บทที่ 385 ข้อดีของต้าหลาง

บทที่ 385 ข้อดีของต้าหลาง

เหยาซูพูดคุยเกี่ยวกับร้านอาหารกับเถ้าแก่อีกหนึ่งครั้ง ทั้งสองสนทนากันอย่างถูกคอ ช่างเป็นการร่วมมือกันที่มีความหมาย

เพียงแต่เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วัน ผ้าที่เก็บไว้ในคลังของร้านก็มีไม่เพียงพอ เหยาซูและพี่ใหญ่ต้องเตรียมตัวเดินทางลงใต้อีกครั้ง จึงต้องพักเรื่องของร้านหนังสือไว้ก่อน หลังจากกลับมาค่อยจัดการทีหลัง

พวกเด็ก ๆ รู้ว่าเหยาเฟิงและเหยาซูจะต้องเดินทางในอีกไม่กี่วัน แต่ละคนก็อยากจะติดตามไปด้วย

เป็นเหยาต้าหลางที่มีเหตุผลที่สุด “ข้าเคยเดินทางลงใต้กับท่านพ่อหนหนึ่ง ท่านพ่อก็รู้ดี ข้าไม่มีทางเพิ่มภาระให้กับท่านและท่านอาหรอกขอรับ”

เอ้อหลางเองก็ไม่ยอมแพ้ เอ่ยขึ้นตามมาติด ๆ “พี่ใหญ่เคยไปมาแล้วหนหนึ่ง เช่นนั้นครั้งนี้ต้องเป็นทีของข้า!”

อาจื้อและอาซือที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเช่นนั้น จึงสบตากัน ต่างก็มองเห็นแววตาแห่งความหวัง

ในแต่ละวันเด็ก ๆ มีเนื้อหาที่ต้องร่ำเรียนไม่ใช่น้อย ไม่สามารถเดินทางไปทางใต้ได้ แต่อาซือกลับเริ่มต่อสู้เพื่อตนเอง “ถ้าพาพี่ ๆ ไป ข้าเองก็อยากไป…ข้าจะไม่เกะกะและจะไม่เถลไถลเจ้าค่ะ”

ทันใดนั้นเหยาเอ้อหลางก็ดีดตัวลุกขึ้นส่ายหัวยกใหญ่ “อาซือนี่เจ้า? เจ้าไม่ต้องไปหรอก เป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ก็ต้องอยู่บ้าน ออกไปข้างนอกไม่กลัวแดดเผาหรือไร…”

อาซือขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมา จึงหันไปเถียงกับเอ้อหลาง “พี่รอง ท่านมายุ่งอะไรกับข้า? เป็นเด็กผู้หญิงแล้วมันอย่างไร ท่านป้าเซวียเองก็ขึ้นเหนือลงใต้เพื่อไปค้าขาย ท่านเห็นท่านป้าดำหรือไม่เล่า?”

เหยาเอ้อหลางเห็นน้องสาวของเขาอารมณ์ไม่ดีนัก และตนเองก็รู้ว่าคำพูดของตนว่าไม่ดีเท่าไร จึงทำหน้าเหยเก ทำได้เพียงแต่จ้องมองท่านลุงและท่านอาของตนเพื่อรอให้พวกเขาตัดสินใจ

เหยาเฟิงมองดูเด็ก ๆ ที่ถกเถียงกันจนเกือบจะลงไม้ลงมือกัน ดังนั้นเขาจึงยกมือห้าม “พวกข้าไปหาสินค้าเพื่อเติมเข้าคลัง ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ไม่อนุญาตให้ใครไปทั้งนั้น”

ดวงตาของเหยาต้าหลางที่เป็นประกายถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังทันใด เอ้อหลางส่งเสียงอุทานขึ้น ส่วนอาซือได้แต้ก้มหน้าไม่กล้าจะกล่าวอะไรออกมา

