท่านหยุดพูด!” กู้ชีเหนียงตวาด
ติงเสี่ยวอิงถลึงตา “เจ้ากล้าตวาดอารองของข้า!”
อากุ้ยชี้หน้านาง “เจ้าลองตวาดชีเหนียงอีกสิ!”
ติงหมิงถูกปืนใหญ่สองกระบอกกระหนาบอยู่ตรงกลาง ถูกกระหน่ำยิงจนใกล้ตายแล้ว เขาอดกลั้นจนอดลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงตะโกนว่า “ทุกคนหุบปาก!”
“เจ้าให้นาง (เขา) หุบปากก่อนสิ!” อากุ้ยกับติงเสี่ยวอิงพูดเป็นเสียงเดียวกัน
ปังๆ !
เฉียวเวยทุบประตูเสียงดัง เรือนร่างเพรียวบางเอนพิงกรอบประตูอย่างเกียจคร้าน “ยังเช้าอยู่มาเอะอะอะไรกัน จะไม่ให้คนหลับคนนอนกันหรืออย่างไร”
ติงเสี่ยวอิงไม่ชอบสตรีผู้อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกล แต่ใจกว้างยิ่งกว่าเจ้านายของนางผู้นี้ นางจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เป็นเรื่องในครอบครัวข้า เจ้าอย่ามายุ่ง”
เฉียวเวยแค่นเสียงอย่างขบขัน “เรื่องในครอบครัวหรือ ข้าจ่ายเงินซื้อคนมาแล้ว กลายเป็นคนในครอบครัวเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”
ติงเสี่ยวอิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาเป็นอารองของข้า”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ข้ามิได้หูหนวก”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ายังจะยุ่งอีกหรือ” ติงเสี่ยวอิงถามเสียงเย็นชา
เฉียวเวยสวน “เจ้าก่อเรื่องในถิ่นของข้า แตะต้องคนงานของข้า ยังจะมีหน้ามาบอกให้ข้าไม่ยุ่งอีกหรือ เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร เป็นฮองเฮาหรือเป็นองค์หญิง”
แผ่นดินใต้ฟ้าล้วนเป็นของจักรพรรดิ ยิ่นอ๋องมาโดยไม่เชิญก็แล้วไปเถิด ดีเลวบิดาของผู้อื่นก็เป็นฮ่องเต้ แต่สาวน้อยคนหนึ่งนับเป็นตัวอะไร ถึงมาโวยวายจนโรงงานของนางอลหม่าน
หงส์ผู้ตกต่ำย่อมกลายเป็นไก่ หวนนึกถึงสมัยติงเสี่ยวอิงผู้นี้ยังเป็นคุณหนูแห่งจวนผู้ว่าราชการมณฑล ผู้ใดกล้าดูแคลนนางบ้าง ตอนนี้แม้แต่แม่ม่ายสาวที่มีเงินมีทองเพียงนิดหน่อยคนหนึ่งก็กล้าหักหน้านาง “ข้าเป็นคนของจวนกั๋วกง”
เฉียวเวยยิ้มหยัน “ข้าก็ป็นภรรยาของอัครมหาเสนาบดี!”
ติงเสี่ยวอิงปลดแผ่นป้ายที่ห้อยเอวไว้ออกมา “เบิ่งตาสุนัขของเจ้าดูให้ชัด นี่คือป้ายของจวนกั๋วกง!”
เฉียวเวยยื่นมือออกไปรับ ตอนแรกติงเสี่ยวอิงคิดจะหลบ แต่น่าเสียดายปฏิกิริยาตอบสนองของนางช้ากว่าเฉียวเวย เฉียวเวยคว้าป้ายมาดู “จวนอานกั๋วกง”
ติงเสี่ยวอิงเอ่ยอย่างลำพอง “กลัวแล้วสิ”
เป๊าะ!
