บทที่ 380 การต่อสู้ในความมืด

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 380 การต่อสู้ในความมืด

บทที่ 380 การต่อสู้ในความมืด

กุ้ยซื่อโกรธมาก นางก้าวไปข้างหน้า มือซ้ายคว้าแขนกุ้ยตงเหมย และยกมือขวาขึ้นทุบลูกสาวของตนอย่างรุนแรง กุ้ยตงเหมยที่ถูกทุบตีก็พยายามที่จะดิ้นให้หลุดพ้นจากพันธนาการของกุ้ยซื่อ แต่กุ้ยซื่อนั้นแข็งแกร่งมาก และในตอนนี้ นางก็โกรธมากจนจับมือของกุ้ยตงเหมยไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

กุ้ยตงเหมยที่ถูกทุบตีก็ทำได้แค่กรีดร้องและดิ้นไปมา

“ท่านแม่ อย่าตีตงเหมยเลย…” เมื่อกุ้ยชุนเจียวเห็นว่าผู้คนรอบ ๆ ตัวนางกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง จึงรีบตะโกนว่า “ท่านแม่ หยุดตีเถอะ ทุกคนกำลังมองเราอยู่!”

แต่คำพูดของกุ้ยชุนเจียวไม่มีประโยชน์ กุ้ยซื่อยังคงจับมือกุ้ยตงเหมยและพลางดุพลางตีอยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังเข้ามาใกล้ กุ้ยชุนเจียวก็ตะโกนทันทีว่า “ท่านแม่ หยุดตีได้แล้ว ท่านไม่อาย แต่ข้าอาย!”

ทันทีที่กุ้ยซื่อได้ยิน นางก็ปล่อยมือทันที มวยผมบนหัวของนางก็ยุ่งเหยิงเล็กน้อย พลางหอบหายใจ “เจ้าเด็กเวร มาดูกันว่าข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าเมื่อกลับไป!”

เมื่อกุ้ยตงเหมยเห็นท่าทางที่โกรธเคืองของกุ้ยซื่อ เมื่อคิดถึงเรื่องที่กุ้ยซื่อทุบตีตัวเองในที่สาธารณะ ทั้งยังไม่อนุญาตให้ตนเองมีปฏิสัมพันธ์กับพี่ฉินและยังดูถูกพี่ฉินอีก นางจึงชี้ไปที่กุ้ยชุนเจียวและด่าออกมา “กุ้ยชุนเจียว เจ้าอย่ามาทำตัวเป็นคนดีหน่อยเลย ท่านแม่รักเจ้า แต่ไม่รักข้า ทีเจ้าชอบคนพรรค์นั้นได้ แต่กลับไม่อนุญาตให้ข้าชอบพี่ฉิน!”

เมื่อกุ้ยชุนเจียวเห็นกุ้ยตงเหมยชี้หน้าและด่านาง คนรอบข้างที่มุงดูอยู่ล้วนได้ยินเช่นนั้นก็พากันชี้มาที่พวกนาง ไม่รู้ว่ามีผู้ใดได้ยินเรื่องนี้บ้าง เมื่อสักครู่นางมีความตั้งใจดี แต่ทันทีที่ถูกกุ้ยตงเหมยกล่าวเช่นนั้นออกมาก็ทำให้ใบหน้าขาวของกุ้ยชุนเจียวแดงขึ้นมาทันที

“กุ้ยตงเหมย เจ้าพูดพล่ามเรื่องอะไร ถ้าเจ้าพูดอีกคำ ข้าจะฉีกปากเจ้าเสีย” เมื่อเห็นว่ากุ้ยตงเหมยกล่าวเช่นนั้น กุ้ยซื่อก็แสดงท่าทางดุร้ายทันที

เมื่อกุ้ยตงเหมยเห็นว่าแม่ของนางปกป้องกุ้ยชุนเจียว นางก็ร้องไห้ออกมาพลางหันหลังและวิ่งไปในเมือง

