บทที่ 384 แผนการเปิดร้านหนังสือกับสหาย
บทที่ 384 แผนการเปิดร้านหนังสือกับสหาย
วันต่อมา เหยาซูส่งอาซือและเถิงเอ๋อไปร้านหนังสือ
เด็กทั้งสองคนล้วนชอบอ่านหนังสือ พวกเขานั่งตรงโต๊ะที่จัดให้ลูกค้านั่งอ่านหนังสือตรงบริเวณชั้นสอง แต่ละคนต่างก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
อาซือกำลังเพลิดเพลินกับตำนานปรัมปราในมือ บางครั้งเด็กหญิงก็หันไปพูดคุยกับเถิงเอ๋อที่ในมือกำลังอ่านหนังสือบันทึกการเดินทางอยู่
เหยาซูเห็นแล้วจึงปลีกตัวออกมาจากชั้นสองเงียบ ๆ
เถ้าแก่ของร้านหนังสือมักจะเห็นเหยาซูพาพวกเด็ก ๆ มาอ่านหนังสือที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง เวลาที่พวกเขาอยู่ที่ร้านหนังสือก็จะไม่ส่งเสียงดัง พวกเด็ก ๆ ใช้เวลาในช่วงเช้าในการอ่านหนังสือ และก่อนที่จะออกจากร้านไปพวกเขายังซื้อหนังสือที่สนใจกลับไปอีกสองสามเล่ม ดังนั้นเขาจึงมีความประทับใจต่อพวกเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก
เมื่อเถ้าแก่เห็นเหยาซูลงมาจากชั้นสอง จึงยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยกล่าวกับหญิงสาวว่า “ฮูหยินมาส่งลิ่งหลาง[1] และลิ่งเชียนจิน[2] อ่านหนังสือหรือขอรับ?”
เหยาซูไม่ได้ปฏิเสธ จึงยิ้มบางแล้วกล่าวกับเถ้าแก่ว่า “เพราะว่ามีท่านคอยบริการอย่างไรเล่า วันนี้ข้าอยากจะเดินดูที่ชั้นหนึ่งสักหน่อย คงจะต้องรบกวนท่านแล้ว”
วันนี้เหยาซูสวมชุดกระโปรงฤดูร้อนเรียบๆ เกล้ามวยผมขึ้นและปักด้วยปิ่นปักผมอย่างเรียบง่าย ทำให้นางดูอ่อนเยาว์กว่าสตรีที่แต่งงานแล้วในวัยเดียวกัน
ผนวกกับอารมณ์นิ่งสงบ ใบหน้างดงาม วาจาแสนสุภาพอ่อนหวานของหญิงสาว เถ้าแก่จึงปรารถนาให้นางอยู่ต่ออีกสักพัก
เถ้าแก่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เกรงใจกันเกินไปแล้ว! ฮูหยินเองก็มาเยี่ยมเยียนร้านเล็ก ๆ ของพวกเราอยู่บ่อยครั้งทำให้ร้านเล็ก ๆ นี้สดใสขึ้นไม่ใช่น้อย จะกล่าวต้อนรับตอนนี้ก็เกรงว่าจะสายไป เชิญฮูหยินเลือกชมตามสบาย”
ร้านหนังสือทั่วไปในต้าเยี่ยนล้วนเป็นร้านหนังสือที่เรียบง่าย ส่วนมากจะขายตำราที่ใช้ในการสอบขุนนาง และแน่นอนว่าต้องมีสี่ตำราห้าคัมภีร์[3] และยังมีหนังสือสำหรับเด็กบางส่วน
บรรพบุรุษของตระกูลเหยาเป็นขุนนาง ในบ้านจึงมีหนังสือตำราต่าง ๆ อยู่ไม่น้อย อาจื้อเองก็นำมาศึกษาอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นหนังสือส่วนใหญ่ในร้านเหยาซูก็ล้วนเคยเห็นมาแล้ว
อย่างไรก็ตามที่เหยาซูพาเด็ก ๆ มาเยี่ยมเยียนร้านแห่งนี้ เป็นเพราะหนังสือตำราในร้านแห่งนี้มีหนังสืออ่านเล่นทั่วไปมากกว่าร้านอื่น ๆ จึงถือได้ว่าคุ้มค่าที่จะมาเยี่ยมชม