เฉียวเวยหักป้ายเป็นสองท่อน
ติงเสี่ยวอิงตาโตอ้าปากค้าง “เจ้า…เจ้ากล้าทำลายป้ายของจวนกั๋วกง”
“ข้าทำหักหรือ” เฉียวเวยโยนป้ายที่หักลงบนพื้น “อากุ้ย เจ้าเห็นข้าทำหักหรือ”
อากุ้ยตอบว่า “ไม่เห็นขอรับ”
“ชีเหนียงเล่า” เฉียวเวยถาม
ชีเหนียงมิกล้าส่งเสียง แต่ยังกลั้นใจส่ายศีรษะ
“คุณชายน้อยเล่า” เฉียวเวยยิ้มจนตาหยี ทอดตาหวานใส่ติงหมิง
เด็กหนุ่มเลือดลมพลุ่งพล่าน ไหนเลยจะรับมือการยั่วยวนของนางปีศาจแซ่เฉียวได้
ติงหมิงรู้สึกกว่าโพรงจมูกร้อนวูบ เลือดกำเดาทะลักออกมา เขาปิดจมูกอย่างอับอายขายขี้หน้า แล้วรีบร้อนวิ่งจากไป…
ติงเสี่ยวอิงไม่เคยพบคนหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน “เจ้า…เจ้าๆ…เจ้าทำตัวไม่มีเหตุผล!”
เฉียวเวยยิ้มหยัน แล้วล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “คนที่ทำตัวไม่มีเหตุผลคือเจ้า เจ้ามองดูให้ชัด กระดาษแผ่นนี้ของข้าเขียนอยู่ชัดเจนว่าติงกุ้ยกับกู้ชีเหนียงเป็นคนของข้า พวกเขาจะเป็นก็ดี จะตายก็ช่าง ล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดข้า คนนอกตัดสินใจไม่ได้! เจ้าอย่าคิดจะมาพาคนของข้าไป ข้าคนนี้ไม่ขาดแคลนเงิน!”
ติงเสี่ยวอิงมองกระดาษในมือนางด้วยสายตาแปลกพิกล
เฉียวเวยจึงเหลือบดู “โอ๊ะ หยิบมาผิด นี่มันผลงานวาดลายเส้นของลูกสาวข้า”
เฉียวเวยเก็บผลงานชิ้นสำคัญของลูกสาวกลับไป “สรุปก็คือ เจ้าพาคนไปไม่ได้ หลังจากนี้ที่นี่ไม่ยินดีต้อนรับเจ้ามาอีก เสี่ยวไป๋ ส่งแขก!”
ติงเสี่ยวอิงคิดอยู่ว่าบ่าวคนใดมีชื่อโง่ๆ เช่นนี้ ทว่าเพียงชั่วความคิดแล่น ‘สุนัขน้อย’ ตัวหนึ่งก็กระโจนเข้ามาราวกับสายฟ้าแลบ
เสี่ยวไป๋นั่งอยู่บนพื้น มองติงเสี่ยวอิงอย่างเป็นมิตร
ไปสิ พี่สาว ไม่ไปอีกจะอยู่ฉลองปีใหม่หรือไร
ใช้สุนัขตัวหนึ่งมาส่งนาง! ชั่วพริบตานั้นติงเสี่ยวอิงรู้สึกถูกหยามเกียรติอย่างใหญ่หลวง ความจริงติงเสี่ยวอิงเข้าใจเฉียวเวยผิดแล้ว เสี่ยวไป๋เป็นเจ้าตัวน้อยที่ครองตำแหน่งสูงสุดของบ้านหากไม่นับเจ้าซาลาเปาน้อย ให้มันมาส่งแขกนับว่าให้ความสำคัญกับติงเสี่ยวอิงอย่างยิ่งแล้ว
ติงเสี่ยวอิงกำหมัดแน่นแล้วกล่าวว่า “ข้าจะพาจงเกอร์ไปด้วย! จงเกอร์ไม่ได้ถูกขายให้เจ้ากระมัง!”
ดวงหน้างามของกู้ชีเหนียงถอดสีทันควัน!