กุ้ยชุนเจียวและกุ้ยซื่อรีบไล่ตามไปทันที แต่ยิ่งนานคนยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ในชั่วพริบตา ร่างของกุ้ยตงเหมยก็หายไปเสียแล้ว

เมื่อกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ อยู่บนถนน ฟ้ายังไม่มืด สวีเฉิงเจ๋อกำลังรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่หน้าประตูบ้าน

เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ มาถึง เขาก็ทักทายพวกนางทันที “เสี่ยวหวาน เจ้ามาแล้ว”

ฉินเย่จือเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากเกวียน

กู้เสี่ยวหวานยืนขึ้นและเรียกสวีเฉิงเจ๋อด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับก้าวเท้าลงจากเกวียน

สวีเฉิงเจ๋อยิ้มตอบอย่างรวดเร็วและยื่นมือออก เพื่อจะให้กู้เสี่ยวหวานจับขณะลงจากเกวียน

กู้เสี่ยวหวานเอื้อมมือออกไปโดยไม่ทันคิดเรื่องนี้

สวีเฉิงเจ๋อยืนอยู่ข้างเกวียนวัวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และยื่นมือข้างหนึ่งออกไป เดิมทีเขาวางแผนจะช่วยจับมือกู้เสี่ยวหวานลงจากเกวียน แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะถูกผลักออกไปอย่างสุดกำลัง สวีเฉิงเจ๋อเดินเซไปด้านข้างสองก้าวและรู้สึกสงสัยว่าใครที่เป็นคนผลักเขา ฉินเย่จือจับมือกู้เสี่ยวหวานและช่วยประคองนางลงจากเกวียนวัว

เมื่อกู้เสี่ยวหวานลงจากเกวียน นางก้มศีรษะเพื่อยกกระโปรงขึ้นพอดี นางจึงไม่เห็นตอนที่สวีเฉิงเจ๋อเดินเซไปด้านข้างสองก้าว เมื่อนางลงจากเกวียนก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าฉินเย่จือกำลังช่วยนาง ขณะที่สวีเฉิงเจ๋ออยู่ด้านข้าง และจ้องมองที่ฉินเย่จืออย่างสงสัย

ในตอนที่กู้เสี่ยวหวานสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคน ฮูหยินสวีก็เดินออกมาพอดี

“สาวน้อยเสี่ยวหวานมาแล้ว!” กู้เสี่ยวหวานรีบจัดเสื้อผ้าและทักทายสตรีตรงหน้าด้วยเสียงอ่อนหวาน “ฮูหยิน…”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเดินออกไป สวีเฉิงเจ๋อก็เดินไปหาฉินเย่จือด้วยใบหน้าที่มืดมนและกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เมื่อครู่เจ้าผลักข้า!”

นี่เป็นการยืนยันว่า เขาคิดอย่างถ่องแท้ว่าฉินเย่จือเป็นคนผลักเขาเมื่อสักครู่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครผลักเขาบนร่างกายตรง ๆ เขาแค่รู้สึกว่ามีลมพัดมา

ฉินเย่จือไม่ยอมรับและกล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “ไม่นี่ ข้ายืนอยู่ตรงนี้โดยที่ยังไม่ได้ขยับมือเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะลมกระโชกเมื่อครู่นี้ก็ได้…” หลังจากกล่าวจบ เขาก็ทำสีหน้าท่าทางไม่รู้ไม่ชี้เหมือนกับว่าเมื่อครู่เป็นลมกระโชกแรงที่ทำให้สวีเชิงเจ๋อเซไปด้านข้างจริง ๆ เขาเหลือบมองสวีเฉิงเจ๋ออย่างร้ายกาจจากบนลงล่างด้วยใบหน้ารังเกียจ “ร่างกายบางเป็นแผ่นกระดานเช่นนี้ ลมจึงสามารถพัดไปได้! หึ…” ท่าทางน่าขยะแขยงนั้นดูเหมือนจะคิดว่าสวีเฉิงเจ๋ออ่อนแอ แม้แต่ลมกระโชกแรงก็โดนพัดไป

