“ต้นไม้ใหญ่ค้ำจุนพวกเราไว้ช่วงหนึ่ง จากนั้นกิ่งหัก พวกเราจึงตกไปที่พื้น แต่ตอนนั้นระยะห่างจากพื้นไม่สูงมากแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงรอดมาได้”นิรุตติ์อธิบาย

ตอนนี้วารุณีเลยเข้าใจว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้น จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่นและยินดี“ที่แท้ก็แบบนี้เอง พวกเรานี่มีพระคุ้มครองจริงๆ แบบนี้ก็ยังไม่ตาย”

นิรุตติ์ไม่พูด แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ช่างโชคดีเสียจริง

วินาทีที่เขาตกหน้าผา คิดจริงๆว่าตายแน่นอน และก็คิดว่าถ้าตายก็ดี ไม่ต้องกังวลว่านัทธีจะหาพินัยกรรมเจอ แล้วเอาอำนาจทั้งหมดมากดขี่พวกเขาครอบครัวลูกชายคนโต

เพราะตัวเองตายแล้ว จุดจบของครอบครัวลูกชายคนโตจะเป็นอะไร ก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว เขามองไม่เห็น

แต่ใครจะไปคิด ว่าเขาจะไม่ตาย

“ฮัดเช้ย!”วารุณีจามเสียงดังอีกครั้ง หายใจอย่างเยือกเย็น

นิรุตติ์เห็นแบบนี้ จึงเม้มปาก“ในกระเป๋าผมมีไฟแช็ก คุณหยิบออกมาจุดฟื้นสิ จะได้อบอุ่น”

วารุณีได้ยินว่ามีไฟแช็ก ดวงตาก็เป็นประกาย“คุณมีไฟแช็ก?งั้นทำไมคุณไม่รีบเก็บฟืนมาจุดไฟล่ะ?”

“ผมเดินไม่ไหว”สายตาของนิรุตติ์มองไปที่ขาตัวเองข้างนั้นที่เปลี่ยนรูปร่าง

วารุณีมองตามไป แล้วรูม่านตาก็เบิกโต“ขาของคุณ……”

“น่าจะหัก”นิรุตติ์ตอบกลับอย่างนิ่งๆ เหมือนพูดว่าตัวเองขาหัก ก็ธรรมดาเหมือนกับกินข้าวมื้อหนึ่ง

เสียงวารุณีสั่น“ไม่แปลกใจที่คุณบอกว่าคุณเดินไม่ไหว”

“ไม่ใช่แค่นี้ แขนสองข้างของผมก็เคล็ดด้วย”นิรุตติ์ก็โยนระเบิดใหญ่ออกมาอีกครั้ง

วารุณีกลับสูดหายใจเข้า มองเขาอย่างเห็นใจเล็กน้อย“คุณโชคร้ายเสียจริง”

ตกลงมาจากหน้าผาเช่นกัน อย่างมากเธอก็ถูกบาดและมีแผลถลอก มือและเท้าไม่เป็นอะไร

แต่เขากลับตกลงมาเป็นแบบนี้ ทำให้ตกใจเสียจริง

นิรุตติ์ทำเสียงฮึดฮัด แล้วบ่นพึมพำเสียงเบา“ใช่ โชคร้ายมาก”

เขาเองก็ไม่รู้ว่าในตอนท้าย ตอนที่กิ่งไม้หัก ทำไมต้องปกป้องผู้หญิงคนนี้ เอาร่างของตัวเองไว้ด้านล่าง เป็นที่รองให้เธอด้วย

ว่าตามเหตุผลแล้ว เขาไม่ใช่คนแบบนี้แน่ แต่ตอนนี้เห็นขากับแขนทั้งสองข้างได้รับบาดเจ็บ เขากลับไม่เสียใจเลยสักนิด

เขาบ้าไปแล้วจริงๆ

มุมปากของนิรุตติ์ยิ้มเยาะเย้ยออกมา

วารุณียืนขึ้นมา เดินไปตรงหน้าเขา“ไฟแช็กอยู่กระเป๋าข้างไหน?”

“ต้นขาขวา”ดวงตานิรุตติ์มองไปที่กระเป๋าต้นขาขวา

วารุณีมองเห็นจุดนั้น ก็ลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่อยากไปหยิบ

นิรุตติ์มองเธอเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม“ทำไม กลัวไปโดนอะไรที่ไม่ควรโดนเหรอ?”

วารุณีฟังคำลวนลามในน้ำเสียงเขาออก ก็ขมวดคิ้วจ้องเขา“ใครว่าฉันกลัวล่ะ?”

พูดจบ เธอก็ยื่นมือเข้าไป หยิบไฟแช็กออกมา

ถึงเธอจะคลำกระเป๋านั้น แต่ไม่ค่อยเหมาะจริงๆ

แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างกัน เพื่อไม่หนาวตายแล้ว เธอไม่สนพวกนี้หรอก

วารุณีหยิบไฟแช็กออกมา ตรวจดูอย่างละเอียด พบว่าปลอกโลหะด้านนอกไฟแช็กเปลี่ยนสภาพเล็กน้อย แต่ยังจุดไฟได้ ก็ถือว่าโล่งอก

“ฉันจะไปเก็บฟืน คุณรอฉันที่นี่นะ”วารุณีเก็บไฟแช็กมาก กำชับนิรุตติ์ แล้วออกไปจากถ้ำ

ในป่าเขาที่ฝนเพิ่งตกยังมีหมอกปกคลุมบางๆ อากาศก็เป็นกลิ่นสดชื่นบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ในเมืองใหญ่ไม่ได้กลิ่น

วารุณีเหยียดแขนออก สูดหายใจเข้าลึกๆแล้ว จึงก้าวเท้าออกไปอย่างระมัดระวัง เดินไปข้างหน้าอย่างระวังลื่น

เธอเก็บฟืนมาไม่น้อย แต่ต่างเปียกหน่อยๆ แต่ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว ได้แต่อุ้มพวกนี้กลับไปที่ถ้ำ

นิรุตติ์กำลังนั่งพิงกำแพงในถ้ำ ตาทั้งสองข้างหลับสนิท ตัวสั่นด้วยความหนาว บวกกับความเจ็บของขาและแขนที่เข้ามา ยิ่งทำให้เขาทรมานเป็นสองเท่า

ดังนั้นหน้าของเขาตอนนี้จึงซีดขาว ริมฝีปากก็ไม่มีเลือดฝาด

มองสภาพเขาแล้ว ในใจของวารุณีก็แอบสมน้ำหน้า ขณะเดียวกันก็กลัวเขาตาย จึงรีบจุดไฟ

แต่การจุดไฟนั้นไม่ค่อยราบรื่น จุดไปหลายครั้งก็ยังไม่ติด

ดีที่ในถ้ำมีใบไม้ร่วงที่แห้งที่เคยถูกลมพัดเข้ามาอยู่บ้าง จึงใช้พวกนี้มาเป็นเชื้อไฟในการจุดไฟ สุดท้ายไฟก็จุดติดสำเร็จ

วารุณีวางฟืนเข้าไป เพื่อให้ไฟลุกโชนมากขึ้น อุณหภูมิในถ้ำ ก็ค่อยๆสูงขึ้น ไม่หนาวมากอีกต่อไป

วารุณีรีบถอดเสื้อคลุมของตัวเอง แขวนไว้ที่กองไฟ เตรียมจะตากให้แห้ง ส่วนเสื้อผ้าที่เหลือบนตัว ถึงยังเปียกอยู่ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ใช้อุณหภูมิร่างกายมาทำให้แห้ง

ตากไปสักพัก วารุณีคิดว่าชุดตากไปได้พอประมาณแล้ว จึงเอาชุดไปไว้ด้านข้าง เดินไปตรงหน้านิรุตติ์

“นี่ตื่น”วารุณีผลักนิรุตติ์เบาๆ

นิรุตติ์ลืมตามา มองเห็นหน้าเล็กๆที่สกปรกและผมที่ยุ่งไปมาของเธอ ความไม่ชอบใจก็ปรากฏในสายตา

วารุณีโกรธจนอยากตบเขาสักฉาดมาก

ถึงเธอไม่ส่องกระจก ก็รู้ว่ารูปร่างตัวเองตอนนี้ดูแย่แน่ แต่เขาเองก็เหมือนกัน แต่ยังมองเอด้วยสายตารังเกียจอีก

“นี่ คุณถอดเสื้อคลุมที่ตัวออกมาสิ วางตากไว้ข้างๆกองไฟ ตากให้แห้ง

นิรุตติ์มองเอด้วยรอยยิ้ม“คุณคิดว่าสภาพผมแบบนี้ ผมลงมือได้เหรอ?”

วารุณีพูดไม่ออก จึงคิดออกได้ ว่าแขนทั้งสองของเขาเคล็ด เลยขยับไม่ได้

“ดังนั้นคุณถอดให้ผมเถอะ!”นิรุตติ์พูด

วารุณีขมวดคิ้ว กำลังจะพูดว่างั้นก็ตามนี้แหละ ใช้ร่างกายทำให้เสื้อผ้าให้อุ่นไปละกัน

นิรุตติ์จึงพูดอีกครั้ง“ผมคือคนที่คุณช่วยมา ในเมื่อคุณช่วยแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด ไม่งั้นไม่ต้องช่วยเสียดีกว่า คุณว่าไหมล่ะ”

“คุณ……”วารุณีโกรธเขาจนหน้าเล็กๆนั้นแดง

นิรุตติ์มองสภาพเหนื่อยหอบของเธอ ดวงตาที่ไม่สวมแว่นนั้น ก็มีรอยยิ้มแวบเข้ามา

รอยยิ้มนี้ ทำให้วารุณีตะลึง

รอยยิ้มของเขาที่เธอเคยเห็น ล้วนแต่เป็นรอยยิ้มเสแสร้ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มร้ายกาจ

แต่ครั้งนี้ กลับเป็นรอยยิ้มที่แท้จริง

ไม่ได้เสาะถามว่านิรุตติ์กำลังยิ้มอะไร สุดท้ายวารุณีก็ถอดเสื้อคลุมให้เขาอย่างยอมรับชะตากรรม แล้ววางตากไว้ข้างๆ

แต่ยังไม่จบ เธอก็ถอดเนกไทของเขาอีก ภายใต้การมองที่สงสัยของนิรุตติ์ หลังจากเอาเนกไทวางไวที่ขอบหินแหลมๆแล้วไปถู ถูจนมีรูเล็กๆออกมา แล้วจึงฉีกเนกไทออก

วารุณีฉีกเนกไทเป็นหลายเส้น วางแต่ละอันไว้ที่พื้น หยิบสองสามเส้นที่ความสั้นยาวพอๆกัน ท่อนไม้ที่แข็งแรงวางไว้ที่พื้น

นิรุตติ์ถามอย่างไม่เข้าใจ“นี่คุณทำอะไร?”

“ยึดแขนกับขาให้คุณ”วารุณีมองเขาแวบหนึ่งแล้วตอบ

นี่คือตอนที่เธอเก็บฟืน ตั้งใจหามาให้เขาโดยเฉพาะ

นิรุตติ์มองวารุณีที่กำลังทำแท่งไม้ ในใจไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร อบอุ่นเล็กน้อย และก็เกิดความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อนขึ้นมา

ทำให้ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่า สายตาที่เขามองวารุณี ก็อ่อนโยนขึ้นมา

ความอ่อนโยนนี้ ต่างกับความอ่อนโยนที่ปกติเขาเสแสร้งออกมา แต่กลับไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด ครั้งนี้มีแต่ความอ่อนโยนที่ออกมาจากภายในใจ

วารุณีไม่รู้ว่านิรุตติ์กำลังมองตัวเอง เธอหยิบแท่งไม้กับเนกไทที่ฉีกเป็นผ้า มองขาของเขา แล้วพูดอย่างจริงจัง:“อาจจะเจ็บ คุณทนสักพักนะ ฉันจะมัดแน่นมาก ช่วยคุณยืดกระดูกไว้ กระดูกของคุณจะได้ไม่ผิดทรงมากยิ่งขึ้น”

“โอเค คุณทำไปเถอะ”นิรุตติ์พยักหน้า เสียงนั้นอ่อนโยนขึ้นเยอะ

วารุณีฟังออก แต่ไม่คิดมาก เริ่มมัดขาให้เขา

นิรุตติ์เจ็บจนกัดฟันแน่น ใบหน้านั้นดูเหยเก เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลออกมาจากหน้าผาก ในลำคอไม่หยุดส่งเสียงอู้อี้อย่างเจ็บปวด

เสียงนั้นวารุณีได้ยินจนใจสั่น มือไม้ทนไม่ไหว

แต่สุดท้าย เขาก็ยืนหยัดต่อไป

มัดขาและแขนเสร็จ วารุณีจึงโล่งอก นิรุตติ์เจ็บจนเกือบหมดสติ พิงกำแพงด้วยเหงื่อที่ท่วมหน้า หายใจอย่างรุนแรง