สายตาป้าส้มสั่นคลอน ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม:“พวกเขาน่าจะยังเดทกันข้างนอก จะกลับมาดึกหน่อย ถ้าคุณนวิยาง่วง ก็ไปนอนเถอะ”

นวิยามองออกว่าป้าส้มกำลังโกหก แววตาก็มีประกายหม่น แต่ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว“ได้ งั้นฉันขึ้นบนไปก่อนนะคะ ป้าส้มก็พักผ่อนไวๆ”

“ค่ะ”ป้าส้มพยักหน้า

นวิยาหันกลับเดินไปชั้นบน

อย่างไรก็ตามตอนที่ไปถึงชั้นสอง เขากลับแอบหลบอยู่ที่มุมบันไดเงียบๆ

ด้านล่าง ไอริณลุกขึ้นมาจากอ้อมแขนของป้าส้ม ตาคู่นั้นร้องไห้จนบวมแดง

ป้าส้มเห็นก็รู้สึกสงสารอย่างมาก จับหน้าเล็กๆของเธอ แล้วเป่าไปที่ดวงตาของเธอ

ไอริณถามอย่างสะอึกสะอื้น:“คุณยายส้ม หม่ามี๊จะไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ใช่ ไม่เป็นไรแน่ พ่อก็ไปช่วยหม่ามี๊แล้วนี่?ไอริณรออยู่ที่บ้านก็พอ”ป้าส้มลูบผมนุ่มๆของเด็กสาวแล้วพูดปลอบ

ไอริณกัดริมฝีปาก“แต่หนูยังเป็นห่วง”

“อย่าห่วงไป”ป้าส้มพูดเสียงอ่อนโยน:“เชื่อว่าพ่อ จะต้องพาหม่ามี๊กลับมาได้แน่”

ไอริณพยักหน้า ตอบอือ

ป้าส้มพูดอีกว่า:“ง่วงยังจ๊ะ?เดี๋ยวคุณยายส้มพาหนูกลับไปนอนที่ห้อง ไม่แน่หนูตื่นมา พ่อกับหม่ามี๊ก็อาจกลับมาแล้ว”

“ไม่”ไอริณส่ายหน้าเล็กๆนั้น“หนูไม่นอน หนูจะรออีกสักพัก”

“ก็ได้”ป้าส้มรู้ว่าในใจของเด็กสาวคนนี้อาจวางใจได้ จึงไม่โน้มน้าว ยังไงซะพรุ่งนี้ก็วันหยุด รออีกสักพักก็รออีกสักพักละกัน

ที่มุมชั้นสอง นวิยาได้ยินบทสนทนาของป้าส้มกับไอริณเข้ามาในหู มือที่วางไว้บนราวบันได ก็กำแน่น แววตามีความตื่นเต้น

เกิดเรื่องกับวารุณี ไม่น่าล่ะดึกขนาดนี้ยังไม่กลับมา

ดีมากเลยจริงๆ

แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แต่พอเห็นสภาพยัยเด็กนั่นที่ร้องไห้จนเป็นแบบนี้ที่ชั้นล่างแล้ว และยังมีความกังวลในแววตาของยายแก่ป้าส้มนั่นอีก พอคิดดูแล้วไม่น่าจะใช่เรื่องเล็กๆ

ถ้าวารุณีไม่กลับมาอีกก็คงดีมาก

ในใจนวิยาคิดอย่างร้ายกาจ

ที่ห้องหนังสือชั้นสาม อารัณนั่งอยู่หน้าคอม มือเล็กสองข้างไม่หยุดเคาะไปที่แป้นพิมพ์ ยิ่งเขาเคาะ ใบหน้าอ่อนละมุนนั้น ก็ยิ่งจริงจัง

ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที อารัณค่อยๆหยุดเคาะไปที่แป้นพิมพ์ มือเล็กสองข้างกำขึ้นมาแน่น ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาคลอไปมาอยู่ด้านใน ว่าจะตกลงมาหรือไม่

เขาสูดลมหายใจ สูดจมูกขึ้นมา ระงับความกระตุ้นที่จะร้องไห้ออกมา หยิบไมค์ด้านข้าง พูดกับข้างในว่า:“พ่อครับ ผมหาหม่ามี๊ไม่เจอ”

“หมายความว่าไง”รูม่านนัทธีหดลง

อารัณตอบกลับด้วยเสียงสะอึกสะอื้น:“อุปกรณ์ติดตามของหม่ามี๊พัง ผมล็อกตำแหน่งของเธอไม่ได้ ฮือๆ……”

เวลานี้ เด็กที่เข้มแข็งมาตลอด ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ร้องไห้ออกมา

นัทธีได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กชาย หัวใจก็เหมือนถูกบีบขึ้นมา

เขากำโทรศัพท์ดาวเทียมในมือแน่น อดทนต่อความเป็นห่วงที่มีต่อวารุณี พยายามพูดปลอบใจเด็กชายเสียงนุ่ม“ไม่เป็นไร พ่อจะต้องหาเธอเจอ หาเจอให้ได้!”

“จริงเหรอครบ?”อารัณถาม

นัทธีตอบอือ“พ่อรับรอง ลูกอยู่บ้านดูแลน้องสาวดีๆ เข้าใจไหม?”

“ผมเข้าใจครับ พ่อ พ่อต้องหาหม่ามี๊ให้เจอ ต้องหาให้เจอนะ!”อารัณกำชับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นัทธีก็รับปากไป

วางสาย นัทธีก็วางโทรศัพท์ดาวเทียมลง

มารุตถือน้ำร้อนแก้วหนึ่งเดินเข้ามา ยื่นไปให้เขา“ประธาน มีร่องรอยของคุณผู้หญิงไหม?”

“อุปกรณ์ติดตามพัง”นัทธีรับแก้วน้ำมา ดื่มไปคำหนึ่ง ตอบกลับด้วยเสียงแหบแห้ง

ในใจของมารุตนั้นเยือกเย็น

อุปกรณ์ติดตามพังแล้ว หมายความว่าล็อกตำแหน่งของคุณผู้หญิงไม่ได้

งั้นต่อไปจากนี้ หาคุณผู้หญิงเจอ ก็จะยิ่งยากขึ้น

“ประธาน ไม่งั้นรอฝนหยุดตก ผมค่อยให้ทีมค้นหาและช่วยเหลือสองสามทีมมา เพิ่มกำลังค้นหาเป็นไงครับ?”มารุตมองเขา

นัทธีพยักหน้า เห็นด้วย

เพราะว่าหาตำแหน่งเจาะจงของวารุณีไม่เจอ จึงได้แต่แบบนี้

เวลาถัดมา นัทธีกับมารุตต่างไม่พูด ฟังเสียงฝนด้านนอกเงียบๆ ไม่รู้สึกง่วงสักนิด

จนกระทั่งวันถัดมาฟ้าใกล้สว่าง ฝนตกหนักนั้นก็หยุดลงเสียที

นัทธีเปิดผ้าม่านเต็นท์ออกไป สวมอุปกรณ์ เรียกกำลังคนให้ไปหาที่เขาต่อ

และที่เขาลูกนั้น ข้างในถ้ำ วารุณีฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

ครั้งนี้ เธอฟื้นมาเพราะความเย็น

เสื้อผ้าที่ตัวเธอยังเปียก แนบชิดไปที่ตัว อย่างเยือกเย็น มีลมพัดมา เย็นจนตัวเธอสั่น

ตัวเธอสั่น ลืมตานั่งขึ้นมา และจามออกมาเสียงดัง

“ฟื้นแล้วเหรอ?”ทันใดนั้น เสียงผู้ชายที่ทุ้มต่ำอ่อนแรงก็ดังขึ้นมา

วารุณีที่ลูบแขนอยู่ก็ชะงักลง รีบหันหน้ามองไปทางต้นเสียง

เห็นตรงหน้าปากถ้ำ นิรุตติ์กำลังนั่งงอขาอยู่ตรงนั้น สายตามองมาที่เธอ

วารุณีอ้าปาก“คุณฟื้นมาเมื่อไหร่?”

นิรุตติ์หันหน้าไป มองไปด้านนอก“ไม่รู้สิ ตอนที่ฟ้าสว่างมั้ง”

“เหรอ?”วารุณีตอบรับไป แล้วก็ไม่พูดอีก หดตัวเองลง เพื่อรับความอบอุ่น

แต่เสื้อผ้าที่ตัวเธอเปียก แบบนี้รับความอบอุ่นมาไม่ได้เลย ยังคงเย็นจนเธอสั่น

เธอกังวลมากเลยว่า เป็นแบบนี้ต่อไป ในไม่ช้าก็เร็วเธอจะต้องเป็นไข้

ดังนั้นเธอต้องคิดหาทาง เดินออกไปจากเขานี้ หาสถานที่ที่มีคนพักถึงจะถูก ไม่งั้นคงตายตรงนี้

กำลังคิดอยู่นั้น เธอก็ได้ยินนิรุตติ์กำลังถาม“คุณเป็นคนพาผมมาที่ถ้ำนี้เหรอ?”

วารุณีเงยหน้าขึ้น ตอบอือ

นิรุตติ์หันหน้าไป มองเธอด้วยสายตาซับซ้อน“ทำไมล่ะ?”

“ทำไมอะไร?”วารุณีไม่ได้สติคืนมาทันที

นิรุตติ์ยกมุมปากขึ้น“ทำไมต้องช่วยผม ผมไม่ใช่คนที่จับตัวคุณ จี้คุณไปกระโดดหน้าผาด้วยกันเหรอ?ว่าตามเหตุผลแล้ว ผมคือศัตรูคุณสิถึงจะถูก แล้วคุณยังมาช่วยผมอีก โง่มาก ไม่กังวลว่าผมดีแล้ว จะเอาคุณไปข่มขู่นัทธีต่อเหรอ?”

วารุณีขยับไปด้านหลัง หลังพิงไปที่กำแพงถ้ำ มองก้อนหินตรงขาแล้วตอบ:“ฉันแค้นคุณจริงๆ เพราะว่าคุณจะฆ่าฉัน แต่ฉันไม่ตาย ฉันโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ ฉันเห็นคุณล้มหมดสติไม่ฟื้นที่พื้น จิตสำนึกฉันไม่ให้ฉันทิ้งคุณไว้โดยไม่สนใจไยดี ดังนั้นจึงช่วยคุณ”

เธอไม่ใช่แม่พระ

ก็แค่ในฐานะที่เป็นคนแล้ว เธอทำไม่ได้ที่จะเห็นคนจะตายโดยไม่ช่วยเหลือ

นิรุตติ์หัวเราะเสียงทุ้มต่ำ ในเสียงหัวเราะนั้น ผสมกับอารมณ์ที่วารุณีฟังไม่ออก

“คุณเป็นผู้หญิงที่โง่ที่สุดที่ผมเคยเห็นจริงๆ”เขาพูดเยาะเย้ย

โง่จนช่วยศัตรูของตัวเอง

แต่ขณะเดียวกัน เธอก็คือผู้หญิงที่จิตใจดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น

วารุณีฟังความเย้ยหยันของนิรุตติ์ ก็ไม่โกรธ เพราะว่าไม่จำเป็น

โกรธในสถานที่นี้ สำคัญไปกว่ามีชีวิตรอดได้อย่างไร

“ใช่สิผู้อำนวยการนิรุตติ์ ฉันอยากรู้ว่า พวกเรามีชีวิตรอดได้อย่างไรกันแน่?”วารุณีมองเขาแล้วถาม

ตอนที่กระโดดลงไปหน้าผา เธอก็พบว่าหน้าผานั้นสูงมาก

ตกลงไปหน้าผาที่สูงขนาดนี้ คนทั่วไปไม่รอดแน่นอน

แต่พวกเขาไม่ใช่แค่รอดมาได้ แต่ยังครอบสามสิบสองประการ นี่มันเหลือเชื่อมาก

ดังนั้นเธอจึงอยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะว่าระหว่างที่เธอตกลงไป ก็หมดสติไปเพราะว่ากลัวความสูงและแรงกดอากาศทำให้หายใจไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

นิรุตติ์มองแขนตัวเองที่ห้องลงกับขาซ้ายที่เปลี่ยนรูปไปเล็กน้อย ความเจ็บปวดแวบเข้ามาในตา ปากกลับพูดไปนิ่งๆว่า:“พวกเราโชคดีมาก ก่อนที่จะร่วงลงพื้น ตกลงเป็นซากเนื้อ ถูกต้นไม้ใหญ่ที่โตบนหน้าผารับไว้”

“อ๋า?”วารุณีตกใจ

โชคดีขนาดนี้เชียว?