ท่านอ๋องทั้งหลายถูกจัดให้นั่งอยู่ในที่เดียวกัน
หลู่อ๋องเอนกายเข้ามาเอ่ยถามอวี้จิ่นว่า “น้องเจ็ด น้องสะใภ้เจ็ดรักษาดวงตาให้น้องสิบสามหายได้อย่างไรกัน”
อวี้จิ่นเหลือบมองดูหลู่อ๋องด้วยสายตาเย็นชา
ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันล้วนเป็นต้องทะเลาะเบาะแว้ง และเขาไม่เคยเอาชนะตนได้เลย ในครั้งนี้พี่ห้าเอาความกล้าหาญมาจากที่ใดกัน
หลู่อ๋องหาได้สนใจแววตาเยือกเย็นของอวี้จิ่นแต่อย่างใด เขายิ้มขึ้นแล้วหัวเราะว่า “เจ้าเล่ามาเถิด”
ได้ยินมาว่าเมื่อใดที่กล่าวถึงพระชายาเยี่ยนอ๋องก็จะทำให้เจ้าเจ็ดโมโหขึ้นง่ายๆ แต่สถานการณ์เช่นนี้หากเจ้าเจ็ดจะอาละวาดโวยวายคาดว่าคงจะโชคร้ายเป็นแน่
อวี้จิ่นหยิบจอกสุราขึ้นมาดื่มแล้วขยับจอกในมือเล่นโดยไม่กล่าวสิ่งใด
หลู่อ๋องได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ “น้องเจ็ด เหตุใดจึงไม่บอกเล่า”
อวี้จิ่นกันจอกสุรามาแล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าเยือกเย็นว่า “หรือข้าควรจะไปถามพี่สะใภ้ห้าดี ว่าช่วงนี้พี่ห้าไม่ค่อยเอาใจใส่นางใช่หรือไม่”
หลู่อ๋องได้ยินดังนั้นก็เอามือลูบจมูกตนแล้วดับความสงสัยในใจไป
เซียงอ๋องที่ถูกอวี้จิ่นต่อยเข้าให้ตรงมุมปากในวันอภิเษกของเขา ยังคงมีความคับแค้นอยู่ในใจไม่คลาย ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า “พี่สะใภ้เจ็ดช่างลึกลับเหลือเกิน สามารถรักษาดวงตาของน้องสิบสามให้หายได้ พี่เจ็ดระวังไว้เป็นดี ควรจะรู้ว่าพี่สะใภ้เจ็ดมีความสามารถใดบ้าง”
ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย เซียงอ๋องนับว่าเป็นคนที่ไร้ความสามารถที่สุด ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่พี่เจ็ดซึ่งเติบโตอยู่นอกพระราชวังเดินทางกลับมา เดิมทีเขาคิดว่าจะสามารถกดขี่ข่มเหงได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะพบกับความอับอายครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนอีกฝ่ายยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายใจ
เมื่อคิดเช่นนั้น ความรู้สึกในใจก็ยิ่งโคลงเคลง ความอดทนอดกลั้นเมื่อพบเข้ากับอวี้จิ่นก็จางหายไป
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นเบาๆ ดวงตาดุจดั่งนกฟีนิกซ์อันลึกล้ำคู่นั้นมองไปทางเซียงอ๋อง “ต้องขอแสดงความยินดีกับน้องแปดด้วยที่รู้ถึงความสามารถและเรื่องราวทุกอย่างของว่าที่น้องสะใภ้แปด อ้อจริงสิ บางทีน้องแปดอาจจะลืมไปแล้วว่าคดีของตระกูลจูในตอนนั้น เคยผ่านมือข้ามาก่อน…”
เซียงอ๋องหน้าเขียวหน้าเหลือง เขาวางจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างแรงจนดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างให้จับจ้อง
ฉีอ๋องเอ่ยเตือนออกมาเบาๆ ว่า “น้องแปด”
เซียงอ๋องจึงได้ระงับกำปั้นของตนที่ตั้งใจจะซัดไปยังหน้าของอวี้จิ่นเอาไว้แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
อย่ากระทำการโดยพลการ อย่าหุนหันพลันแล่นไป
ช่างน่าโมโหยิ่งนัก ปากของพี่เจ็ดช่างพล่อยเสียจริง!
“วาจาของพี่เจ็ดนั้นช่างเราะร้ายกว่าสตรี วันนี้น้องได้เรียนรู้กับตัวเองแล้ว” เซียงอ๋องกระซิบเยาะเย้ย
อวี้จิ่นไม่สนใจต่อคำเยาะเย้ยถากถางของเขา ตอบกลับเพียงว่า “เจ้าพูดราวกับว่าหากลงไม้ลงมือกันแล้วเจ้าจะชนะข้าอย่างไรอย่างนั้น”
นี่ทำให้เซียงอ๋องรู้สึกอึดอัดใจกว่าเดิม
ฉีอ๋องจึงได้ออกมาคลี่คลายสถานการณ์ “น้องเจ็ด น้องแปดยังเล็ก เจ้าอย่าได้ไปถือสาเขาเลย”
อวี้จิ่นเหลือบตามองและไม่ได้เอ่ยคำใดต่อจากฉีอ๋อง
เมื่อยู่ต่อหน้าพี่น้องทั้งหลายเช่นนี้ ฉีอ๋องก็ทำตัวไม่ถูก เขาจึงยกจอกสุราขึ้นดื่มแล้วยิ้มเล็กน้อย
ระหว่างนั้น เซียงอ๋องก็ได้เหลือบมองดูนางกำนัล คนโน้นทีคนนี้ที
งานเลี้ยงในตระกูลครั้งนี้จัดขึ้นอย่างค่อนข้างกว้างขวาง นอกเสียจากองค์หญิงและพระชายาที่อยู่ในพระราชวังแล้ว องค์หญิงทั้งหลายที่อภิเษกออกไปซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองหลวงก็ได้เดินทางกลับมาร่วมงานด้วย รวมถึงองค์หญิงในเครือญาติชั้นผู้ใหญ่ พระญาติมากมาย โต๊ะทอดยาวออกไปครึกครื้นยิ่งนัก
องค์หญิงใหญ่หรงหยางนับว่ามีหน้ามีตาไม่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าไทเฮาและฮ่องเต้ ดังนั้นตำแหน่งของนางจึงค่อนข้างจะโดดเด่น
เขามองไปเห็นชุยหมิงเย่ว์ที่อยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
สตรีอายุสิบหกปีวัยแรกแย้ม ใบหน้างดงามชวนให้หวั่นไหว กิริยาท่าทางสงบเสงี่ยม ผู้ใดที่พบเห็นก็ยากจะรู้สึกรังเกียจนางได้
ดูเหมือนชุยหมิงเย่ว์จะสัมผัสได้ถึงสายตาคู่นั้น นางจึงมองไปทำให้ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน
ชุยหมิงเย่ว์พยายามเก็บกลั้นความรู้สึกรังเกียจและยิ้มให้แก่เซียงอ๋อง
สายตาของเซียงอ๋องเปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
ก่อนหน้านี้ เขาเคยจินตนาการมาก่อนว่าหากได้แต่งงานกับสตรีผู้สูงส่งเช่นชุยหมิงเย่ว์คงจะดี
ทั้งหน้าตางดงาม กิริยาท่าทางสง่า ที่สำคัญก็คือนางมีภูมิหลังที่ดี
เพียงแต่ว่าเขาเองก็รู้ตัวดีว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางผู้สูงส่งเช่นนั้น จะมององค์ชายที่เกิดจากมารดาผู้ต่ำต้อยเช่นเขาได้อย่างไร
ความคิดที่ผุดขึ้นมาก็ถูกปัดเป่าออกไป เมื่อจูจื่ออวี้และชุยหมิงเย่ว์ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนั้นขึ้น การหมั้นหมายนี้จึงตกมาอยู่ที่เขา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก กลับเป็นการดูถูกเหยียดหยามเสียมากกว่า
เขาไม่ใช่คนเก็บขยะ เหตุใดจึงไม่เอ่ยถามเขาสักคำก็ได้นำขยะเหม็นเน่ามายัดเยียดใส่ไว้ที่เขาเล่า
จะว่าไปแล้วก็คงเพราะเห็นเขาว่าง่าย ไม่มีอำนาจในการปฏิเสธได้