นอกจากนี้เถ้าแก่ของร้านยังมีความเอาใจใส่เป็นอย่างมาก ชั้นหนึ่งเปิดใช้สำหรับขายหนังสือและตำรา และบริเวณชั้นสองมีบริการโต๊ะสำหรับลูกค้าเพื่ออ่านหนังสือโดยเฉพาะ
เหยาซูดูหนังสือแต่ละหมวดตามชั้นหนังสือ สายตาเหลือบไปเห็นเถ้าแก่ที่คอยตามตนอยู่บริเวณข้าง ๆ หญิงสาวก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ “ท่านต้องเป็นคนที่รักและชื่นชอบในตำราเป็นอย่างมากแน่ มิเช่นนั้นในร้านคงไม่มีหนังสือที่น่าสนใจมากมายเพียงนี้”
เถ้าแก่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ปิดบังท่านแล้วกัน ตระกูลของข้าแทบจะนับว่าเป็นบัณทิตไม่ได้ และข้าไม่ใช่คนที่ตั้งใจจะสอบจอหงวน งานอดิเรกที่ข้าชื่นชอบเป็นอย่างมากคือการอ่านหนังสือ จึงทำกิจการร้านหนังสือ”
หญิงสาวหัวเราะแล้วพยักหน้า
เถ้าแก่ถามขึ้นอีก “ฮูหยินกำลังเลือกหาหนังสืออะไรหรือขอรับ”
เหยาซูกล่าวตอบเบา ๆ “ก็เพียงแค่หนังสืออ่านเล่นในยามเช้า พาเด็ก ๆ มาที่นี่ก็เลยลองมาเลือกชมดู”
เถ้าแก่ได้ยินเช่นนั้น จึงได้เพียงแต่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนหญิงสาว
ลูกค้ามาที่ร้านเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่แต่งกายเรียบร้อยแต่ไม่ได้พิถีพิถันมากนัก พวกเขาเพียงแค่ทักทายเถ้าแก่และขึ้นไปชั้นบนพร้อมหนังสือ
เหยาซูยืนอยู่ข้าง ๆ หญิงสาวอ่านกวีในมืออยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นแม้แต่ลูกค้าหนึ่งคนในร้านหนังสือ
เหยาซูค่อย ๆ เก็บหนังสือกลับเข้าชั้นวางหนังสือ แล้วหันมาพูดคุยกับเถ้าแก่
“หนังสือในร้านของท่านราคาก็ไม่ได้แพง เหตุใดพอมองดูแล้วกิจการดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก หากว่ากันตามหลักการแล้ว คนมาอ่านหนังสือเยอะเท่าไร ตอนกลับก็ควรจะมีหนังสือกลับไปเท่านั้น”
เถ้าแก่เพียงแค่รินชาให้เหยาซู เรียกเหยาชูให้นั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะ รอยยิ้มของเขามีความทุกข์ปนอยู่ “ฮูหยินดูออกหรือขอรับ ร้านเล็ก ๆ ของข้ามีคนมาอ่านหนังสือเยอะก็จริง แต่กลับมีคนซื้อน้อย การทำการค้าในปัจุบันนั้น ไม่ขาดทุนก็ดีแล้ว ถึงแม้ว่ากิจการจะคล่องตัวแต่ก็ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย”
คิ้วละเอียดอ่อนของเหยาซูย่นเล็กน้อยราวกับว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง หญิงสาวกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ “นี่มันหลักการอะไรกัน?”