เฉียวเวยยิ้มละไม “ไม่ได้ถูกขายให้ข้า แต่ก็ไม่ได้ถูกขายให้เจ้านี่”
“เขาเป็นน้องชายของข้า!” เสียงหวานของติงเสี่ยวอิงตวาด
เฉียวเวยตอบอย่างสบายๆ “คำพูดนี้ เจ้าเก็บไว้ไปบอกนายท่านที่จวนกั๋วกงของเจ้า แล้วก็ไปบอกพวกใต้เท้าขุนนาง หากพวกเขาออกหนังสือฉบับหนึ่งมาให้ข้า ข้าก็จะให้เจ้าพาจงเกอร์ไป เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร”
ติงเสี่ยวอิงยังอยากจะกล่าวอันใดอีก แต่เสี่ยวไป๋กัดรองเท้าของนาง นางเจ็บจนพูดไม่ออกสักคำ…
…
อากุ้ยเดินออกมาส่งเฉียวเวยแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณท่านมาก”
“เรื่องนี้มีสิ่งใดให้ต้องขอบคุณ ก่อเรื่องในถิ่นของข้า ข้าย่อมไม่ยุ่งไม่ได้”
อากุ้ยชะงักครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจแน่วแน่ก่อนจะเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ท่าน…ไม่เหยียดหยามข้ากับชีเหนียง”
ที่แท้ก็ขอบคุณเรื่องนี้
กล่าวกันตามตรง ตอนแรกที่ได้ยินความสัมพันธ์อันซับซ้อนของครอบครัวนี้ นางก็ตกใจไม่น้อยจริงๆ แต่สามีของชีเหนียงล่วงลับไปแล้ว ย่อมมิอาจปล่อยให้นางครองตัวเป็นม่ายทั้งชีวิต อากุ้ยคนนี้ดูภายนอกคบหาไม่ง่าย เพราะเขาระแวงผู้คนรวมถึงตัวนางเองอย่างยิ่ง แต่นางมองออกว่าอากุ้ยจริงใจต่อชีเหนียง
สมบัติเลอค่าอันใดล้วนหาง่าย แต่บุรุษผู้รักจริงหายากนัก เทียบกับบุรุษข้างนอกที่อาจรังเกียจเรือนร่างไม่บริสุทธิ์ของชีเหนียงกับบุรุษที่อยากตบแต่งนางเข้าเรือนไปเล่นสนุกเพียงอย่างเดียวเหล่านั้น อากุ้ยก็เป็นที่พักพิงที่ดีกว่าจริงๆ
เฉียวเวยลองคิดทุกแง่มุมจากจุดยืนของชีเหนียง เพราะนางชอบชีเหนียงยิ่งนัก ส่วนอากุ้ยได้รับความเมตตาเล็กน้อยเพราะเป็นคนรักของชีเหนียง “พวกเจ้ารักกันจากใจจริง ข้ามีแต่จะอวยพรให้พวกเจ้า”
นี่เป็นคำอวยพรแรกที่ได้ยินหลังจากอยู่ด้วยกันกับชีเหนียง
หัวใจของอากุ้ยถูกอารมณ์อันมิอาจระบุชื่อเติมเต็ม หน้าอกพองโตเหมือนมีบางสิ่งจะทะลักออกมา
ความจริงแล้วสมัยอยู่ในตระกูลขุนนาง เขามิเคยคิดเป็นอื่นกับชีเหนียง เขาถึงขั้นดูแคลนชีเหนียงอยู่เล็กน้อย เหมือนเช่นที่ดูแคลนอนุภรรยาทั้งหลายในเรือน จนกระทั่งหลังจากบ้านแตกสาแหรกขาด พวกเขาถูกขังอยู่ด้วยกัน ถูกบังคับให้อยู่ด้วยกันทุกวัน เขาจึงหวั่นไหวกับความอ่อนหวานของชีเหนียง จนเกิดเป็นความสัมพันธ์ในวันนี้
แต่เขาก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์เช่นนี้เปิดเผยมิได้ หากมิใช่ว่าร้านคนโปรดจำเป็นต้องแจ้งความเป็นมา เขาก็คงกลบฝังอดีตของตนเองกับชีเหนียงไปแล้ว
ผู้อื่นไม่ด่าทอสาปแช่งพวกเขาก็ไม่เลวแล้ว ไหนเลยยังจะอวยพรจากใจจริงอีก
อากุ้ยมองเฉียวเวย อ้าปากอยากพูดบางสิ่ง แต่เฉียวเวยกลับคฤหาสน์ไปแล้ว