แต่ว่าเมื่อเซียงอ๋องนึกถึงรอยยิ้มอันอ่อนโยนของหญิงสาวเมื่อครู่ ก็ทำให้ความคิดในใจของเขาสั่นคลอน
บางทีนางเองอาจจะเพียงแค่เผลอไป…
ชุยหมิงเย่ว์เผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย
นางรู้ดีว่าหากเป็นเช่นท่านแม่ ซึ่งปฏิบัติต่อท่านพ่ออย่างแข็งกร้าวเช่นนั้นคงไม่ได้
หัวใจของคนเราไม่ได้ทำขึ้นจากเหล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจของชายหนุ่ม เพียงแค่ประคองไว้อย่างอ่อนโยนดุจสายน้ำ เพียงแค่มีความอดทน คงไม่มีหัวใจดวงใดที่ไม่อาจทำให้อบอุ่นขึ้นได้
แต่เสด็จแม่ของนางกลับไม่ทำเช่นนั้น
เสด็จแม่รักเสด็จพ่อมาก แต่นางก็ไม่อาจละทิ้งศักดิ์ศรีขององค์หญิงลงไปได้ หลายปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงได้ห่างเหินกัน สุดท้ายก็เป็นเสด็จแม่เองที่ต้องลำบากใจและขมขื่น
เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้เล่า
จากที่ชุยหมิงเย่ว์มองดูแล้ว องค์หญิงใหญ่หรงหยางไม่ต่างกับคนโง่ และตัวนางจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิม
มีชื่อเสียงไม่ดีแล้วอย่างไรเล่า รอให้นางแต่งออกไปแล้วนางจะกุมหัวใจของเซียงอ๋องให้อยู่หมัด
หลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮาประทับลง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “ในวันนี้ข้าดีใจยิ่งนักที่ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงรักษาจนหายเป็นปกติ ต่อจากนี้ไปฝูชิงก็จะสามารถมองเห็นโลกอันงดงามนี้ได้เช่นเดียวกับพวกเจ้า และสามารถเห็นทุกท่านได้ ข้าขอดื่มเพื่อเป็นการฉลองให้กับวันนี้”
ผู้คนในห้องโถงจึงได้ยกจอกสุราขึ้นพร้อมเอ่ยสรรเสริญยินดีที่ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงกลับมามองเห็นโลกอันงดงามนี้ได้อีกครั้ง
บรรยากาศอันน่าปลื้มใจเช่นนี้ ฮองเฮาอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำพระเนตร
ธิดาของนางกำนัลที่สุดก็ได้มีวันนี้ มีวันที่ยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายและรับคำอวยพรสรรเสริญ ไม่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในพระราชวังอย่างห่อเหี่ยวอีกต่อไป
จะไม่ให้นางปลาบปลื้มใจได้อย่างไร
วินาทีนี้ นางไม่ใช่ฮองเฮา แต่นางเป็นมารดาคนหนึ่ง
หลังจากการปล่อยวางในระยะเวลาอันสั้นสิ้นสุดลง ฮองเฮาก็ได้กลับคืนสู่รอยยิ้มอันงดงามดังเดิมแล้วเอ่ยขึ้นว่า “การที่ฝูชิงสามารถมองเห็นแสงสว่างอันงดงามได้เช่นนี้ ต้องขอบใจพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจอกนี้ข้าขอดื่มให้แก่พระชายาเยี่ยนอ๋อง”
