ตอนที่ 371 รากฐานของตระกูลบรรพบุรุษ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 371 รากฐานของตระกูลบรรพบุรุษ

หรือว่าจะเป็นดังข่าวลือ…องค์รัชทายาททรงพอพระทัยในตัวเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ต้องการแต่งตั้งเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เป็นฮองเฮาในภายภาคหน้าจริงๆ

เมื่อเห็นเจ้าเมืองเดินไปด้านหน้า นายอำเภอไม่กล้าคิดสิ่งใดต่อ รีบตามไปทันที ประมุขไป๋นำคนในตระกูลเข้าไปเช่นเดียวกัน

เจ้าเมืองและนายอำเภอโจวเห็นไป๋ชิงเหยียนลงมาจากรถม้า จึงรีบเข้าไปทำความเคารพ “คารวะเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ขอรับ”

“ใต้เท้าทั้งสองไม่ต้องมากพิธีหรอก” ไป๋ชิงเหยียนแนะนำเฉวียนอวี๋ให้เจ้าเมืองและนายอำเภอโจวได้รู้จัก “ท่านนี้คือเฉวียนอวี๋กงกง กงกงข้างกายขององค์รัชทายาท”

เจ้าเมืองและนายอำเภอโจวรีบทำความเคารพ

“ใต้เท้าทั้งสองเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ข้างกายขององค์รัชทายาทเท่านั้น องค์รัชทายาททรงทราบเรื่องที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทำให้องค์หญิงใหญ่โมโหจนกระอักเลือด พระองค์ทรงเป็นห่วงเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ที่พระองค์เห็นเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆ กลัวว่าจวิ้นจู่จะไม่มีคนคอยเรียกใช้งาน ถูกตระกูลบรรพบุรุษรังแก จึงส่งข้าและองครักษ์จวนองค์รัชทายาทอีกสองกองติดตามมาคอยรับใช้จวิ้นจู่ด้วยขอรับ” เฉวียนอวี๋กล่าวกับคนทั้งสองยิ้มๆ

ประมุขไป๋ได้ยินเช่นนี้ ขาอ่อนแรงแทบทรุดทันที สายตากวาดมองไปยังองครักษ์นับร้อยของจวนองค์รัชทายาทที่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า ใบหน้าของเขาขาวซีดทันที

นายอำเภอโจวใจกระตุกวูบ เหมือนน้องสาวแท้ๆ …

แสดงว่าองค์รัชทายาทไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่

หากไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ทว่า กลับยินดีช่วยเหลือถึงเพียงนี้ ถ้าไม่ใช่คนสำคัญก็ต้องเป็นคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมากจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นแบบใด นายอำเภอโจวล้วนไม่กล้าล่วงเกินไป๋ชิงเหยียน

“ไม่ใช่นะขอรับ!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลไป๋รีบเอ่ยแก้ตัว “พวกเราไม่ได้ทำให้องค์หญิงใหญ่กระอักเลือด ล้วนเป็นฝีมือ…”

ประมุขไป๋รีบบีบมือของผู้อาวุโสคนนั้นแน่น ห้ามไม่ให้เขากล่าวต่อ

หากกล่าวต่อไปจะถือเป็นการใส่ร้ายองค์หญิงใหญ่ เพราะไม่มีผู้ใดเชื่อหรอกว่าองค์หญิงใหญ่จะแกล้งแสดงละครตบตาเพื่อจัดการกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋อย่างพวกเขา

“คารวะจวิ้นจู่ คารวะใต้เท้าขอรับ!” ประมุขไป๋รีบทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนและเฉวียนอวี๋ จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “จวิ้นจู่จะกลับบ้านทั้งที เหตุใดไม่แจ้งพวกเราสักคำขอรับ ข้าจะได้พาคนในตระกูลบรรพบุรุษมารอต้อนรับท่านกับคนจากจวนองค์รัชทายาทอย่างสมเกียรติขอรับ…”

ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้เอ่ยตอบ มองไปทางนายอำเภอโจวแล้วเอ่ยถามขึ้น “ข้าได้ยินว่าหลังจากที่ข้ากลับไป ทายาทตระกูลไป๋โยนเด็กสาวคนหนึ่งตกน้ำ ทำให้มารดาของนางต้องเสียชีวิต อีกทั้งท้าทายให้ท่านจับพวกเขาเข้าคุกให้หมด ท่านจับตัวคนพวกนั้นแล้วหรือไม่”

“จับแล้วขอรับ! จวิ้นจู่วางใจได้ขอรับ จวิ้นจู่สั่งไว้ว่าให้ลงโทษตามกฎหมาย ข้าไม่มีทางลืมขอรับ” นายอำเภอโจวรีบตอบ

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าน้อยๆ กวาดสายตามองไปทางตระกูลบรรพบุรุษไป๋ด้วยแววตาเยือกเย็น เอ่ยถามประมุขไป๋ “ไป๋ชิงผิงที่เป็นคนไปร้องเรียนทางการและรับผิดชอบดูแลเด็กน้อยคนนั้นมาที่นี่ด้วยหรือไม่”

ประมุขไป๋ไม่กล้าบอกว่าไป๋ชิงผิงถูกเขาขังอยู่ที่หอบรรพชน ยังคุกเข่าสำนึกผิดอยู่จนถึงตอนนี้

ประมุขไป๋ก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน ไป๋ชิงผิงเป็นหลานชายแท้ๆ ของเขา ทว่า หากไม่จับไป๋ชิงผิงขังก็คงไม่อาจบรรเทาความโกรธของคนในตระกูลบรรพบุรุษได้

“อยู่ที่จวนขอรับ อยู่ที่จวน” ประมุขไป๋ก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าสบตากับดวงตาล้ำลึกของไป๋ชิงเหยียน

ไป๋ชิงเหยียนจ้องไปทางประมุขไป๋นิ่ง จากนั้นเอ่ยถามนายอำเภอโจวอีกครั้ง “ช่วงนี้นายอำเภอโจวรวบรวมหลักฐานความผิดที่ทายาทตระกูลไป๋เหล่านั้นกระทำในช่วงหลายปีมานี้ครบถ้วนแล้วหรือไม่”

นายอำเภอโจวเสียวสันหลังวูบ รีบเอ่ยตอบ “เรียนจวิ้นจู่ เพิ่งรวบรวมครบเมื่อวานขอรับ เดิมทีจะรอจัดการพร้อมกันทีเดียวในวันนี้ขอรับ”

“ดี เช่นนั้นรบกวนประมุขไป๋เรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเปิดประชุมตระกูลที่หอบรรพชนในช่วงบ่ายของวันนี้ด้วย” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางนายอำเภอโจว “รบกวนนายอำเภอโจวช่วยพาทายาทที่อยู่ในคุกทั้งหมดของตระกูลไป๋มายังหอบรรพชน พร้อมทั้งแจ้งไปยังผู้เสียหายทุกคนให้มารวมตัวกันที่หอบรรพชนด้วย”

“แสดงว่าจะให้นายอำเภอโจวปล่อยตัวเด็กพวกนั้นออกมาแล้วหรือ แล้วเหตุใดต้องเรียกผู้เสียหายเหล่านั้นมาด้วย” คนในตระกูลบรรพบุรุษเอ่ยถามคนข้างกายเสียงเบา

“จวิ้นจู่ หากไม่ใช่วันสำคัญหรือมีเรื่องสำคัญจริงๆ เราจะเปิดหอบรรพชนไม่ได้นะขอรับ” ประมุขไป๋ลอบหยั่งเชิงด้วยความหวาดหวั่น

สิ้นเสียง ไป๋ชิงเหยียนแสยะยิ้มเย็นออกมา มองไปทางประมุขไป๋นิ่งๆ “วันนี้ทายาทบางส่วนของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ต้องถอนตัวออกจากตระกูล หรือไม่ตระกูลไป๋จากเมืองหลวงก็จะถอนตัวออกจากตระกูล นี่เป็นเรื่องใหญ่พอหรือไม่”

ประมุขไป๋หน้าซีดเผือด คนในตระกูลบรรพบุรุษหวั่นวิตกไปตามๆ กัน

“จวิ้นจู่จะเข้าไปในหอบรรพชนอย่างนั้นหรือ” ไป๋ฉีอวิ๋นขมวดคิ้วแน่น ไม่กล้ามองหน้าไป๋ชิงเหยียน ได้แต่มองไปทางบิดาของตัวเอง “ท่านพ่อ แต่ไรมาสตรีห้ามเข้าไปในหอบรรพชนนะขอรับ”

ประมุขไป๋เงยหน้ามองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยความระมัดระวัง

ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันกรอด เตรียมถลาไปด้านหน้าแต่ถูกไป๋ชิงเหยียนที่สีหน้าราบเรียบรั้งตัวไว้เสียก่อน

เหนือความคาดหมายของประมุขไป๋ ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า ไม่มีท่าทีโมโหแต่อย่างใด น้ำเสียงราบเรียบ ทว่า แฝงไปด้วยความยโส “ก็ได้ บัดนี้ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเหลือเพียงสตรีแล้ว ในเมื่อเข้าไปในหอบรรพชนไม่ได้ เช่นนั้นรบกวนเฉวียนอวี๋กงกง ท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอโจวช่วยเป็นพยานให้ข้าด้วย วันนี้ไป๋ชิงเหยียนกราบขอขมาบรรพบุรุษทุกท่าน ขอพาตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษ ไปสร้างตระกูลใหม่ด้วยตัวเอง”