สุดท้ายติงเสี่ยวอิงก็ไม่ได้มาพาจงเกอร์ไป ประการแรกจงเกอร์เองไม่ยินยอม เป็นตายก็ไม่ยอมไปกับนาง ประการที่สองนางเป็นสาวใช้ทำงานให้ตระกูลใหญ่ ตนเองก็ไม่มีเวลาว่างอยู่แล้ว และความจริงนางก็ไม่ต้องการแบ่งเรี่ยวแรงมาดูแลน้องชายที่เป็นลูกอนุด้วย
เฉียวเวยให้ชีเหนียงพักสองวัน เรื่องในโรงงานมอบให้ปี้เอ๋อร์ทำชั่วคราว
ในที่สุดปี้เอ๋อร์ก็ได้โอกาสเข้ามาในโรงงาน แต่นางกลับไม่ดีใจเท่าที่จินตนาการไว้
เพราะนางค้นพบว่าฮูหยินเป็นคนดีคนหนึ่ง
ในสายตาของเจ้านายที่อื่น บ่าวรับใช้เป็นเพียงเครื่องมือทำงานชิ้นหนึ่ง แต่ในสายตาของฮูหยิน บ่าวรับใช้คือมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ควรค่าถูกปกป้อง ได้รับการให้เกียรติ
เมื่อกลับมาถึงที่พัก ปี้เอ๋อร์ก็เงียบงัน
คนที่เงียบงันเช่นเดียวกันยังมีเสี่ยวเว่ยที่มองเห็นทุกสิ่งกับตาจากนอกประตูอีกคนหนึ่ง
เสี่ยวเว่ยไม่คิดว่าฮูหยินจะเท่เช่นนี้ คิดจะสั่งสอนคนของจวนกั๋วกงก็สั่งสอน วีรบุรุษผู้ไม่ก้มหัวให้อำนาจเช่นนี้ ช่างสมควรขึ้นเขามาเป็นโจรด้วยกันกับพวกเขาจริงๆ!
วันต่อมา ในที่สุดก็ไม่มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือนอีก
เวลาในโรงงานผ่านไปรวดเร็วเสมอ ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน เสี่ยวเว่ยบอกลาสหายในโรงงานจากนั้นก้าวเท้าเร็วไวกลับไปยังค่ายวายุทมิฬ
หัวหน้าค่ายกับพี่น้องทั้งหลายรุมเข้ามาห้อมล้อมตัวเขา
“วันนี้มีกุ้งหรือไม่” ปรมาจารย์แห่งพิษสังหารตู้ซานเชียนดวงตาเป็นประกาย
เมื่อวานกินกุ้งกันไม่หมด กู้ชีเหนียงได้ยินว่าบ้านของเสี่ยวเว่ยอยู่ละแวกนี้จึงให้เสี่ยวเว่ยห่อกุ้งสองชั่งที่เหลือกลับไปด้วย แล้วยังห่อไข่เยี่ยวม้าให้อีกหลายฟอง
“มีไข่ๆ หรือเปล่า” เจินเวยเหมิ่งจอมพลังถามอย่างน่ารักน่าชัง
หัวหน้าค่ายฟาดฝ่ามือตบกะโหลกของเขา “ไข่ๆ อะไรของเจ้า! พูดจาดีๆ ไม่เป็นหรือ”
เจินเวยเหมิ่งทำท่าทางน่าสงสาร ‘เขาไม่ได้พูดจาดีๆ ตรงไหนเล่า เรียกไข่ๆ แล้วเป็นอะไร ท่านไม่มีไข่ๆ หรือ ไข่ๆ ไข่ๆ ก็คือไข่ๆ !’
หัวหน้าค่ายยิ้มถามเสี่ยวเว่ย “มีไข่ๆ เยี่ยวม้าหรือไม่ เสี่ยวเว่ยเว่ย”
เจินเวยเหมิ่ง ‘ช่างดูถูกกันยิ่งนัก!’
เสี่ยวเว่ยหยิบปลาทอดตัวเล็กตัวน้อยชามหนึ่งออกมา “วันนี้อาหารคือปลาน้อยทอด!”
เมื่อเห็นปลาทอดตัวน้อยสีเหลืองทองกรอบนอกนุ่มในพร้อมกับได้กลิ่นหอมชวนสวาปาม ค่ายวายุทมิฬก็อลหม่านในทันใด…
เช้าตรู่บนภูเขา สายลมเย็นโชยพัด สกุณาร่ำร้องบุปผาแผ่กลิ่นสุคนธ์
เด็กๆ ยังนอนหลับอย่างสบายอุรา แต่เฉียวเวยกลับหาบถังน้ำสองใบไปรดน้ำให้ไร่แตงโม
อากาศอันไร้มลพิษ สูดหายใจเข้าไปช่างสดชื่น หมู่บ้านที่ตีนเขามีควันจากการหุงหาอาหารลอยขึ้นมา ขุนเขาเขียวขจีตั้งตระหง่านลับหายไปในม่านเมฆ หมู่วิหคสยายปีกร่อนถลาบินโฉบฉวัดเฉวียน
เมื่อได้อยู่ท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามเช่นนี้ มุมปากของเฉียวเวยก็ยกโค้งขึ้นอย่างห้ามตนเองมิได้
“ฮูหยิน!”
