ตอนที่ 370 หนุนหลัง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 370 หนุนหลัง

เมื่อนายอำเภอโจวเห็นจึงลอบกลอกตาใส่เจ้าเมือง เขาดื่มชาลงได้อย่างไรกัน

เจ้าเมืองวางถ้วยชาลง จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน

“องครักษ์ร้อยนายขององค์รัชทายาทคุ้มกันจวิ้นจู่มาที่นี่ หากโจรป่าเหล่านั้นไม่อยากตาย พวกเขาไม่กล้าขัดขวางรถม้าของจวิ้นจู่หรอก”

“นั่นสินะ!” นายอำเภอโจวพยักหน้า ความรู้สึกตึงเครียดผ่อนคลายลง ยกถ้วยชาขึ้นจิบบ้าง ทว่า บ่าวรับใช้เพิ่งรินน้ำชาใส่ถ้วยให้เขา นายอำเภอโจวไม่ทันสังเกต ดื่มเข้าไปจนลวกปาก เขารีบอุดปากพลางกล่าวออกมา “เหตุใดถึงร้อนเยี่ยงนี้!”

บ่าวรับใช้ย่นคออย่างหวาดกลัว รีบเอ่ยแก้ตัว

“ขออภัยขอรับใต้เท้า ข้าเห็นว่าท่านไม่ยอมดื่มสักที ชาเย็นหมดแล้ว ข้าจึงชงให้ท่านใหม่ขอรับ”

“มาแล้ว! มาแล้วขอรับใต้เท้า!” บ่าวรับใช้ของจวนว่าการวิ่งมาทางนี้พลางตะโกนเสียงดังลั่น เขายืนหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จัดหมวกขุนนางที่บิดเบี้ยวให้ตรงตามเดิม ทำความเคารพเจ้าเมืองและนายอำเภอโจว จากนั้นชี้ไปทางด้านหลัง

“ใต้เท้าทั้งสอง จวิ้นจู่มาถึงแล้วขอรับ!”

นายอำเภอโจวผุดลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น มองไปยังทางเบื้องหน้า

แสงอาทิตย์ของเดือนสี่ส่องแสงแรงจ้า

ขบวนม้ายาวเคลื่อนที่เข้ามาอย่างเอิกเกริกท่ามกลางแสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่สาดส่อง แม้ไม่ได้ชูธงสัญลักษณ์ ทว่า ทุกคนล้วนขี่ม้า พกดาบ ฝุ่นตลบอลอวลขึ้นทุกที่ที่ม้าย่ำผ่าน

เจ้าเมืองจัดเครื่องแต่งกายของตัวเองให้เรียบร้อย ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปนอกกระโจมเพื่อรอต้อนรับ

เมื่อคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋รู้ข่าวว่าเจ้าเมืองและนายอำเภอโจวไปรอต้อนรับเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ที่นอกเมือง พวกตกใจกันยกใหญ่ ประมุขไป๋รีบแจ้งให้ผู้อาวุโสของตระกูลรีบตามเขาออกไปต้อนรับเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ที่นอกเมือง

หลายวันก่อน ข่าวเรื่องที่ประมุขไป๋และผู้อาวุโสในตระกูลทำให้องค์หญิงใหญ่โมโหจนกระอักเลือดแพร่กระจายไปทั่วทั้งซั่วหยางก่อนที่เหล่าประมุขจะเดินทางกลับมาถึงซั่วหยางเสียอีก

ชาวบ้านในซั่วหยางล้วนตกตะลึง ต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋คิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิแห่งซั่วหยางมานานจนลืมตัว ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา

ช่วงนี้ชาวบ้านยิ่งกล่าวกันหนาหูว่าก่อนหน้านี้ไป๋ชิงเหยียนแอบกลับมายังซั่วหยางเพื่อสืบเรื่องชั่วช้าที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋กระทำในช่วงหลายปีมานี้อย่างลับๆ หญิงสาวสำรวจครอบครัวที่เดือดร้อนทุกครอบครัว ลงโทษไป๋ชิงเจี๋ยขณะทำผิดทันที อีกทั้งสั่งให้นายอำเภอโจวสืบเรื่องเลวร้ายที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋กระทำลงไปทั้งหมดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

หญิงสาวยอมลดตัวกล่าวขอโทษชาวบ้านทุกคน กล่าวว่าจะขับไล่ทายาทที่ทำผิดออกจากตระกูลทั้งหมด อีกทั้งให้พวกเขาชดใช้ให้ผู้เสียหายทุกคน หากตระกูลบรรพบุรุษไม่ยอมทำตาม หญิงสาวจะพาตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษ

ชาวบ้านกล่าวกันว่าตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงอาจไม่เคยรับรู้จริงๆ ว่าหลายปีมานี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทำเรื่องชั่วช้าอันใดลงไปบ้าง

เมื่อก่อนตอนที่ชาวบ้านได้ยินพ่อค้าหรือคนต่างถิ่นกล่าวชมเชยตระกูลไป๋และจวนเจิ้นกั๋วกงว่ามีคุณธรรมสูงส่ง พวกเขาล้วนเบ้ปากอย่างดูหมิ่น บัดนี้…เมื่อหวนนึกถึงการกระทำของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ นึกถึงองค์หญิงใหญ่ที่ถูกตระกูลบรรพบุรุษไป๋ยั่วโมโหจนกระอักเลือด ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยในซั่วหยางเริ่มเชื่อว่าตระกูลไป๋จากเมืองหลวงมีใจรักชาวบ้านจริงๆ

ตอนที่ประมุขไป๋และคนอื่นๆ ในตระกูลบรรพบุรุษไปถึงนอกเมือง ขบวนรถม้าของไป๋ชิงเหยียนหยุดลงพอดี

ประมุขไป๋มองดูไป๋ชิงเหยียนที่พาองครักษ์กว่าร้อนนายกลับมา เขาขาอ่อนแทบทรุด รู้ดีแก่ใจว่าหากคราวนี้เขาไม่ยอมไล่ทายาทที่ทำผิดออกจากตระกูลให้ไป๋ชิงเหยียนพอใจ ไป๋ชิงเหยียนไม่มีทางยอมแน่

ช่างเถิด! ขับไล่ก็ขับไล่ ขอแค่คนในตระกูลบรรพบุรุษลอบให้ความช่วยเหลือเด็กเหล่านั้นต่อก็พอ

เห็นเจ้าเมืองและนายอำเภอโจวยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้าสุด ประมุขไป๋กำไม้เท้าเดินไปหาเจ้าเมืองและนายอำเภอโจวด้วยร่างที่สั่นเทา จากนั้นโค้งกายคำนับเจ้าเมืองและนายอำเภอโจว

นายอำเภอโจวมองดูประมุขไป๋ที่ยามปกติไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา เห็นเขาเป็นเพียงคนกระจอกคนหนึ่ง ทว่า บัดนี้กลับมีท่าทีนอบน้อม อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ประมุขไป๋ทำให้องค์หญิงใหญ่โมโหจนกระอักเลือดก็เข้าใจได้ทันที

ตระกูลบรรพบุรุษไปคงรู้แล้วว่าไม่อาจให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ใช้อำนาจความเป็นจวิ้นจู่กดดันให้เขาปล่อยคนออกมาได้แล้ว ดังนั้นจึงยอมลงให้เขาและแสดงความเป็นมิตรกับเขาเช่นนี้

สีหน้าของนายอำเภอโจวเรียบนิ่ง ก้มศีรษะให้ประมุขไป๋เล็กน้อย เมื่อเห็นรถม้าของไป๋ชิงเหยียนจอดสนิท เขาจึงรีบก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับเจ้าเมือง

ชาวบ้านที่มาสังเกตการณ์กล่าวออกมาเสียงเบา “เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่กลับมาซั่วหยางอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไม่รู้ล่วงหน้าเลยหรืออย่างไรกัน เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มาถึงพวกเขาถึงรีบมาต้อนรับอย่างรีบร้อนเช่นนี้ แถมยังมาช้ากว่าพวกเราอีก!”

“ไม่แน่อาจเพราะต้องการวางมาดใส่จวิ้นจู่ก็ได้ พวกเขาไม่เห็นแม้แต่องค์หญิงใหญ่อยู่ในสายตา ถึงขนาดกล้าทำให้องค์หญิงใหญ่กระอักเลือด!”

“ถุย…คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใดกัน! อาศัยบารมีของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงแท้ๆ ยังกล้าทำตัวเหิมเกริมถึงเพียงนี้อีก! อยากให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษจริงๆ อยากจะดูสิว่าพวกนั้นจะยังกล้าทำตัวเหิมเกริมอีกหรือไม่!”

“เฮ้อ หวังว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่จะรักและห่วงใยชาวบ้าน กลับมาซั่วหยางคราวนี้เพื่อจัดการกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่รังแกชาวบ้านดังที่ได้ยินมาจริงๆ เถิด!”

“ผู้ใดจะรู้ได้ รอดูไปก่อนเถิด หวังว่านางคงไม่ได้แกล้งแสดงละครเฉยๆ”

ประมุขไป๋และคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้ยินเสียงวิจารณ์ของชาวบ้าน ต่างอับอายจนหน้าแดงก่ำ รีบเดินตามประมุขไป๋เข้าไปต้อนรับไป๋ชิงเหยียน

เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองและนายอำเภอโจว พวกเขาต้องแสดงละครอย่างเต็มที่ มิฉะนั้นหากเจ้าเมืองหรือนายอำเภอโจวดูออกว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไม่ถูกกับเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่คงไม่เป็นการดีแน่ ต่อไปหากต้องการขอร้องให้นายอำเภอโจวปล่อยเด็กเหล่านั้นออกมาคงลำบากกว่าเดิม

ผู้ใดจะคิดว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ไป๋ชิงเหยียนก็ถูกเสิ่นชิงจู๋พาคนมาขวางไว้เสียก่อน

ประมุขไป๋เดือดดาลเป็นอย่างมาก ทว่า ได้แต่ระงับโทสะไว้ แสร้งทำเป็นฉีกยิ้มพลางทำความเคารพเสิ่นชิงจู๋อย่างนอบน้อม

“ข้าคือประมุขของตระกูลไป๋ เมื่อรู้ว่าจวิ้นจู่กลับมายังซั่วหยางจึงตั้งใจพาคนในตระกูลมารอต้อนรับ แม่นางเสิ่นได้โปรดหลีกทางด้วย”

เสิ่นชิงจู๋จึงยกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์หลีกทาง

ชุนเถาแหวกม่านรถม้าออก ขณะประคองไป๋ชิงเหยียนลงจากรถม้าก็เห็นเฉวียนอวี๋กงกงซึ่งเป็นคนข้างกายของรัชทายาทกำลังยืนรออยู่ข้างรถม้าพลางส่งยิ้มมาให้นาง “ข้าประคองจวิ้นจู่ลงจากรถม้าเอง”

ชุนเถารู้ฐานะของเฉวียนอวี๋ดี จึงพยักหน้า โน้มกายแหวกผ้าม่านของรถม้าให้ไป๋ชิงเหยียน

เจ้าเมืองกวาดสายตามองไปทางด้านหลังรถม้า เห็นองครักษ์ที่ยืนอยู่หลังรถม้า เขาจำสัญลักษณ์ที่อยู่บนดาบขององครักษ์เหล่านั้นได้ว่าคือสัญลักษณ์ของรัชทายาท เขารีบรวบรวมสติในทันที เมื่อเห็นว่าคนที่ประคองไป๋ชิงเหยียนเดินลงมาจากรถม้าคือขันทีหน้าตาสะอาดสะอ้านผู้หนึ่ง ใจของเขากระตุกวูบ

เจ้าเมืองจำได้ว่านั่นคือเฉวียนอวี๋ ขันทีรับใช้ข้างกายของรัชทายาท ติดตามรัชทายาทมาตั้งแต่เล็ก หากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง หลังจากรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ เฉวียนอวี๋กงกงจะกลายเป็นขันทีใหญ่ข้างกายของฮ่องเต้ทันที เขาจะล่วงเกินเฉวียนอวี๋ไม่ได้เด็ดขาด

แม้นายอำเภอโจวจะไม่รู้จักเฉวียนอวี๋ ทว่า เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เฉวียนอวี๋สวมใส่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าขันทีผู้นี้ไม่ธรรมดาจึงเอ่ยถามเจ้าเมืองเสียงแผ่วเบา

“ใต้เท้า ท่านว่ากงกงผู้นั้นคือขันทีรับใช้คนสูงศักดิ์คนใดหรือขอรับ”

เจ้าเมืองไม่คิดปิดบัง “นั่นคือเฉวียนอวี๋กงกง ขันทีคนโปรดที่สุดข้างกายขององค์รัชทายาท เห็นองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังนั่นหรือไม่ นั่นคือองครักษ์ของจวนรัชทายาท”

นายอำเภอโจวสูดหายใจเข้าปอดอย่างแรง รัชทายาทส่งคนมาช่วยหนุนหลังไป๋ชิงเหยียนอย่างนั้นหรือ!

ที่จริง นายอำเภอโจวคิดว่าต่อให้ไม่มีรัชทายาทคอยหนุนหลัง เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไป๋ชิงเหยียนผู้นี้ก็สามารถจัดการกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้อยู่หมัดอยู่แล้ว แค่ไอสังหารที่แผ่ออกมารอบกายของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ อีกทั้งบารมีที่น่ายำเกรงของนางก็ถือเป็นอาวุธชั้นดีแล้ว

ทว่า การที่รัชทายาทส่งคนของพระองค์ติดตามมาด้วยแสดงให้เห็นแล้วว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับไป๋ชิงเหยียนมากเพียงใด