เล่ม 1 ตอนที่ 119-1 หวนพบคู่แค้น

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 119-1 หวนพบคู่แค้น

เฉียวเวยเดินอยู่ดีๆ พอได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาประโยคนี้ก็เซเกือบหน้าคว่ำ!

คนเคร่งขรึมจู่ๆ พูดถ้อยคำลามกเช่นนี้ออกมาจะดีหรือ

นางตกใจแทบแย่!

เมื่อกลับขึ้นไปบนเขา ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะยุ่งจนถึงค่ำหรือไม่ เฉียวเวยจึงให้ชีเหนียงช่วยดูแลจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู บังเอิญว่าสองวันนี้ชีเหนียงไม่ต้องทำงานในโรงงาน นางจึงถือตะกร้าเข็มกับด้ายมาตัดเย็บเสื้อผ้าอยู่ตรงประตู จิ่งอวิ๋น วั่งซูกับจงเกอร์ทำการบ้านเสร็จแล้วก็เล่นกันอยู่แถวประตูด้วย

ปี้เอ๋อร์ทำอาหารเย็น เมื่อทุกคนทานเสร็จแล้ว ปี้เอ๋อร์ก็อาบน้ำให้เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคน เจ้าซาลาเปาน้อยนอนบนเตียงอย่างเชื่อฟัง!

ตอนอยู่ที่จวนปี้เอ๋อร์ทำงานรับใช้เรือนรอง เรือนรองมีเด็กแสบที่แม้แต่ผียังต้องปวดเศียรเวียนเกล้าคนหนึ่ง เขาทำให้ผู้อื่นวุ่นวายจนไม่มีวันใดทำงานสงบสุข ปี้เอ๋อร์เพียงเห็นเขาก็ขวัญผวา

เด็กแสบที่ทำให้ปี้เอ๋อร์หวาดกลัวมิใช่ใครอื่น เขาก็คือเฉียวอวี้ฉีบุตรชายคนเล็กของสวีซื่อนั่นเอง

เฉียวอวี้ฉีเป็นคนประเภทที่ซนจนจะปีนขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคาบ้านได้ทุกวี่ทุกวัน ขอเพียงเป็นคนที่เคยรับใช้เขา ไม่มีผู้ใดไม่เคยถูกเขาแกล้งจนร้องไห้ เริ่มแรกปี้เอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของสวีซื่อยิ่งนัก นางจึงถูกสวีซื่อส่งไปดูแลเฉียวอวี้ฉีอยู่หลายวัน

ช่วงเวลาหลายวันนั้นคือฝันร้ายของชีวิตนางโดยแท้!

นางสาบานว่านางยอมถูกปลดไปทำงานห้องซักล้าง ดีกว่าต้องมารับใช้ข้างกายคุณชายสามอีก

อาจเป็นเพราะมีปมในใจเช่นนั้นกับคุณชายน้อย ครั้งแรกที่พบจิ่งอวิ๋น นางจึงอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง แต่เมื่อได้สัมผัสสองสามวัน นางก็ค่อยๆ วางใจ จิ่งอวิ๋นเป็นเด็กดี รู้ความและขยันหมั่นเพียรกว่าคนรุ่นเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นเด็กน้อยน่ารักที่ดูแลง่ายอย่างยิ่งคนหนึ่ง

วั่งซูก็ดูแลง่ายเช่นกัน เพียงแต่พลังทำลายล้างสูงไปบ้างก็เท่านั้น แต่ปากนางหวานจ๋อย ชวนให้คนรักใคร่อย่างยิ่ง

“พี่ปี้เอ๋อร์ บนศีรษะท่านประดับสิ่งใดอยู่หรือ สวยจริงเชียว!”

“ปิ่นเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ปลดปิ่นทองแดงบนศีรษะลงมา แล้วส่งให้วั่งซูดู

มือน้อยของวั่งซูรับไป แต่นางกำเบาๆ ครั้งเดียว ปิ่นก็หักเป็นสองท่อน

ปี้เอ๋อร์ “…”

นางขอถอนคำพูดเมื่อครู่!