เหยาซูเห็นเด็กแต่ละคนเศร้าเสียใจก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ได้ยินที่ผู้ใหญ่บอกหรือไม่ ไปทางใต้เพื่อหาสินค้า ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ในแต่ละวันการกินอยู่ไม่ได้สะดวกสบาย มันไม่ได้ดูน่าสนุกอย่างที่พวกเจ้าคิด”

ตรงข้ามกับอาจื้อที่ไปไม่ได้แน่นอนตั้งแต่แรก เด็กชายกลับดูมีความสุขมากกว่าทุกคน

เด็กชายกล่าวปลอบน้องสาวของเขา “เจ้าอย่าได้ผิดหวังไปเลยอาซือ รอให้เจ้าโตขึ้นมากกว่านี้ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวเพื่อแสวงหาความรู้”

“อื้ม” อาซือตอบกลับหนึ่งคำ

เหยาเอ้อหลางที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยขึ้น “ข้าเองก็อยากไปเที่ยวเพื่อแสวงหาความรู้…วันข้างหน้าข้าจะไปในที่ที่ข้าอยากจะไป ไม่เหมือนตอนนี้หรอก”

เมื่อเหยาต้าหลางเห็นเช่นนี้ เด็กชายก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและมองดูพ่อของตนอย่างกระตือรือร้น ราวกับจะถามว่าถ้าน้อง ๆ ของเขาไม่ไป ตนจะไปได้ไหม?

ที่จริงแล้วเหยาเฟิงกำลังปรึกษาแผนการเดินทางกับเหยาซู แต่กลับถูกพวกเด็ก ๆ เข้ามาวุ่นวาย ชายหนุ่มเองก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก

เหยาเฟิงเอ่ยขึ้นกับเด็ก ๆ “ข้าบอกว่าหนึ่งคนก็จะไม่พาไปด้วย และไม่อนุญาตให้ผู้ใดไปทั้งนั้น เจ้าพาน้อง ๆ ออกไปเล่นเถอะ ข้ากับท่านอาของเจ้ายังมีเรื่องให้พูดคุยกันอีกมากมาย”

เหยาต้าหลางที่เชื่อฟังคำพูดของพ่อแม่ที่สุด เมื่อเด็กชายได้ยินเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก และพาน้อง ๆ ออกไปวิ่งเล่นอย่างเชื่อฟัง

ในที่สุดภายในห้องก็ได้เงียบสงบลง เหยาเฟิงถอนหายใจและตบหน้าอกด้วยความสบายใจ “ในที่สุดก็หยุดสักที ในบ้านมีเด็ก ๆ เพียงไม่กี่คน ทำไมถึงเอะอะโวยวายได้ถึงเพียงนี้”

เหยาเฟิงและเหยาเฉามีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยปกติพวกเขาเป็นคนรอบคอบและเข้มงวดที่สุด ไม่ค่อยแสดงกิริยาเช่นนี้ ซึ่งทำให้เหยาซูรู้สึกสับสนขีดจำกัดของสองพี่น้องไปชั่วขณะหนึ่ง

หญิงสาวขมวดคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ก็เสียงดังเช่นนี้มาตลอด วันนี้พี่ใหญ่เพิ่งรู้ว่าเด็ก ๆ เอะอะโวยวายกันหรือไร ต้าหลางและเอ้อหลางทำให้คนปวดหัวมากพอแรงแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองก็พบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาตลอด ตอนนี้เพิ่มอาจื้อและอาซือมาอีกสองคน ก็มีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมา”

เหยาเฟิงเป็นคนที่เข้มงวดที่สุดในบ้าน และชายหนุ่มเองก็ไม่ชอบพูดหยอกล้อกับเด็ก ๆ ดังเช่นเหยาเฉา แม้แต่พ่อเฒ่าเหยาเองก็ไม่ได้เคร่งขรึมต่อหน้าเด็ก ๆ เท่าใดนัก

ดังนั้นเด็ก ๆ ในบ้านจึงไม่เคยสร้างปัญหาต่อหน้าเหยาเฟิง แม้แต่เหยาเอ้อหลางก็ยังต้องยับยั้งอารมณ์ของตนเอาไว้อย่างเชื่อฟังเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านลุงของเขา

เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ที่เด็ก ๆ ทะเลาะกัน ชายหนุ่มจึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยนัก

นึกย้อนไปเมื่อตอนอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเหยา ในหมู่บ้านนาน ๆ ทีจะมีคนมาฟ้อง เหยาเฟิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “การเลี้ยงลูกให้เติบโตไปด้วยดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ข้าเคยคิดว่าต้าหลางเป็นคนสุขุม แต่พอมาเห็นวันนี้กลับรู้สึกว่าเป็นอาจื้อที่รู้ความมากกว่า”

เมื่อเห็นพี่ชายพูดเช่นนั้น เหยาซูก็หัวเราะจนตัวงอ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าชมเขามากเกินไป วันนี้อาจื้อไม่ได้พูดอะไรเพราะว่าตัวเองรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถไปไหนได้ เลยไม่ได้ต่อต้านอะไร ถ้าเป็นเรื่องอื่น อาจื้อก็คงจะสู้ไม่ถอยเช่นกัน”

เหยาเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา

ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ๆ จะดีมาก แต่ก็มีเรื่องขัดแย้งกันไม่หยุดหย่อน เช่นนี้เป็นเรื่องปกติ เหยาเฟิงเองก็รู้ดี

ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่เห็นวันนี้ ลักษณะนิสัยของอาจื้อไม่เหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน เมื่อคิดถึงการศึกษาของเซี่ยเชียนและตระกูลไป๋ ก็ไม่มีอะไรจะพูดจริง ๆ

เหยาเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยถึงอนาคตของเด็ก ๆ กับน้องสาวของตน “ตอนนี้เด็ก ๆ ทั้งสามก็โตแล้ว แต่ละคนก็ควรมีเส้นทางเป็นของตัวเอง อาจื้อเข้าศึกษาในสำนักบัณฑิตกว๋อจื่อเจี้ยน วันข้างหน้าก็จะสอบจอหงวนและเข้าทำงานในราชสำนัก ครอบครัวต่างมีความสุข แต่เอ้อหลางเป็นคนที่อยู่ไม่สุข ใจของเขาอยู่แต่สนามรบ หวังอยากจะเป็นแม่ทัพ ในวันข้างหน้าอาจจะต้องร้องขออาจารย์สักท่านให้เขาคอยติดตาม กลับกันในตอนนี้ ต้าหลางที่ไม่ศึกษาตำรา การค้าเองก็ไม่คิดจะเรียนรู้ ถ้าหากเจ้าถามต้าหลางว่าชอบอะไร เกรงว่าเขาก็คงจะตอบไม่ได้เช่นกัน”

เหยาซูเห็นพี่ชายของตนกังวลเกี่ยวกับลูกชายจึงปลอบโยนอย่างนุ่มนวล “พี่ใหญ่อย่าได้เป็นกังวลไป ต้าหลางเป็นคนที่มีความคิดหนักแน่นมากกว่าบรรดาพี่น้องของเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ข้าเห็นว่าเด็กคนนี้กำลังทำให้ครอบครัวพอใจ”

เหยาเฟิงมีสีหน้าที่ประหลาดใจ “อาซู เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

เหยาซูเห็นพี่ชายกำลังครุ่นคิดกับคำถามนี้อยู่ จึงกล่าวแนะนำขึ้น “พี่ใหญ่ลองคิดดู ตั้งแต่เล็กจนโตต้าหลางเดินตามเส้นทางที่พี่วางไว้ให้เสมอมา ท่านสอนเขาอ่านหนังสือเขียนอักษร ต้าหลางก็เรียนรู้อย่างตั้งใจ ท่านไม่ชอบรับราชการ และชอบการค้าขาย เขาเองก็คอยติดตามท่านลงทางใต้เพื่อไปค้าขาย เด็กคนนี้มีเป้าหมาย ก็คือทำให้ท่านมีความสุข”