เฉียวเวยกำลังจมอยู่กับทัศนียภาพอันงดงามของธรรมชาติ จู่ๆ ก็ถูกเสียงของใครคนหนึ่งเรียกอย่างไม่ทันตั้งตัว นางตกใจสะดุ้งโหยง น้ำในถังเกือบหกคว่ำ!
เสี่ยวเว่ยยิ้มตาหยีอ้อมมาด้านหน้าของนาง “ฮูหยิน อรุณสวัสดิ์ขอรับ!”
เฉียวเวยมองเขาอย่างแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น เจ้าจึงมาเช้าปานนี้”
“บ้านข้าอยู่ใกล้ขอรับ! อยู่บนเขาลูกตรงข้ามนี่เอง มองจากตรงนี้ก็มองเห็นบ้านของข้า!” เสี่ยวเว่ยยกมือชี้
เยี่ยม ตำแหน่งที่ตั้งรังโจรถูกเปิดเผยแล้ว
หัวหน้าค่าย ‘อยากตีเจ้าโง่คนนี้ให้ตายจริงๆ…’
เฉียวเวยขานอ้อ แล้วแสร้งทำเป็นว่าตนมองเห็น ความจริงด้วยเหตุผลด้านภูมิประเทศ เมื่อมองจากด้านล่างขึ้นไปข้างบนจึงมองไม่เห็นค่ายวายุทมิฬ
แน่นอนว่าอีกเหตุผลหนึ่งก็คือตัวค่ายวายุทมิฬทั้งทรุดโทรมแล้วยังเตี้ย หากสร้างเป็นคฤหาสน์อย่างบ้านของเฉียวเวยก็คงมองเห็นชัดแจ๋วไปแล้ว!
“ที่แท้บ้านของเจ้าก็อยู่ใกล้เท่านี้เอง” เฉียวเวยไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวเช่นนี้ ความจริงแล้วเพราะนางไม่สนิทกับเสี่ยวเว่ยจึงหาเรื่องมาคุยไม่ถูก นางจึงหาเรื่องพูดสักประโยคเท่านั้น
เสี่ยวเว่ยกลับคิดว่าที่แท้ฮูหยินสนใจที่อยู่ของข้าเช่นนี้ วันหน้าจะต้องเชิญฮูหยินไปดื่มชาให้ได้!
เสี่ยวเว่ยผู้จมอยู่ในความสุขสันต์ จำไม่ได้อย่างสิ้นเชิงว่าตนเองเป็นสายลับตัวน้อยที่ลอบเข้ามาในค่ายของศัตรู เห็นเฉียวเวยหาบน้ำสองถังก็รีบขันอาสาอย่างกล้าหาญ “ฮูหยิน เหตุใดท่านจึงมาตักน้ำเล่า ส่งให้ข้าเถอะ! งานเช่นนี้ล้วนเป็นงานของบุรุษ!”
บุรุษหรือ
เฉียวเวยมองสำรวจ ‘ซี่โครงเดินได้ที่ชื่อเสี่ยวเว่ย’ ตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง
เสี่ยวเว่ยกระแอม “ถึงจะเห็นว่าข้าผอม แต่ทั้งตัวข้ามีแต่กล้าม…เนื้อออ”
คำสุดท้ายฉับพลันกลายเป็นร้องเสียงหลงจนเส้นเสียงแทบแตก สาเหตุมิใช่อื่นใด เมื่อเขาพูดได้ครึ่งหนึ่ง เฉียวเวยก็วางหาบลงบนหัวไหล่ของเขาอย่างไม่บอกไม่กล่าว น้ำหนักของน้ำสองถังกดลงมาในชั่วพริบตาจนเขาร้องเสียงแสบแก้วหูออกมาเป็นเสียง ‘เทเนอร์’
ท่านย่าจ๋า เหตุ ใด จึง หนัก เช่น นี้
เมื่อครู่ฮูหยินมิได้หาบด้วยท่าทางสบายๆ หรืออย่างไร
เขากำลังแบกหาบปลอมอยู่ใช่หรือไม่
เฉียวเวยตบหัวไหล่ของเขา “ข้าจะเดินไปที่ไร่ก่อน เจ้าค่อยๆ แบกไปนะ”
“…ฮู หยิน ท่าน ไป เถิด ขอรับ ประเดี๋ยว เดียว ข้า ก็ แบก ถึง แล้ว ข้า แบก ไหว…”
นี่เป็นคำพูดที่เสี่ยวเว่ยกล่าวออกมาอย่างหนัก แน่น ทรง พลังที่สุดในชีวิตนี้แล้ว!