เถ้าแก่นั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาวแล้วเริ่มบทสนทนา “ฮูหยิน ท่านมองว่าหนังสือของร้านเราไม่ได้มีราคาที่สูง นั่นเป็นเพราะว่าเป็นการเปรียบเทียบกับร้านหนังสือร้านอื่น แต่เมื่อมาเปรียบเทียบกับพวกสินค้าและบริการอื่น ๆ อย่างเช่นอาหาร เครื่องแต่งกาย ที่อยู่หรือการเดินทาง หนังสือก็ถือว่ามีราคาสูงเลยทีเดียว โดยเฉพาะคนธรรมดาที่รู้หนังสือนั้นมีไม่มากนัก แล้วคนที่มีการศึกษาเล่า บ้านของพวกเขาจะไม่สะสมหนังสือตำรากันหรือ ดังนั้นร้านหนังสือของพวกเราก็มีเพียงพวกบัณฑิตยากจนเท่านั้นที่จะมาเป็นลูกค้า”
เหยาซูพยักหน้า “สิ่งที่ท่านกล่าวออกมานั้นก็มีเหตุผล”
เถ้าแก่ยังกล่าวขึ้นอีกว่า “ร้านค้าอื่น ๆ ส่วนใหญ่ขายเป็นตำราและบทความที่จำเป็นสำหรับการสอบจอหงวน ซึ่งมีราคาสูง แต่ก็มีบัณฑิตบางคนยินดีที่จะจ่าย ไม่เหมือนกับร้านของพวกเราที่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มีแม้แต่ตำลึงที่จะมาซื้อหนังสือบันทึกการเดินทาง”
เหยาซูยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าว่าหนังสือตำนานปรัมปราของท่านนั้นดีมาก ๆ”
สมัยนี้ผู้คนยกย่องกวีนิพนธ์ ซึ่งตำนานปรัมปราในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะบัณทิตมองว่ามันหาสาระไม่ได้
เถ้าแก่เกาจมูกด้วยความเขินอาย “ฮูหยินได้โปรดอย่าหยอกล้อข้าเลย เป็นเพียงเพราะว่าข้าไม่ชอบอ่านตำรา จึงได้แต่เก็บสะสมหนังสืออ่านเล่นเช่นนี้เอาไว้”
เหยาซูที่ได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ข้าไม่ได้ดูถูกงานอดิเรกของท่าน ในฐานะที่เป็นมนุษย์ การที่รู้หนังสือหรือการเรียนรู้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการสอบจอหงวนเพียงอย่างเดียว ตำนานปรัมปราทำให้รู้สึกผ่อนคลาย บันทึกการเดินทางทำให้โลกทัศน์กว้างขึ้น บางครั้งคำพูดที่ชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดและเสนอแนวทางการแก้ไข ล้วนเป็นเนื้อหาที่ดี”
เมื่อเห็นหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ เถ้าแก่ก็สบายใจขึ้นมาไม่น้อย แล้วเขาเองก็รู้สึกเหมือนได้พบสหายสนิทของตน
เถ้าแก่ยิ้มอย่างร่าเริง “ประโยคนี้ของฮูหยินทำให้รู้สึกว่าร้านหนังสือของข้าคุ้มค่าแล้วที่ได้เปิดมันขึ้นมา”
เหยาซูขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับว่านางกำลังครุ่นคิดอยู่ หลังจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ท่านบอกว่ากิจการไม่ค่อยคล่องตัวนัก ท่านเคยคิดหาวิธีอื่นบ้างหรือไม่”
เถ้าแก่ตกตะลึงและส่ายหน้า “หนังสือเหล่านี้ข้าสะสมมาด้วยความยากลำบาก มันไม่ง่ายเลย ถ้าหากลดราคาลงก็คงจะขาดทุน”
เหยาซูรู้ว่าเถ้าแก่เข้าใจสิ่งที่นางสื่อความผิดไป หญิงสาวจึงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้จะให้ท่านลดราคา ข้าหมายถึงวิธีการหาเงินวิธีอื่น”
เมื่อเถ้าแก่เห็นเหยาซูกล่าวอย่างจริงจัง จึงเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้น “ฮูหยินมีความคิดอื่นที่ดีกว่านี้หรือขอรับ”
เหยาซูคิดสักพักก่อนที่จะกล่าวขึ้น “ลูกค้าของร้านท่าน ส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกขุนนางที่มีเงินหรือพวกขุนนางตระกูลเก่าแก่ แต่ลูกค้าเหล่านั้นแน่นอนว่าเป็นบัณฑิตที่อดสูแน่นอน หากต้องการให้พวกเขาซื้อหนังสือของท่านก็คงจะเป็นเรื่องยากเล็กน้อย แต่ถ้าใช้วิธีอื่นแล้วจะไม่ใช่เรื่องยากลำบากต่อพวกเขาอีกต่อไป ”
หัวใจเถ้าแก่พลันเต้นระรัว เขาได้รินชาให้กับเหยาซูแล้วเอ่ยขึ้น “รายละเอียดวิธีการเป็นเยี่ยงไรขอรับ”
เหยาซูค่อย ๆ ยื่นมือออกมาหยิบจอกชาแล้วเอ่ยขึ้น “ในร้านของท่านมีคนมาอ่านหนังสือเยอะมากทำไมท่านไม่คิดจะจัดชาหรือขนมให้พวกเขาบ้างเล่า?”
เถ้าแก่หัวเราะขึ้นพลางส่ายหน้าแล้วเอ่ยกับหญิงสาว “ลงทุนเปิดชั้นสองเพื่อให้ลูกค้ามาอ่านหนังสือแค่นี้ก็ขาดทุนแล้ว ถ้าหากเพิ่มชาและของว่างเข้าไป เกรงว่าไม่ถึงสองเดือนข้าต้องได้ปิดร้านแน่ ๆ”
เหยาซูเห็นว่าคำพูดคำจาของเถ้าแก่ช่างมีไหวพริบ นางก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ หญิงสาวส่ายหัวแล้วกล่าวขึ้น “ข้าเสนอให้มีน้ำชาและอาหารว่าง แต่ไม่ได้บอกว่าจะให้แจกจ่าย ชากาละสิบเหรียญ ของว่างจานละยี่สิบเหรียญ ทุกคนสามารถซื้อได้ หลังจากนั้นวันต่อ ๆ ไป อย่างน้อยก็จะมีลูกค้าเข้าร้านประมาณยี่สิบคนมาอ่านหนังสือ มาซื้อหนังสือและดื่มน้ำชา แบบนี้ก็คงไม่มากเกินไปใช่หรือไม่”
เถ้าแก่ตะลึงไปชั่วขณะ ภายในใจคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวได้กล่าวขึ้นต่อ “นอกจากนี้ ท่านยังสามารถหาวันเวลาจัดกิจกรรมบางอย่างในร้านได้ หาเวลาที่ลูกค้าที่มาดูหนังสือบ่อย ๆ ทำเป็นกวี หรือกลอนคู่อะไรประมาณนี้ ยังมีพวกตำนานปรัมปราเหล่านั้น ทำไมไม่จัดเป็นหมวดหรือไม่ก็ให้คนที่เคยอ่านจัดให้แล้วเขียนแสดงความคิดเห็น ถ้าหากว่าเรื่องไหนดีเป็นพิเศษก็ไม่ควรเก็บเอาไว้ เแม้แต่สตรีทั่วไปก็สามารถหยิบขึ้นมาอ่านได้”
คำพูดที่ดูเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนของเหยาซู กลับทำให้เถ้าแก่ใจเต้นแรงขึ้น