เฉียวเวยโอ้เอ้อยู่ที่สวนพักหนึ่ง ตอนเข้ามาในห้องเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนจึงหลับไปแล้ว

ครั้นปี้เอ๋อร์ถอยออกไป จีหมิงซิวจึงเดินเข้ามา

จีหมิงซิวเดินไปข้างเตียง มองเด็กน้อยที่หลับสนิททั้งสองคน ฟังเสียงลมหายใจเบาๆ ของพวกเขา ดวงตามีประกายอ่อนโยนพาดผ่านอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่ามองอยู่นานเท่าใด ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือออกมา

“ประเดี๋ยวก่อน!” เฉียวเวยที่อาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วตักน้ำอ่างหนึ่งเดินเข้ามา เฉียวเวยรีบบอกว่า “บนมือท่านมีแต่โคลน อย่ามาจับลูกข้าให้เป็นตุ๊กตาโคลนสิ”

“ลูกของเรา” จีหมิงซิวเอ่ยแก้ แล้วใช้น้ำที่นางยกมาให้ล้างมือ

ข้อนิ้วของเขาเห็นเด่นชัด นิ้วเรียวยาวดั่งหยก เมื่อแช่อยู่ในน้ำขยับจนเกิดหยาดน้ำกระเซ็นเบาๆ ช่างงดงามเพลินตาเพลินใจ

เฉียวเวยมองมือของเขาตาค้าง จนลืม ‘แก้’ คำพูดที่เขาจงใจประทับตราความสัมพันธ์ให้ทั้งคู่ประโยคนั้น

มีบุรุษที่มือเรียวสวยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

หากอยู่ในยุคปัจจุบัน คงเป็นมือของนักเปียโนสินะ…

หายากที่นางจะไม่เถียงคำพูดของจีหมิงซิว จีหมิงซิวอารมณ์ดียิ่งนัก เขาล้างมือเสร็จก็ลูบใบหน้าน้อยของเด็กทั้งสองคน แล้วนั่งลงอย่างสุขใจ

วั่งซูนอนทับตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง ด้วยเกรงว่านางจะนอนไม่สบาย จีหมิงซิวจึงยกขาอวบอ้วนน้อยๆ ของนางขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แล้วดึงตุ๊กตาออกมาจากใต้ก้นของนาง ไหนเลยจะคิดว่าวั่งซูกลับเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ เท้าข้างหนึ่งถีบเข้าใส่ใบหน้าของเขา…

ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีถอดหน้ากากออกแล้ว เพียงพริบตาเดียวบนใบหน้าขาวผ่องดั่งหยกจึงมีรอยท้าน้อยๆ สีแดงข้างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

เฉียวเวยกลั้นไม่ไหว หัวเราะออกมา “ผู้ใดให้ท่านไปแย่งของของนางเล่า!”

คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีไม่เพียงไม่โกรธ แต่ตรงกันข้ามกลับอารมณดี กระทั่งยามนอนก็ไม่ยอมให้ผู้อื่นแตะต้อง แสดงว่าลูกสาวชอบของขวัญที่เขาส่งมาให้มิใช่หรือ ดูไม่ออกเลยว่าลูกสาวที่ยามปกติใสซื่อขี้กลัว เวลาปกป้องสิ่งใดขึ้นมาจะดุร้ายยิ่งนัก ช่างเหมือนบิดา

เมื่อคิดสิ่งใดขึ้นมาได้ จีหมิงซิวก็ถามอีก “จิ่งอวิ๋นชอบหรือไม่”

“ท่านหมายถึงหนังสือที่ท่านส่งมาให้สินะ” เฉียวเวยนึกดู “เรื่องนี้ต้องถามตัวเขาเองแล้ว จิ่งอวิ๋นไม่ชอบพูด คิดสิ่งใดล้วนเก็บเอาไว้ในใจ ไม่เหมือนวั่งซูที่สุขทุกข์รักชังล้วนเขียนอยู่บนใบหน้า”

ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่ชอบเท่าใดนัก เพราะหากชอบ อ่านทุกวัน อ่านทุกคืน ไม่จำเป็นต้องพูด เฉียวเวยก็คงสังเกตเห็นแล้ว

ต้องขอบอกว่าใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเก่งกาจในด้านการจับสังเกตสิ่งต่างๆ ยิ่งนัก

จีหมิงซิวไม่ท้อ จิ่งอวิ๋นไม่ชอบหนังสือ ถ้าเช่นนั้นส่งสิ่งอื่นมาให้ก็ได้ ราชวงศ์ต้าเหลียงมีสมบัติมากมายปานนั้น ต้องมีสักสิ่งที่จิ่งอวิ๋นชื่นชอบ