เขา…หยิ่ง…ใน…ศักดิ์ศรีจริงน้า
เฉียวเวยฮัมเพลงเบาๆ เดินจากไป บนแขนของนางหิ้วตะกร้าใบหนึ่ง ภายในตะกร้ามีพลั่วเหล็กด้ามใหญ่ หินลับมีดหนึ่งชิ้น กรรไกรขนาดใหญ่หนึ่งเล่มกับถุงน้ำหนึ่งใบ น้ำหนักหนักจนน่าตกตะลึง
เมื่อเฉียวเวยเดินมาถึงไร่ก็เห็นอากุ้ยอยู่ที่นั่นแล้ว นางเรียกอย่างประหลาดใจ “อากุ้ยหรือ เจ้ามาได้อย่างไร” เมื่อเห็นถังน้ำที่เขาหิ้วอยู่กับขันน้ำ รวมไปถึงแตงโมที่เกือบจะถูกน้ำท่วมตายด้านหลังร่างเขา นางก็หัวเราะดังพรืด “เจ้าช่วยข้ารดน้ำสินะ ขอบคุณมาก แต่เจ้ารดมากเกินไปแล้ว แตงโมจะจมน้ำตายอยู่แล้ว”
“เอ๋” อากุ้ยหน้าแดงระเรื่อ “ข้า…เมื่อก่อนข้า…”
“เมื่อก่อนไม่เคยทำไร่สินะ” เฉียวเวยวางตะกร้าลงบนคันนาแล้วหยิบพลั่วขึ้นมา จากนั้นยิ้มละไมกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าชักน้ำไปด้านนั้นก็ใช้ได้แล้ว ขอบคุณเจ้ามากนะ อากุ้ย”
อากุ้ยกระแอม แล้วเอ่ยอย่างเขินอาย “ข้า…ข้าไม่มีอะไรทำจึงมาฝึกร่างกาย”
ฝีกร่างกายต้องมาฝึกที่แปลงแตงโมของนางด้วยหรือ
เฉียวเวยมองออกแต่ไม่พูด นางเพียงยิ้มแล้วเริ่มชักน้ำ “ปีนี้แล้ง แตงโมโตได้ไม่ดี ลูกเล็กทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะหวานหรือไม่หวาน เจ้ารดน้ำครั้งละนิดก็พอแล้ว”
อากุ้ยฟังนางสอนเรื่องการทำไร่นา พลางขยับไปรดน้ำแตงโมที่ยังแห้งอยู่ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ ความจริงก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
หลังจากอากุ้ยกับเสี่ยวเว่ยช่วยรดน้ำเสร็จก็กลับไปทำงานในโรงงาน เฉียวเวยอยู่ต่อเพื่อจัดการกับวัชพืชในแปลงสักหน่อย ตอนเช้าทำไม่เสร็จ ตอนบ่ายจึงทำต่อ เหน็ดเหนื่อยนักกว่าจะจัดการไร่แตงโมจนเรียบร้อย ตอนนั้นพระอาทิตย์ก็ตกเขาไปแล้ว
เฉียวเวยร้อนจนเวียนศีรษะ หลงคิดไปว่ายังเช้าอยู่ ปลายหางตาเหลือบเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ด้านข้าง จึงยื่นมือออกมาโดยไม่ได้คิด “ถัง”
ถังถูกส่งมาให้
เฉียวเวยตักน้ำขันหนึ่งรดลงบนพื้นอย่างพิถีพิถัน เมื่อรดเสร็จจึงส่งถังกลับไป “เหนื่อยจะตายแล้ว ถือไว้ก่อน”
ถังถูกหิ้วไว้
“โอ้ย เอวข้า” เฉียวเวยปวดจนลุกไม่ขึ้น
“ให้นวดหรือไม่”
“อืม…” เฉียวเวยพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ฝ่ามือใหญ่ทรงพลังข้างหนึ่งวางลงบนเอวที่แข็งตึงจากการทำงานของนางอย่างแผ่วเบา เรี่ยวแรงไม่หนักไม่เบา พอดิบพอดี
เฉียวเวยสบายจนครางออกมา นางรู้สึกว่าแผ่นหลังสัมผัสถูกแผ่นอกกำยำ นางมึนๆ งงๆ อยู่จึงเอนตัวไปพิงทั้งอย่างนั้น
สบายนักเชียว…
ประเดี๋ยวก่อน ไม่ถูกต้องสิ!