ยิ่งเขาใคร่ครวญมากเท่าไรก็เห็นถึงความเป็นไปได้มากเท่านั้น “หากทำตามคำที่ฮูหยินกล่าว ถ้ามีกิจกรรมในร้าน ลูกค้าก็ต้องเยอะขึ้นตามมา ถ้าไม่ได้ซื้อหนังสือ ก็ไปอ่านหนังสือที่ชั้นสอง ยังไงเสียชาและของว่างก็ต้องขายได้มากกว่า…”
หญิงสาวยิ้มแล้วเสนอขึ้น “ภายในบ้านของพวกขุนนางชั้นสูงน่าจะไม่มีหนังสือตำนานปรัมปราเล่มใหม่และน่าสนใจเหมือนกับร้านของท่าน ถ้าหากว่าผู้อ่านซื่อสัตย์จริงใจ ในทุก ๆ เดือนท่านส่งหนังสือเหล่านี้ให้พวกเขา ท่านก็จะได้รับรายรับที่เพียงพอ”
จู่ ๆ เถ้าแก่ก็เข้าใจว่าเหตุใดเหยาซูจึงขอให้ใครสักคนเขียนรายการหรือแสดงความคิดเห็นไว้
ในขณะที่เงยหน้าขึ้นมา เถ้าแก่ก็มองเหยาซูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป “ฮูหยินช่างมีความคิดสร้างสรรค์นัก คำพูดเหล่านี้ทำให้ข้าได้หยุดใคร่ครวญอยู่ขณะหนึ่ง ข้าเปิดร้านมานานกว่าสองปีไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวิธีการเช่นนี้ด้วย…”
เหยาซูเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทางยินดีอย่างไม่อาจปิดบัง หญิงสาวจึงยิ้มออกมา “ท่านช่างเอาใจใส่ลูกค้าและเป็นคนที่รักหนังสือ จึงจัดชั้นสองเป็นบริเวณให้ลูกค้าได้นั่งอ่านหนังสือ สำหรับคนที่รักการอ่านแล้ว หากลองเปิดรับวิธีทำการค้าใหม่ๆ ก็จะไม่เสียเงิน แค่ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเดียวก็จะแตกต่างไปจากเดิม”
เถ้าแก่ร้านหนังสือไตร่ตรองคำพูดของเหยาชูเป็นเวลานานและถอนหายใจพร้อมเอ่ยขึ้น “ฮูหยินมีความละเอียดถี่ถ้วนยิ่ง ข้าละอายใจยิ่งนัก”
เหยาซูไม่ได้รับไว้เป็นความดีความชอบ เพียงแค่กล่าวว่า “ท่านสามารถเอาวิธีที่ข้าเสนอไปทำได้ ถ้าหากได้ผล ก็จะเป็นจุดที่มีความสุขที่สุด”
ทั้งสองคนสนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากที่เด็กทั้งสองคนอ่านหนังสือเสร็จก็เดินลงมา เถ้าแก่จึงได้หยุดพูด
เถ้าแก่ได้ส่งทั้งสามคนที่หน้าประตู ไม่นานก็ได้เตรียมเรื่องที่ต้องจัดการต่อไป
เหยาซูพาอาซือและเถิงเอ๋อกลับบ้าน เห็นเด็กชอบอ่านหนังสือเช่นนี้ การที่นางร่วมมือกับเถ้าแก่ร้านหนังสือและลงทุนหุ้นบางส่วนเพื่อเปิดร้านหนังสือจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่นะ?
……………………………………………………………………………………………………….
[1] ลิ่งหลาง (令郎 ) คำสุภาพเรียกลูกชายคนอื่น
[2] ลิ่งเชียนจิน (令千金) คำสุภาพเรียกลูกสาวคนอื่น
[3] สี่ตำรา ห้าคัมภีร์ (四书五经 ) เป็นตำราพื้นฐานที่รวบรวมแนวคิดของปรัชญาขงจื้อ
สารจากผู้แปล
อาซูมีกิจการร้านหนังสือเพิ่มเข้ามาอีกแล้ว นี่ช่วงฟาร์มตังฟาร์มฐานะให้แข็งแกร่งอยู่สินะ
ไหหม่า(海馬)