“วันนี้ท่านมาได้อย่างไร” เฉียวเวยถามอย่างฉงน

“ข้ามาหาลูกของข้ามิได้หรือ” จีหมิงซิวย้อนถาม

หากจะมาหาก็คงมาหาตั้งนานแล้ว ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ การหลบเลี่ยงคำครหาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากปล่อยให้ผู้อื่นค้นพบว่าเมื่อห้าปีก่อนนางเคยมีสัมพันธ์กับเขาด้วย ตัวตนของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็จะพิสูจน์ให้ชัดยากแล้ว

เฉียวเวยเชื่อว่าในจุดนี้เขากับตนมีความคิดเห็นตรงกัน นั่นก็คือต้องหาหลักฐานมาปฏิเสธ ‘ความจริง’ เมื่อห้าปีก่อน ให้ยิ่นอ๋องสามสไตรค์ออกจากเกมไปก่อน จากนั้นค่อยประกาศตัวตนของเด็กๆ อย่างสง่าผ่าเผย

ตัวจีหมิงซิวอยากเปิดเผยความจริงให้ทุกคนรับรู้เร็วขึ้นอีกนิด จะได้รับพวกเขาแม่ลูกกลับจวนเร็วขึ้นอีกหน่อย แต่จนปัญญาที่หมอพเนจรผู้เป็นประจักษ์พยานเพียงหนึ่งเดียวผู้นั้นเหมือนระเหยหายไปจากโลกมนุษย์ ไห่สือซานใช้กำลังคนทั้งหมดแล้วก็ยังมิได้ผลลัพธ์แต่อย่างใด

ส่วนตัวเอกหญิงอีกคนในเหตุการณ์ก็ไม่รู้ว่าไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว หรือรู้ว่าไห่สือซานกำลังสืบหานางอยู่ นางจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียยิ่งกว่าหมอพเนจรอีก

ในช่วงเวลาหลายปีนี้ นอกจากอาการป่วยของตน นี่เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้เขาปวดศีรษะ

เขาเชื่อว่าใต้หล้าคงไม่มีบิดาคนใดไม่ชอบบุตรของตนเอง เขาก็เช่นกัน เขาหวังว่าจะรับพวกเขากลับจวนได้ในเร็ววัน ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้า ทว่าการหายตัวไปของสองคนนั้นราวกับหุบเหวกั้นขวาง กีดก้นเส้นทางที่พวกเขาพ่อลูกจะได้อยู่กันพร้อมหน้าไว้อย่างสิ้นเชิง

“ท่านไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ หาไป!” เฉียวเวยยิ้มปลอบ

จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้น “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังวางแผนอะไร รีบล้มเลิกความคิดนั้นเสีย”

เฉียวเวยหลบตามองขึ้นฟ้า “ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ข้าหรือจะมีแผนอันใด”

ยอมรับก็ได้ ความจริงนางกลัวเล็กน้อยว่าเขาจะพรากเจ้าซาลาเปาน้อยไปจากนาง นางเลี้ยงเด็กๆ มานานเช่นนี้ ลำบากนักกว่าจะขุนให้ตัวขาวอวบอ้วน น่ารักน่าชังเช่นนี้ อยู่ๆ เขามาพูดประโยคเดียวว่าเด็กๆ เป็นลูกของเขา คิดอย่างไรก็รู้สึกไม่ยินยอม

จีหมิงซิวยื่นฝ่ามือใหญ่ออกมา ลูบศีรษะของนางเบาๆ

เฉียวเวยหวาดกลัวการที่ผู้อื่นทำดีกับนางที่สุด หากเขาโกรธนาง นางยังโมโหเขากลับได้ แต่การโจมตีด้วยความอ่อนโยนเช่นนี้ทำให้คนไร้กำลังต่อต้านมากที่สุดแล้ว เฉียวเวยหลุบตาลง แล้วบอกอย่างรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมนิดๆ “ห้ามแย่งลูกของข้า”

“อืม ไม่แย่ง” จีหมิงซิวขานรับเสียงอ่อนโยน “เจ้าอยู่ที่ใด ลูกก็อยู่ที่นั่น”

ประโยคนี้ฟังแล้วแปลกอยู่นิดๆ แต่ชั่วขณะนี้เฉียวเวยยังคิดตามไม่ทัน “ถ้าเช่นนั้นวันนี้ท่านมาทำอะไรกันแน่”