สวีเฉิงเจ๋ออยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็ได้ยินฮูหยินสวีเรียกเขาเสียก่อน “เฉิงเจ๋อ…”

แม้ว่าสวีเฉิงเจ๋อจะสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาไม่ได้คิดจริง ๆ ว่าเป็นเพราะลมกระโชกแรงที่พัดเขาออกไป แต่ถ้าข่าวนี้กระจายออกไป คนอื่นคงจะคิดว่าเขาไม่ต่างจากผู้หญิง

ใบหน้าของสวีเฉิงเจ๋อเปลี่ยนเป็นสีดำ ฉินเย่จือมองไปที่ใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงและดำชั่วขณะหนึ่ง จึงกล่าวต่อ “นายน้อยสวีไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างแน่นอน!”

ด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้เช่นนั้น จึงดูราวกับว่าสวีเฉิงเจ๋อจะถูกลมพัดปลิวไปจริง ๆ

สวีเฉิงเจ๋อจ้องมองที่ฉินเย่จืออย่างโกรธจัด แต่ฉินเย่จือดูพอใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาดูไม่ใส่ใจราวกับจะบอกว่า เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าจะไม่กล่าวออกไปอย่างแน่นอน

สวีเฉิงเจ๋อกระทืบเท้าของเขาด้วยความโกรธ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน

หนึ่งในนั้นดูผ่อนคลาย และอีกคนดูหงุดหงิด กู้เสี่ยวหวานเพิ่งบังเอิญไปที่นั่น และเห็นพวกเขาสองคนเป็นเช่นนี้

กู้เสี่ยวหวานมองฉินเย่จืออย่างสงสัย และเห็นมือของฉินเย่จือกางออกด้วยใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาราวกับว่าเขากำลังบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

หลังจากเจอกัน สวีเฉิงเจ๋อก็เห็นว่ามันดึกแล้ว เขาจึงพากู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ออกไปด้วยกัน

สวีเซียนหลินและภรรยาของเขาไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงบอกให้สวีเฉิงเจ๋อดูแลเด็กทุกคนให้ดี และส่งคนรับใช้มาอีกสองสามคน จากนั้นพวกเขาก็เดินทางกลับไป

เหล่าคนรับใช้ถือโคมหมุนที่พวกเขาทำเมื่อวานนี้

ท้องฟ้าเพิ่งจะมืด และโคมไฟทุกชนิดบนถนนก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น

แสงสีแดงเล็ก ๆ ราวกับแสงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับและน่าทึ่ง ทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยการแสดงดอกไม้ไฟและโคมไฟอันตระการตา ถนนกว้างเต็มไปด้วยผู้คน คึกคัก วุ่นวาย และซับซ้อน ดูเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตชีวามาก

กู้เสี่ยวหวานจับมือกู้เสี่ยวอี้ไว้แน่น ฉินเย่จือและสวีเฉิงเจ๋ออยู่ด้านข้าง ส่วนกู้หนิงอัน กู้หนิงผิง และฉือโถวเดินนำอยู่ด้านหน้า และด้านหลังตามด้วยเหล่าคนรับใช้ แค่ออกจากบ้านก็ต้องยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้เลย

“หนิงอัน หนิงผิง อีกสักครู่คนก็จะเยอะแล้ว พวกเจ้าระวังอย่าหลงทาง” เมื่อเห็นผู้คนมากมายบนถนน กู้เสี่ยวหวานมองไปที่พวกกู้หนิงอันทั้งสองอย่างกังวลใจแล้วกล่าวกับทั้งสอง เกรงว่าคนทั้งเมืองคงจะออกมาดูโคมไฟและอีกไม่นานคนก็คงจะเยอะ หากมีคนหายไปก็คงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากแน่