ตอนที่ 375 สำนึกช้าไป

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 375 สำนึกช้าไป

ตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งของไป๋เวยถิงเวลาที่เขากลับมายังซั่วหยาง ทว่า ตอนนี้กลับตกเป็นของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง

ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังมากจากด้านนอกหอบรรพชน สีหน้าของแต่ละคนในหอบรรพชนต่างย่ำแย่ไปตามๆ กัน

หอบรรพชนของตระกูลไป๋เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ยามปกติชาวบ้านชั้นต่ำพวกนั้นไม่กล้าแม้แต่เฉียดเข้าใกล้เสียด้วยซ้ำ ทว่า วันนี้กลับมารวมตัวกันส่งเสียงเอะอะหนวกหูอยู่หน้าหอบรรพชนเช่นนี้

“ดูเหมือนว่าชาวบ้านกว่าครึ่งของซั่วหยางล้วนมารวมตัวกันอยู่หน้าหอบรรพชนแล้วกระมัง!” ผู้อาวุโสบางคนถอนหายใจออกมา

ผู้เฒ่าห้านึกถึงเรื่องที่เขาถูกไล่ออกมาจากจวนบรรพบุรุษ ยิ่งรู้สึกโกรธไป๋ชิงเหยียนมากขึ้น เขากระแทกลูกประคำในมือลงบนโต๊ะด้านข้างอย่างแรง “ตามใจนางเช่นนี้! ท่านพี่ใจดีเกินไปแล้วขอรับ!”

“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” ประมุขไป๋ลืมตาขึ้นพลางชี้หน้าด่าผู้เฒ่าห้า “เจ้าก่อเรื่องไว้มากที่สุด! หากไม่ใช่เพราะเจ้ายึดครองจวนบรรพบุรุษจนไป๋ชิงเหยียนต้องกลับมาทวงโฉนดจวนคืน จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหรืออย่างไร”

ผู้เฒ่าห้าสบกับสายตาโมโหของพี่ชายก็หวาดกลัวทันที เขาย่นคอเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนลง “เช่นนั้น…จะไล่เด็กๆ ออกจากตระกูลจริงๆ หรือขอรับ”

“เมื่อครู่ข้าบอกกับพวกเจ้าทุกคนแล้ว เมื่อไล่ออกจากตระกูล พวกเราคอยลอบช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับๆ ก็ได้ พวกเราช่วยเหลือสายเลือดของตัวเองไม่ใช่เรื่องผิดอันใด! ทว่า หากวันนี้ทำให้ไป๋ชิงเหยียนพอใจไม่ได้ หากนางถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นการที่นายอำเภอโจวจับตัวเด็กพวกนั้นไปถือเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ความโชคร้ายของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ยังมีอีกแน่!”

ประมุขไป๋หรี่ตามองดูแสงแดดสว่างจ้าที่ส่องอยู่ทางด้านนอกหอบรรพชน กล่าวขึ้น “ขอเพียงพวกเรายังอยู่ในตระกูล ยังสามารถพึ่งพาบารมีของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ซึ่งมีองค์รัชทายาทคอยหนุนหลังอยู่ วันหน้าเรายังมีอำนาจไปขอร้องให้นายอำเภอโจวปล่อยคนออกมา ทว่า หากไป๋ชิงเหยียนถอนตัวออกจาตระกูลไปแล้ว คนของทางการต้องเหยียบย่ำพวกเราจนจมดินแน่!”

บรรดาผู้อาวุโสที่ก่อนหน้านี้เดินทางไปยังเมืองหลวงกับประมุขไป๋ต่างพากันพยักหน้า พวกเขาทุกคนยังจำคำกล่าวขององค์หญิงใหญ่ได้ดี

ก่อนหน้านี้ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงให้ความสำคัญกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋มากเกินไป ตระกูลไป๋ยอมให้พวกเขาหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาถึงได้เหิมเกริมจนถึงทุกวันนี้

ตอนนี้เมื่อนึกย้อนดู บางคนในตระกูลบรรพบุรุษเริ่มตระหนักรู้ว่าตระกูลบรรพบุรุษไม่ได้สำคัญต่อตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงมากถึงเพียงนั้น มีเพียงตระกูลไป๋เห็นว่าตระกูลบรรพบุรุษสำคัญ…พวกเขาถึงจะมีความสำคัญ ทว่า หากตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขา ตระกูลบรรพบุรุษก็ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น

ทว่า ยังมีบางส่วนที่ยังสำนึกไม่ได้เหมือนกับผู้เฒ่าห้า

“พวกเจ้านำเงินชดเชย กิจการที่เด็กๆ เหล่านั้นไปบังคับซื้อมาพร้อมทั้งโฉนดที่ดินสัญญาต่างๆ ที่ข้าให้พวกเจ้าเตรียมพร้อมไว้มาด้วยหรือไม่” ประมุขไป๋ถาม

ผู้อาวุโสในตระกูลบรรพบุรุษต่างพยักหน้าด้วยความรู้สึกเสียดาย

ประมุขไป๋วางใจขึ้นมาก เขานึกถึงเรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนถามหาไป๋ชิงผิงขึ้นมาได้ ประมุขไป๋หันไปทางบุตรชายคนรองที่ยืนอยู่ด้านข้าง “อาผิงเป็นอย่างไรบ้าง”

ไป๋ฉีเหอ บิดาของไป๋ชิงผิงรีบกล่าวตอบ “เด็กนั่นคุกเข่าติดต่อกันหลายวัน บัดนี้ลุกไม่ขึ้น แม่ของเขาตามหมอมาดูอาการแล้วขอรับ”

ผู้เฒ่าห้าเหลือบมองไป๋ฉีเหอแวบหนึ่ง เขาได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจว่าไป๋ฉีเหอเป็นคนไม่เอาไหน หลายปีมานี้เอาแต่ท่องตำรา ขนาดบุตรชายของตัวเองยังควบคุมไม่ได้ ปล่อยให้ไป๋ชิงผิงไปฟ้องร้องพี่น้องของตัวเองกับทางการ ช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ

“อีกเดี๋ยวไป๋ชิงเหยียนคงอยากพบเขา เจ้าไปตามเขามาที่นี่เถิด หากยืนไม่ไหวก็หาเก้าอี้มาให้เขานั่งข้างๆ ข้า” ประมุขไป๋กล่าวพลางขมวดคิ้วแน่น

“ขอรับ!” ไป๋ฉีเหอเดินออกมาจากหอบรรพชน สั่งให้บ่าวรับใช้ชายที่รออยู่กลางลานหญ้าหาวิธีฝ่าฝูงชนออกไปพาตัวไป๋ชิงผิงมา

ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่บนต้นไม้สูงมองเห็นกลุ่มของนายอำเภอโจวเดินมาแต่ไกล เขารีบตะโกนลั่น “มาแล้ว! มาแล้ว!”

ไม่นาน เสิ่นชิงจู๋ ไป๋จิ่นจื้อ เฉวียนอวี๋และนายอำเภอโจวเดินถือหลักฐานของแต่ละคดีมุ่งหน้ามายังหอบรรพชนตระกูลไป๋โดยมีบรรดาทายาทของตระกูลไป๋ยี่สิบเอ็ดคนซึ่งถูกทางการจับตัวไปเดินตามมาท่ามกลางการควบคุมของทางการด้วย

หลายวันมานี้ เนื่องจากนายอำเภอโจวไม่ได้ฝากฝังให้ดูแลเป็นพิเศษ ทายาทของตระกูลไป๋เหล่านี้จึงใช้ชีวิตอยู่ในคุกอย่างทรมาน แม้เครื่องแต่งกายจะยังดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่า ร่างกายของพวกเขาดูทรุดโทรมลงมาก

ไป๋ชิงเจี๋ยถูกจับกุมให้เดินอยู่หน้าสุดของบรรดาทายาททั้งหมด ชายหนุ่มไม่มีท่าทีเหิมเกริมเหมือนตอนที่อยู่ต่อหน้าไป๋ชิงเหยียนครานั้นอีกแล้ว

ถูกขังอยู่ในคุกมาหลายวัน ไป๋ชิงเจี๋ยรู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาแล้ว

หลายปีมานี้เขาถูกท่านปู่และท่านพ่อเลี้ยงดูอย่างตามใจจนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เมื่อเห็นท่านปู่ห้ายึดครองจวนบรรพบุรุษของทายาทสายหลัก ได้ยินท่านปู่ห้ากล่าวว่าสตรีของตระกูลไป๋จากเมืองหลวงต้องพึ่งพาอาศัยตระกูลบรรพบุรุษ ต่อให้ไป๋ชิงเหยียนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ ทว่า นางยังเป็นสตรีของตระกูล ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโส เขาจึงเชื่อตามนั้น

ในตระกูลยังร่ำลือกันอีกว่าไป๋ชิงเหยียนสาบานจะไม่แต่งงานตลอดชีวิต ต่อไปต้องอาศัยคนในตระกูลบรรพบุรุษเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า ต่อให้ท่านปู่ห้ายึดจวนบรรพบุรุษไว้ครอบครองเอง ไป๋ชิงเหยียนก็ไม่กล้าขัดขืนอย่างแน่นอน

ไป๋ชิงเจี๋ยเห็นว่าท่านปู่ของตนไม่ได้คัดค้านคำกล่าวของท่านปู่ห้า เขาก็ยิ่งเชื่อตามนั้น ดังนั้นเขาจึงยิ่งทำตัวเหิมเกริมมากยิ่งขึ้น

ทว่า หลายวันที่ถูกขังอยู่ในคุก เขาและบรรดาลูกพี่ลูกน้องนั่งทบทวนตัวเองอยู่ด้วยกัน นึกถึงคำกล่าวที่ไป๋ชิงผิงมักกล่าวให้พวกเขาฟังทุกวัน จู่ๆ พวกเขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาทันที

การที่นายอำเภอโจวเป็นมิตรกับพวกเขาไม่ใช่เพราะเขาอยากเอาใจตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยาง แต่เป็นเพราะตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงต่างหาก!

ดังนั้นตอนที่ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้นายอำเภอโจวจับกุมตัวพวกเขา นายอำเภอโจวถึงได้หักหน้าไป๋ฉีอวิ๋น ไม่แม้แต่จะพบหน้าเขา

กล่าวตรงๆ ก็คือหากไม่มีตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวง…ตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยางก็ไม่มีความหมายอันใดทั้งสิ้น

เป็นเพราะการกระทำที่ไม่เห็นตระกูลไป๋ในเมืองหลวงอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าห้าและการไม่คัดค้าน ปล่อยปะละเลยของประมุขไป๋ พวกเขาจึงคิดว่าตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงต้องเคารพพวกเขา ไม่กล้าล่วงเกินพวกเขาอย่างแน่นอน

นิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมเช่นนี้น่ากลัวที่สุด ราวกับหมึกดำหนึ่งหยดที่หยดลงในน้ำใสสะอาด ความคิดผิดๆ เหล่านี้ล้วนส่งอิทธิพลต่อความคิดของคนทั้งตระกูลอย่างน่าหวาดกลัว

สำนึกได้ตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว

เขานึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินจากพ่อค้าต่างถิ่นซึ่งเดินทางมาในเมืองซั่วหยาง พวกเขากล่าวว่าไป๋ชิงเหยียนจัดการกับบุตรอนุของตระกูลไป๋กลางถนนต่อหน้าชาวบ้านมากมาย นึกถึงวันที่ไป๋ชิงเหยียนสาบานต่อหน้าทุกคนว่าหากประมุขไป๋ไม่ยอมขับไล่พวกเขาออกจากตระกูล นางจะพาตระกูลไป๋จากเมืองหลวงถอนตัวออกจากตระกูลไป๋เอง

ไป๋ชิงเจี๋ยรู้ดีว่าวันนี้ทายาทที่ทำผิดอย่างพวกเขาต้องถูกขับไล่ออกจากตระกูลอย่างแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่เขาซึ่งเป็นหลานชายของประมุขแห่งตระกูลไป๋

เขาเชื่อว่าไป๋ชิงเหยียนอาละวาดถึงเพียงนี้ ท่านปู่ของเขาต้องตระหนักได้แล้วว่าตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงไม่ใช่คนที่เขาจะล่วงเกินได้ง่ายๆ หากไป๋ชิงเหยียนออกจากตระกูลบรรพบุรุษ…ตระกูลบรรพบุรุษได้จบสิ้นแน่

นอกจากจะโดนขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว เขายังมีความผิดโทษฐานทำให้คนต้องตายอีก ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดต่อไปหรือไม่

ไป๋ชิงเจี๋ยนึกถึงเรื่องนี้ ขาของเขาอ่อนแรงทันที เขาถูกกุมตัวเข้าไปในหอบรรพชนท่ามกลางสายตาโกรธแค้นของชาวบ้าน

มีเพียงชาวบ้านเท่านั้นที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในหอบรรพชน นายอำเภอโจวพาคนเดินไปถึงกลางลานหญ้า ประมุขไป๋รีบออกมาต้อนรับทันที