“มีของมอบให้เจ้า”

เฉียวเวยดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย “สิ่งใดหรือ”

จีหมิงซิวหยิบเทียบเชิญแผ่นน้อยสีทองออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วส่งให้เฉียวเวย

เฉียวเวยรับมาไว้ในมือ พลิกไปพลิกมาก็ยังไม่เข้าใจ “นี่คือสิ่งใด”

จีหมิงซิวตอบ “ตั๋วขึ้นเรือของเรือเริงรมย์ในทะเลสาบหยางหู”

“ทะเลสาบหยางหูอยู่ที่ใด” เฉียวเวยถาม

“เมืองหลวง”

เฉียวเวยใช้นิ้วกรีดตั๋วในมือ “มีใบเดียว? แล้วพวกเราสามแม่ลูกจะไปได้อย่างไรเล่า”

“เจ้าไม่นับรวมข้าด้วยหรือ” สีหน้าของจีหมิงซิวบึ้งตึงเล็กน้อย

เฉียวเวยยกมือจับใบหูน้อยอย่างสำนึกผิด ลืมไปเลย

โชคดีจีหมิงซิวไม่ได้คิดจะไปอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเขาคงโกรธเจ้าตัวน้อยไร้มโนธรรมคนนี้จริงๆ “นี่เป็นตั๋วทอง พาคนไปด้วยได้”

“พาไปด้วยได้กี่คน” เฉียวเวยถามดวงตาเป็นประกาย ในใจนับจำนวนคนที่จะไปด้วยอย่างรวดเร็ว

จีหมิงซิวมองนางอย่างขบขัน “อยากพาไปเท่าใดก็พาไปเท่านั้น”

เฉียวเวยรู้สึกเปรมปรีดิ์ ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉยอย่างยิ่ง “ตั๋วเรือทองหรือ ดูท่าจะหรูหรามาก หลังจากขึ้นเรือแล้วกินดื่มไม่เก็บเงินทั้งหมดเลยสินะ”

“อืม”

คราวนี้นางเก็บสีหน้ายินดีไว้ไม่อยู่แล้ว เรือในยุคโบราณหน้าตาเป็นเช่นไร นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะ พอดีได้ใช้โอกาสนี้เปิดประสบการณ์สักหน่อย หากวันใดไม่ทันระวังกลับไปยุคปัจจุบันขึ้นมาจะได้มีเรื่องคุยโม้กับเพื่อนร่วมงานได้อีกเรื่อง

เฉียวเวยรับตั๋วเรือมาอย่างดีอกดีใจแล้วเก็บไปอย่างเปิดเผยอย่างยิ่ง

จีหมิงซิวเห็นนางเก็บของเข้าไปในกล่องอย่างไม่ลังเลสักนิดและไม่ ‘แสดงออก’ สักนิด คิ้วเรียวก็เลิกขึ้นแล้วกล่าวว่า “จะไม่ ‘ขอบคุณ’ ข้าสักคำหรือไร”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ไม่จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูมาห้าปี ตั๋วเรือกระจอกงอกง่อยใบเดียว ถือว่ายกประโยชน์ให้ท่านแล้ว!”

จีหมิงซิว “…”

“ดึกแล้ว ท่านคงยังมีงานมากมายต้องจัดการ รีบกลับไปเถิด ประตูเมืองปิดแล้วจะแย่เอา!” เฉียวเวยบอกอย่าง ‘เข้าอกเข้าใจผู้อื่น’ ยิ่งนัก

จีหมิงซิวตอบว่า “ความจริงยังมีของอีกสิ่งหนึ่งจะมอบให้เจ้า”

“แต่บิดามารดาของท่านใหญ่โตเช่นนั้น ต่อให้ประตูเมืองปิดท่านก็คงเปิดได้อยู่ดี” เฉียวเวยประจบเสร็จก็ทำตามปริบๆ มองเขา จะมอบสิ่งใดให้หรือ ดีกว่าตั๋วเรือทองหรือไม่ ปกติมอบของขวัญก็ต้องเก็บของดีไว้สุดท้าย…

จีหมิงซิวค้อมกายลงมา แตะริมฝีปากนางแผ่วเบา “ไม่ต้องกรงใจ”

เฉียวเวยอึ้งอยู่พักใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ อ๊ะ ถูกหลอกแล้ว!

หัวหน้าพรรคเฉียวอยากทุบตีคน แต่ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเผ่นออกทางหน้าต่างไปเสียแล้ว เขาเดินอยู่ใต้แสงจันทราที่ทอดลงมาดุจสายธารด้วยสีหน้าอิ่มเอม

เดินไปได้ไม่เท่าไร จู่ๆ ก็หันกลับมา

รัตติกาลทำให้โครงร่างของเขาพร่ามัว แต่มิอาจลบความสง่างามบนร่างของเขา รวมไปถึงรอยยิ้มสมใจในแววตาคู่นั้น

เฉียวเวยข้ามมิติมานานขนาดนี้แล้ว แต่ยังไม่เคยสุขสำราญกับชีวิตมั่งคั่งในยุคโบราณมาก่อน แต่ละวันปวดเศียรเวียนเกล้าหาเลี้ยงชีพ เหตุที่ไม่ตรากตรำจนตัวเองกลายเป็นยายแก่แร้งทึ้งล้วนเป็นเพราะพื้นฐานหน้าตาของนางดีเกินธรรมดา

แม้จะขุ่นเคืองที่หมิงซิวใช้เล่ห์กลเอาเปรียบนางอยู่บ้าง แต่นางจะมาขุ่นเคืองกับตั๋วเรือก็ใช่ที่ นางเป็นคนแบ่งแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวชัดเจนเสมอ

เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เฉียวเวยจึงบอกเรื่องไปเที่ยวกับลูก เด็กๆ ตื่นเต้นมาก วั่งซูไม่สนใจกินข้าวแล้ว นางกระโดดลงจากโต๊ะสะพายกระเป๋าหนังสือขึ้นหลังแล้ววิ่งตึงตังลงไปจากเขา “ข้าจะไปขอลาหยุดกับท่านอาจารย์!”

“ข้าก็จะไปด้วย” จิ่งอวิ๋นกินโจ๊กคำสุดท้ายเสร็จก็หิ้วกระเป๋าหนังสือขึ้นมา “เดี๋ยวพบกันขอรับท่านแม่!”

ได้ ไม่ต้องให้นางไปส่งเข้าเรียนกันแล้ว

แม้จะเป็นตั๋วเรือที่พาคนไปได้ไม่จำกัดจำนวน แต่ความจริงแล้วคนที่เฉียวเวยพาไปด้วยได้ก็มีไม่มากเท่าใดนัก ครอบครัวของป้าหลัวยุ่งอยู่กับการทำนาและการรับซื้อกุ้งจึงไปไม่ได้ ซิ่วไฉเฒ่าเมาเรือไปไม่ได้ สำนักศึกษาของอาเซิงไม่ให้หยุดจึงไปไม่ได้ สุดท้ายจึงเหลือแต่พวกเขาไม่กี่คนที่อยู่บนเขา

หลังจากเลิกงาน เฉียวเวยจึงเอ่ยปากกับอากุ้ย ชีเหนียงและเสี่ยวเว่ย “วันพรุ่งนี้ให้สิทธิวันหยุดประจำปีหนึ่งวัน ท่องเที่ยวด้วยสวัสดิการบริษัท”

คนทั้งหลายจับต้นชนปลายไม่ถูก คำว่าวันหยุดกับท่องเที่ยว พวกเขายังพอฟังเข้าใจ แต่สิทธิประจำปีคืออะไร บริษัทคือสิ่งใด แล้วสวัสดิการคืออะไรอีก

เฉียวเวยอธิบาย “หมายความว่าวันพรุ่งนี้ไม่ต้องทำงาน ข้าจะพาพวกเจ้าไปเที่ยวเล่น แต่ไม่หักเงินค่าจ้าง!”

กล่าวเช่นนี้แต่แรกทุกคนก็คงเข้าใจแล้ว แต่ออกไปเที่ยวแล้วยังไม่หักเงินค่าจ้างอีก มีเรื่องดีๆ เช่นนี้จริงหรือ

เฉียวเวยยิ้มแล้วบอกว่า “นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าสวัสดิการอย่างไรเล่า”

ทุกคนเข้าใจโดยพลัน ที่แท้การเอาเปรียบเถ้าแก่ก็เรียกว่าสวัสดิการนี่เองสินะ

ได้ออกไปเที่ยว ทุกคนย่อมดีใจ สิ่งที่สำคัญก็คือไม่หักค่าจ้างด้วย

นับตั้งแต่กู้ชีเหนียงรับหน้าที่เป็นมารดาของจงเกอร์ พวกนางก็ใช้ชีวิตระเหเร่ร่อนมาตลอด ไม่เคยพาจงเกอร์ไปเที่ยวเล่นดีๆ สักหน วันนี้มีโอกาสได้ออกไปเที่ยวกันสามคน นางย่อมต้องการคว้าโอกาสไว้ให้มั่น ได้ยินว่าไปล่องเรือเที่ยวทะเลสาบ กลัวว่าเด็กน้อยจะเล่นน้ำจนเสื้อผ้าเปียก นางจึงเตรียมแม้กระทั่งเสื้อผ้าติดไปด้วย ขนมขบเคี้ยวนานาประการก็เตรียมไม่ขาดเลยสักสิ่ง

ปี้เอ๋อร์พักอยู่ในโรงงาน ห้องของนางอยู่ข้างกับกู้ชีเหนียง ในเมื่อทุกคนไปกันหมด นางก็ลำบากใจหากจะไม่ไปด้วย ก่อนนอนนางจึงเลือกเสื้อผ้าชุดที่ดูดีที่สุดออกมา เตรียมจะสวมใส่ในวันพรุ่งนี้

เสี่ยวเว่ยเป็นคนที่ตื่นเต้นที่สุด เขาเติบใหญ่มาจนป่านนี้ ยังไม่เคยเดินทางออกจากชนบทเลย แต่วันพรุ่งนี้เขาจะได้ไปเที่ยวทะเลสาบ!

โจรทั้งหลายบนค่ายอิจฉาจนตาจะถลนแล้ว ครอบครัวคหบดีบนเขาลูกตรงข้ามเหตุไฉนจึงมั่งคั่งถึงเพียงนี้ แต่ละวันมีเนื้อมีปลากินก็ช่างเถิด ถึงขั้นพาคนโขยงหนึ่งออกไปท่องเที่ยวข้างนอกได้ นี่ต้องหาเงินได้มากมายเท่าใดกัน!

คนงานพวกนี้ดูไปแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหน่อย! คนหนึ่งเป็นบุรุษสูงผอมเหมือนเหมยกานไช่[1] มีเรี่ยวแรงหรือนั่น อีกคนหนึ่งเป็นสตรีรูปร่างเหมือนแผ่นกระดาษ ลมเป่าที่หนึ่งก็คงล้ม จะไหวหรือ เสี่ยวเว่ยยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาเป็นคนที่วรยุทธ์อ่อนแอที่สุดในค่าย ยามปกติถังน้ำใบหนึ่งก็ยังยกไม่ไหว ทำงานหนักไหวหรืออย่างไร

บ่าวรับใช้กระจอกงอกง่อยเช่นนี้ พาไปเที่ยวอะไรกันเล่า

“พวกเจ้าจะกลับมายามใด” หัวหน้าค่ายถาม

เสี่ยวเว่ยยิ้ม “คงดูสถาการณ์ขอรับ ฮูหยินบอกว่าหากประตูเมืองยังไม่ปิดก็จะกลับมาตอนดึก แต่หากประตูปิดแล้วก็จะพาพวกเราไปพักโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงหนึ่งคืน!”

“หมายความว่าพวกเจ้าจะไม่กลับมากินข้าวเย็นใช่หรือไม่” เจินเวยเหมิ่งเบิกตาโต

เสี่ยวเว่ยพยักหน้า “คงกลับมาไม่ทันเป็นแน่!”

เจินเวยเหมิ่งพองขนทันควัน “อ้ากกก ถ้าเช่นนั้นคืนนี้พวกเราจะกินอะไรเล่า!”

โจรทั้งหลายในค่ายต่างคลุ้มคลั่ง…

เดือนหกวันที่สิบสอง สายลมอ่อนโชยพัด ดวงตะวันทอแสงสว่างไสว เป็นวันดีในการออกท่องเที่ยว

เฉียวเวยจ้างรถม้าจากร้านเช่ารถม้าสองคัน อากุ้ย ชีเหนียง เสี่ยวเว่ยกับจงเกอร์นั่งรถม้าคันหนึ่ง เฉียวเวย ปี้เอ๋อร์ จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูนั่งอีกคันหนึ่ง

[1] เหมยกานไช่ ผักดองชนิดหนึ่งของจีน ใช้ผักใบเช่นผักกวางตุ้งมาตากแห้งและหมักดองด้วยเกลือจนมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์