“จวิ้นจู่อย่าเพิ่งโมโหขอรับ ที่สตรีไม่สามารถเข้าไปในหอบรรพชนได้เป็นเพราะแคว้นต้าจิ้นของเราถือหลักความคิดที่ว่าบุรุษเป็นใหญ่ภายนอก สตรีสงบเสงี่ยมอยู่ในจวน หอบรรพชนเป็นสถานที่สำคัญในการประชุมเรื่องสำคัญต่างๆ สตรีมีความสามารถเพียงดูแลบ้านเรือน ไม่อาจทำได้มากกว่านั้น ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไปในหอบรรพชน ทว่า จวิ้นจู่เป็นทายาทของตระกูลไป๋ อีกทั้งมีความสามารถในการนำทัพออกรบ ผู้ที่นำทัพออกรบได้ยอมมีความสามารถในการวางแผนที่เป็นเลิศ จวิ้นจู่สามารถเข้าไปในหอบรรพชนได้แน่นอนขอรับ”

ไป๋จิ่นจื้อได้ยินคำกล่าวที่ไม่รีบร้อนของประมุขไป๋ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แสยะยิ้มเย็นออกมา ช่างลำบากประมุขไป๋ช่วยคิดหาเหตุผลมากมายที่ทำให้พี่หญิงใหญ่ของนางเข้าไปในหอบรรพชนได้จริงๆ

ประมุขไป๋กล่าวเช่นนี้ ผู้อาวุโสและคนอื่นๆ ในตระกูลบรรพบุรุษจะกล้ากล่าวอันใดอีก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ประมุขไป๋จงกลับไปเตรียมตัวเถิด ข้ายังมีเรื่องต้องทำ เมื่อเสร็จเรื่องจะตรงไปที่หอบรรพชนเลย” ไป๋ชิงเหยียนไม่เปิดโอกาสให้ประมุขไป๋กล่าวสิ่งใดอีก เอ่ยเรียก “เสิ่นชิงจู๋…”

“ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ!” เสิ่นชิงจู๋ถลาไปด้านหน้า

“เจ้าจงนำคนพาเสี่ยวซื่อและเฉวียนอวี๋กงกงตามนายอำเภอโจวไปเอาหลักฐานที่จวนที่ว่าการก่อน จากนั้นไปเจอกันที่หอบรรพชนช่วงบ่าย” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

ไป๋จิ่นจื้อก้าวไปด้านหน้า “เจ้าค่ะ!”

เมื่อประมุขไป๋และคนอื่นๆ ในตระกูลไป๋เห็นว่าไป๋ชิงเหยียนขึ้นไปบนรถม้าตามเดิม ไป๋จิ่นจื้อและคนอื่นๆ ตามนายอำเภอโจวไปยังที่ว่าการก็ต่างถลาเข้าไปหาประมุขไป๋อย่างหวาดกลัว เอ่ยถามเสียงเซ็งแซ่

“ท่านประมุข จวิ้นจู่หมายความว่าอย่างไรกัน ต้องการลงโทษเด็กๆ เหล่านั้นอีกหรือ”

“จะขับไล่เด็กเหล่านั้นออกจากตระกูลจริงๆ หรือ ทว่า เด็กคือรากฐานของตระกูล หากเด็กเหล่านั้นถูกขับไล่ออกไปจนเหลือเพียงคนแก่อย่างพวกเรา ต่อไปตระกูลบรรพบุรุษจะเป็นเช่นไรกัน พวกเราต้องพึ่งพาสตรีจากตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงพวกนั้นหรืออย่างไร!”

คนอื่นๆ พากันพยักหน้า ผู้อาวุโสคนหนึ่งก้าวไปด้านหน้ากล่าวเสียงหนักแน่น “ท่านประมุข หากสตรีเข้าไปในหอบรรพชน พวกเราจะโชคร้ายกันทั้งตระกูลนะขอรับ ห้ามนางเข้าไปนะขอรับ!”

ประมุขไป๋สีหน้าเขียวคล้ำ กระแทกไม้เท้าลงบนพื้นอย่างแรง “พอได้แล้ว! เลิกโวยวายเสียที หากไม่ให้สตรีเข้าไปในหอบรรพชน…เราจะโชคร้ายกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย! ยังไม่รีบกลับไปเตรียมตัวกันอีก!”

ไป๋ชิงเหยียนพาองครักษ์สิบนายของตระกูลไป๋และองครักษ์สิบนายของจวนองค์รัชทายาทตรงเข้าเมืองไปรับตัวหย่าเหนียง