เจียงซื่อโค้งกายคารวะไปทางฮองเฮา “หม่อมฉันมีบุญยิ่งเพคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะองค์หญิงมีความเมตตากรุณา เฉลียวฉลาด สั่งสมบุญมามากมาย สวรรค์เบื้องบนไม่อาจทนให้นางต้องพบกับความยากลำบากเช่นนี้ต่อไปได้…”
บัดนี้ทุกคนซึ่งอยู่ในที่นั้นจึงได้คลายความสงสัยเรื่องที่พระชายาเยี่ยนอ๋องรักษาดวงตาให้แก่องค์หญิงฝูชิงลง
แต่พวกเขาก็เกิดความรู้สึกสงสัยสิ่งใหม่ขึ้นมา พระชายาเยี่ยนอ๋องรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงได้อย่างไร
ทว่าด้วยสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะมีคำถามมากมายในหัวใจก็ทำได้เพียงสงบลงและอดกลั้นเอาไว้ ทำให้บรรยากาศรอบข้างดูอึดอัดใจเล็กน้อย
จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงได้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขว่า “เราล้วนเป็นคนในตระกูลเดียวกัน วันนี้ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทใดหรอก พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเกร็งเพียงนั้น”
บรรยากาศจึงได้ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ฮ่องเต้ตรัสถึงเพียงนี้แล้ว ต่อให้ทุกคนจะไม่กล้าละเมิดกฎ แต่ก็ต้องทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมา
องค์หญิงฝูชิงมองไปรอบข้างด้วยความประหลาดใจ นางมีความรู้สึกว่าต่อให้มองทั้งวันนางก็ไม่เบื่อ
ฮองเฮาตบลงที่มือขององค์หญิงฝูชิงเบาๆ แล้วกล่าวว่า “อาเฉวียน อยากจะนั่งอยู่ข้างกายแม่ หรือไปนั่งกับบรรดาพี่น้องของเจ้าเล่า”
ในวันนี้องค์หญิงฝูชิงนับว่าเป็นตัวเอกของงาน การที่จะนั่งอยู่ข้างกายฮ่องเต้และฮองเฮามิใช่ว่าไม่เหมาะสม อีกอย่างนี่คืองานเลี้ยงในตระกูล ฝ่าบาทพอพระทัยและอยากให้ผู้ใดนั่งข้างกาย ผู้ใดก็สามารถนั่งได้
องค์หญิงฝูชิงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังบรรดาพี่น้องสตรีที่ยังไม่ออกเรือนเหล่านั้น
สตรีน้อยใหญ่จำนวนสิบกว่านางนั่งล้อมรอบอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน มองไปแล้วช่างครึกครื้นเหลือเกิน
“ลูกไปที่นั่นได้หรือเพคะ”
“ย่อมได้ ไปเถิด” ฮองเฮายิ้มแล้วให้กำลังใจนาง
องค์หญิงฝูชิงจึงได้ยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไป ซึ่งนางกำนัลได้จัดเตรียมเก้าอี้เอาไว้ก่อนหน้าแล้ว และเชิญให้องค์หญิงฝูชิงนั่งลง
“พี่สิบสาม ดวงตาของพี่ช่างงดงามยิ่งนัก” เด็กหญิงคนหนึ่งเข้ามาสนทนากับองค์หญิงฝูชิง อายุไล่เลี่ยกัน ใบหน้าทรงกลมเหมือนผลส้มของนางยิ้มออกมาด้วยความร่าเริง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความซุกซนว่า “พี่สิบสาม ลองเดาดูสิว่าข้าเป็นใคร”
องค์หญิงฝูชิงตั้งใจมองดูเด็กหญิงผู้อยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจว่า “น้องสิบห้า?”