ตอนที่ 374 ฟ้าหลังฝน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 374 ฟ้าหลังฝน

ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ฉีกหน้ากู่เหล่า ได้ยินกู่เหล่าเอ่ยถึงท่านปู่ หญิงสาวก็รู้สึกปวดใจเช่นเดียวกัน “พวกเราอย่ายืนรับลมอยู่ด้านนอกเช่นนี้เลย กู่เหล่าไปสำรวจจวนบรรพบุรุษเป็นเพื่อนข้าดีกว่า บอกข้าทีว่าเรือนของท่านแม่และท่านอาสะใภ้อยู่ที่ใดบ้าง”

กู่เหล่าพยักหน้า ถือไม้เท้าตามหลังไป๋ชิงเหยียนโดยเว้นระยะห่างหนึ่งก้าว เขาปรับสีหน้าอารมณ์ของตัวเองให้เป็นปกติ เล่าให้ไป๋ชิงเหยียนฟังว่าหลังจากเขากลับมาถึงที่นี่เขาทำสิ่งใดลงไปบ้างและตั้งใจจะทำสิ่งใดให้เสร็จภายในสิ้นเดือนนี้บ้าง

“กู่เหล่าจัดการเรื่องในจวนบรรพบุรุษได้ดีมาก ลำบากท่านแล้ว”

“เดี๋ยวคนค้าทาสของซั่วหยางจะส่งบ่าวรับใช้ชุดใหม่มาให้ คุณหนูใหญ่จะดูสักหน่อยหรือไม่ขอรับ” กู่เหล่าถาม

“ตอนบ่ายต้องเปิดประชุมที่หอบรรพชน คงไม่มีเวลา ให้คนจัดการตามความเหมาะสมได้เลย พวกเราจะใช้บ่าวรับใช้ที่ติดตามมาด้วยจากเมืองหลวง คนเหล่านี้ล้วนจัดสรรให้รับผิดชอบงานด้านนอกเรือนเท่านั้น ไม่ต้องใส่ใจมากนัก” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

“ขอรับ บ่าวรู้ขอบเขตดีขอรับ บ่าวที่เพิ่งซื้อตัวเข้ามาจะให้ทำงานหยาบอยู่นอกเรือนเท่านั้น ต่อไปค่อยฝึกฝนไปขอรับ” กู่เหล่ากล่าว

ตระกูลไป๋ไม่ได้ย้ายกลับมายังซั่วหยางอย่างง่ายดาย ไม่เพียงแต่ของใช้ของบรรดาเจ้าทั้งหลาย บ่าวรับใช้และครอบครัวของพวกเขาก็ต้องเคลื่อนย้ายข้าวของมาที่นี่เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องทยอยขนมาหลายรอบเช่นนี้

“ยังมีอีกเรื่องขอรับ เดิมทีฮูหยินจะให้คุณหนูใหญ่พักที่เรือนจินเฟิง ทว่า บ่าวคิดว่าแม้เรือนจินเฟิงจะกว้างขวางใหญ่โต แต่อยู่ห่างจากเรือนอื่นค่อนข้างมาก ไม่สู้เปลี่ยนเป็นเรือนเป่าจูซึ่งอยู่ข้างเรือนฮูหยินดีกว่า คุณหนูใหญ่คิดว่าอย่างไรขอรับ” กู่เหล่าปรึกษาไป๋ชิงเหยียน

“เรือนจินเฟิงดีแล้ว ข้าต้องฝึกฝนร่างกายทุกวัน อาจรบกวนเวลาพักผ่อนของท่านแม่และทำให้ท่านเป็นกังวลได้ อยู่ห่างออกไปหน่อยจะได้ไม่รบกวนผู้อื่น” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

ไป๋ชิงเหยียนสาบานกับกองทัพไป๋ทุกคนไว้ว่าจะพาพวกเขาไปแก้แค้นให้ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอา น้องชายและสหายทุกคนของกองทัพไป๋ที่เสียชีวิตไปแล้วภายในสามปี

เมื่อสาบานไปแล้ว หญิงสาวรอช้าไม่ได้อีก

ทว่า หญิงสาวไม่อยากให้มารดาเห็นตอนที่นางฝึกฝนร่างกาย ไม่อยากให้ท่านเป็นกังวล

ไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากเรือนชิงเหอของมารดา หันไปกล่าวกับกู่เหล่า

“เปลี่ยนชื่อเรือนจินเฟิงเป็นเรือนปัวอวิ๋นด้วย”

ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ

“ขอรับ ตามใจคุณหนูใหญ่ขอรับ” กู่เหล่าพยักหน้า

หญิงชราเฝ้าประตูวิ่งผ่านประตูกั้นเรือนในมาทางกู่เหล่าและไป๋ชิงเหยียนอย่างรวดเร็ว เมื่อทำความเคารพเสร็จจึงเอ่ยขึ้น

“กู่เหล่า คุณหนูใหญ่ ด้านนอกมีบุรุษแซ่เซียวคนหนึ่งขอเข้าพบเจ้าค่ะ กล่าวว่าพาหย่าเหนียงมาเจ้าค่ะ”

แซ่เซียว?

เซียวหรงเหยี่ยนอย่างนั้นหรือ

“เชิญเข้ามา…”

“เจ้าค่ะ!” หญิงชราวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อไป๋ชิงเหยียนมาถึงโถงรับรอง หญิงสาวเห็นเซียวหรงเหยี่ยนถูกเชิญมานั่งรออยู่บนเก้าอี้กลางโถงรับรองแล้ว ชายหนุ่มกำลังป้อนของว่างที่บ่าวรับใช้นำมาให้ให้หย่าเหนียงทาน

หย่าเหนียงซึ่งอยู่ในชุดไว้ทุกข์ส่ายหน้าเล็กน้อย สาวน้อยเหลือบมองเห็นไป๋ชิงเหยียนจึงกระตุกแขนของเซียวหรงเหยี่ยนเบาๆ ให้ชายหนุ่มมองไปทางด้านนอก

เซียวหรงเหยี่ยนหันไปก็เห็นไป๋ชิงเหยียนกำลังบอกกับกู่เหล่าว่าไม่ต้องตามเข้ามา จากนั้นหญิงสาวเดินเข้ามาด้านใน ชายหนุ่มวางของว่างในมือลง ทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่!”

“เซียวเซียนเซิง!” ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพกลับ เมื่อเห็นหย่าเหนียงอยู่กับเซียวหรงเหยี่ยน หญิงสาวรู้สึกโล่งใจมาก

“เซียวเซียนเซิงมาซั่วหยางได้อย่างไรเจ้าคะ”

“ข้ามาทำธุระแถวซั่วหยาง นึกขึ้นได้ว่าจวิ้นจู่จะกลับมาสะสางเรื่องในตระกูลบรรพบุรุษจึงอยู่ต่ออีกวันสองวันขอรับ เหยี่ยนมีการค้าสำคัญอยากเจรจากับคุณหนูใหญ่”

เซียวหรงเหยี่ยนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน มองดูหย่าเหนียงแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยต่อ “วันก่อนเหยี่ยนบังเอิญเจอกับหย่าเหนียงที่กำลังเกือบจะถูกทำร้ายจึงช่วยนางเอาไว้ จากนั้นข้าจึงฝากหย่าเหนียงไว้ที่ร้านที่ข้าเพิ่งเปิดใหม่ ให้ผู้ดูแลร้านรับหย่าเหนียงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อครู่ได้ยินว่าจวิ้นจู่กำลังตามหาหย่าเหนียงจึงพานางมาที่นี่ เมื่อจวิ้นจู่สะสางเรื่องในตระกูลเสร็จเมื่อใด เหยี่ยนค่อยเจรจาการค้ากับจวิ้นจู่ทีหลังขอรับ”

การค้าสำคัญอันใดถึงเจรจาที่เมืองหลวงไม่ได้ ต้องมารอนางที่ซั่วหยางเช่นนี้ ทว่า อยู่ต่อหน้าหย่าเหนียง ไป๋ชิงเหยียนจึงไม่ได้ถามสิ่งใดออกไป ได้แต่พยักหน้า

หย่าเหนียงมองไปทางไป๋ชิงเหยียน น้ำตาไหลพราก นางคิดว่าบนโลกนี้นอกจากมารดาของนางแล้วจะไม่มีผู้ใดตามหานางอีก นางเคยพบกับพี่สาวคนสวยและพี่ชายสุดหล่อแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทว่า คนหนึ่งตามหานาง อีกคนช่วยชีวิตนางเอาไว้

ไป๋ชิงเหยียนนึกไม่ถึงว่าเซียวหรงเหยี่ยนจะจัดการเรื่องของหย่าเหนียงได้เหมาะสมเรียบร้อยเช่นนี้ หญิงสาวมองไปทางหย่าเหนียง ผู้ที่ทำให้หย่าเหนียงสูญเสียมารดาของตัวเองไป…คือทายาทของตระกูลบรรพบุรุษที่อาศัยบารมีของตระกูลไป๋ในเมืองหลวง นางรู้สึกผิดต่อหย่าเหนียง

ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยกับหย่าเหนียง “เดี๋ยวตระกูลไป๋จะเปิดประชุม พี่จะทวงความยุติธรรมให้แม่ของหย่าเหนียงเอง”

หย่าเหนียงพยักหน้า วาดนิ้วสื่อกับไป๋ชิงเหยียนว่าตนอยากไปด้วย เด็กน้อยอย่างเห็นจุดจบของผู้ที่โยนนางลงไปในน้ำและทำให้นางสูญเสียมารดากับตาของนางเอง

ไป๋ชิงเหยียนเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นพยักหน้า “ได้!”

เรื่องที่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่กลับมาซั่วหยางเพื่อเปิดประชุมตระกูลที่หอบรรพชน ใช้กฎของตระกูลขับไล่ทายาทที่กระทำผิดของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทุกคนออกจากตระกูล จากนั้นส่งมอบตัวให้ทางการลงโทษตามกฎหมายแพร่กระจายไปทั่วทั้งซั่วหยาง

ชาวบ้านซั่วหยางที่เคยถูกรังแกพากันวิพากษ์วิจารณ์ รวมกลุ่มกันไปรออยู่หน้าหอบรรพชนของตระกูลไป๋เพื่อดูว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่จะคืนความยุติธรรมให้พวกเขาได้จริงหรือไม่

ต่อมาได้ยินว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่กำลังตามหาหย่าเหนียง เด็กที่ถูกทายาทตระกูลไป๋โยนลงน้ำ จนมารดาของนางเสียชีวิต

ได้ยินว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไปหาหย่าเหนียงที่บ้านของเพื่อนบ้านก่อน จากนั้นจึงพบว่าหย่าเหนียงหายตัวไป

คนขายแผงลอยที่รู้จักมารดาของหย่าเหนียงตาพากันช่วยออกตามหาตัวของเด็กสาวจนกลายเป็นเรื่องใหญ่

มามาของหอนางโลมต่างสั่งให้ลูกน้องของตัวเองสำรวจดูเด็กสาวที่เพิ่งถูกซื้อตัวมาใหม่ว่ามีคนใดเป็นใบ้หรือไม่ หากถูกขายมายังหอของนาง นางอาจล่วงเกินเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่โดยไม่รู้ตัว ต่อไปคงไม่ทีทางทำมาหากินอีก

เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่…คือคนที่สังหารทหารยอมจำนนของซีเหลียงกว่าแสนนายเชียวนะ!

ที่สำคัญผู้ใดในซั่วหยางไม่รู้บ้างว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มีรัชทายาทคอยหนุนหลังอยู่ ผู้ที่โหดร้ายอำมหิต และมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่หวาดกลัวบ้าง

เด็กที่หอนางโลมของนางซึ่งเพิ่งซื้อตัวมามีเด็กสาวใบ้อยู่ในนั้นจริงๆ ด้วย เพื่อความปลอดภัย มามาของหอนางโลมจึงพาเด็กสาวใบ้ผู้นั้นขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังหอบรรพชน

ยังไม่ทันเที่ยง ด้านนอกหอบรรพชนต่างรายล้อมไปด้วยชาวบ้านมากมาย ชายหนุ่มบางคนถึงกับปีนต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้าหอบรรพชนขึ้นไปสำรวจสถานการณ์อย่างไม่เกรงกลัว

หอบรรพชนของตระกูลไป๋เป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และโดดเด่นที่สุดในเมืองซั่วหยาง กระเบื้องสีเขียวอ่อนและหลังคาสีแดง สิ่งก่อสร้างที่แกะสลักอย่างประณีต ทั้งดูงดงามและน่าเกรงขาม

ด้านนอกหอบรรพชนมีต้นใหญ่อายุยืนนับร้อยปีที่อุดสมบูรณ์ราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของตระกูลไป๋

ประมุขไป๋ถือไม้เท้านั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผู้อาวุโสแต่ละคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง สีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน

ลูกหลานตระกูลไป๋ยืนอยู่ด้านหลังญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง ใบหน้าเคร่งขรึมพอกัน

ผู้เฒ่าห้าซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของประมุขไป๋นั่งถัดลงมาจากประมุข แขนข้างหนึ่งวางพิงพำนักพิง อีกข้างหนึ่งคลำลูกประคำในมือ สายตาหยุดอยู่ที่ตำแหน่งว่างด้านข้างประมุข