นางไปพิงร่างอากุ้ยได้อย่างไรเล่า
สวรรค์!
เฉียวเวยตกใจจนหน้าถอดสี นางลนลานหมุนตัวกลับมา แต่แล้วก็เห็นบุรุษงามประหนึ่งหยก ท่วงท่าสง่างามยิ่งกว่าผู้ใดยืนอยู่ที่นั่น มองนางด้วยแววตารักใคร่และอ่อนโยน แต่แฝงแววเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอยู่นิดๆ ฝ่ามือใหญ่ที่นวดเฟ้นให้นางอยู่ชะงักค้างกลางอากาศ ริมฝีปากแดงสวยยกโค้งขึ้นนิดๆ “หัวหน้าพรรคเฉียวช่างขยันขันแข็งจริงๆ”
“ไม่ใช่นะ ข้า…เมื่อครู่ข้าเหนื่อยจนมึนงง…” ตอนนี้เฉียวเวยเห็นเขาก็อดนึกถึงเรื่องที่เป็นสามีภรรยากันชั่วข้ามคืนไม่ได้ จึงยังกระดากอายอยู่เล็กน้อย “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองสวมเสื้อผ้าป่านเนื้อหยาบ กระโปรงก็เต็มไปด้วยโคลน แล้วยังโพกผ้าบนศีรษะ สวมรองเท้าฟาง สภาพเช่นนี้ยิ่งทำให้นางทำอันใดมิถูกมากขึ้นอีก
จีหมิงซิวมองความลำบากใจของนางออก จึงยิ้มจางๆ พลางกล่าวว่า “สภาพน่าเกลียดแบบใดของเจ้าที่ข้ามิเคยเห็นบ้าง”
“ผู้ใดน่าเกลียด” เฉียวเวยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้า แล้วเชิดคางขึ้น “ฮูหยินผู้นี้โฉมสะคราญจนจันทร์เร้นหลบมวลผกาละอาย สวมสิ่งใดก็งามเลิศทั้งสิ้น”
จีหมิงซิวมองดวงหน้าที่เปื้อนเป็นดวงของนาง แล้วอดไม่ได้ยกมุมปากขึ้น “อืม ฮูหยินงามที่สุด”
โอ้ย คำว่าฮูหยินคำนี้ ไฉนจึงฟังแล้วคลุมเครือเช่นนี้เล่า
จีหมิงซิวหิ้วตะกร้าที่นางวางไว้บนพื้นขึ้นมาแล้วจับมือของนาง
เฉียวเวยรู้สึกราวกับต้องเหล็กร้อนจึงคิดจะชักมือกลับ แต่ถูกเขากุมไว้แน่น จะว่าไปแล้วก็แปลก มือของเขาดูขาวผ่องเรียวยาวเหมือนทำจากหยก แต่กลางฝ่ามือกับบนนิ้วกลับมีหนังด้านบางๆ เฉียวเวยเอ่ยอึกอัก “ข้า มือข้ามีแต่โคลน”
“ข้าไม่ถือ”
“เดี๋ยว…เดี๋ยวคนอื่นจะเห็นเข้า!”
จีหมิงซิวโต้ว่า “ลูกก็มีแล้ว ยังจะกลัวถูกผู้อื่นเห็นอีกหรือ”
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ “นี่มันคนละเรื่องกัน คืนนั้นข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ลูกเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น!”
ริมฝีปากบางของจีหมิงซิวยกโค้ง “อุบัติเหตุเช่นนั้น หลังจากนี้คงมีอีกมาก”