เหยาเฟิงที่ได้ยินเช่นนี้ ความรู้สึกที่มึนงงก็ถูกทำให้กระจ่างขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มเองเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจภายในบ้าน และเขาเองก็เลี้ยงดูลูกมาตลอดหลายปี กลับยังไม่สามารถมองได้กระจ่างแจ้งเฉกเช่นน้องสาวของตน

เขาขมวดคิ้วขึ้นอย่างช้า ๆ

เหยาเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ได้กล่าวขึ้น “มันเป็นเรื่องยากทีเดียว ตั้งแต่เด็กต้าหลางเชื่อฟังคำพูดมากกว่าเอ้อหลาง ที่บ้านจึงเป็นห่วงเอ้อหลางมาโดยตลอด พอมามองตอนนี้แล้ว ปัญหาใหญ่กลับอยู่ที่ต้าหลาง”

เหยาซูที่เห็นเหยาเฟิงกำลังเผชิญกับปัญหาที่ยากลำบากเป็นพิเศษ หญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอย่างไร จึงทำได้เพียงคอยปลอบจากข้าง ๆ “เหตุใดพี่ใหญ่จึงคิดเช่นนี้ ต้าหลางเป็นหลานชายของตระกูลเหยา วันข้างหน้าเขาจะเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว ไม่ว่าวันข้างหน้ากิจการของครอบครัวจะดีหรือร้าย ท่านต้องค่อย ๆ สอนเขาทีละเล็กทีละน้อยในการรับช่วงต่อ แน่นอนว่าต้าหลางไม่มีทางที่จะปฏิเสธภาระหน้าที่ เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องดี”

เหยาเฟิงยิ้งและส่ายหัว “ในฐานะของคนเป็นพ่อแม่ ข้าอยากให้ลูก ๆ เลือกในสิ่งที่เขาอยากจะทำ ข้าคิดเช่นนี้”

“อื้ม” เหยาซูตอบเบา ๆ และถามขึ้นว่า “ท่านพี่รู้ได้อย่างไรว่าใจจริงของต้าหลางจะไม่แบกรับหน้าที่ของหลักของตระกูล นอกจากนี้ในวันข้างหน้า ไม่ว่าเขาจะมีน้องสาวหรือน้องชายเพิ่ม ข้าก็เห็นว่าเขาดูมีความสุขนะเจ้าคะ”

เหยาเฟิงหัวเราะครู่หนึ่ง เวลานั้นชายหนุ่มรู้สึกว่าน้องสาวของตนพูดได้ดีเลยทีเดียว

เหยาซูเห็นการแสดงออกของชายหนุ่มที่ไม่ได้ดูเป็นกังวลนัก หญิงสาวจึงเพียงแค่ยิ้มออกมา “เอาละ เรื่องของเด็ก ๆ พวกเราค่อยพูดกันระหว่างทางไปใต้ก็ได้ ตอนนี้เวลาก็ใกล้เข้ามาถึงแล้ว เราต้องหาคนรถ วัน และเส้นทางให้ได้เสียก่อน”

เหยาเฟิงยิ้มสดใส แล้วลูบศีรษะน้องสาวของตนอย่างเบามือ “น้องเล็กนี่นะ ข้าและพี่รองของเจ้าต่างก็มองว่าเจ้าคือเด็กน้อยมาตลอด ดูวันนี้สิเจ้ากลับเป็นคนที่ชำนาญที่สุดเสียแล้ว”

เหยาซูขบเม้มริมฝีปาก ดวงตาดอกท้อเปล่งประกาย หญิงสาวเพียงแต่ยิ้มแล้วไม่กล่าวอะไรออกมา

ทั้งสองคนกำหนดแผนการ เหยาเฟิงยังให้คนใช้ภายในบ้านจัดซื้ออาหารและสิ่งของที่จำเป็นระหว่างการเดินทาง จัดหาคนบังคับรถและวันที่จะเดินทาง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

……………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ขอให้ต้าหลางได้รู้ตัวเองเร็ว ๆ นะคะว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร

ไหหม่า(海馬)