บทที่ 386 การสนับสนุนของเหยาเฉา
บทที่ 386 การสนับสนุนของเหยาเฉา
หลังจากที่เหยาซูและพี่ใหญ่เดินทางลงใต้ได้สองวัน ก็มีข่าวจากซีเป่ยส่งมายังเมืองหลวง บอกว่าทางชายแดนได้รับชัยชนะ
ภายในราชสำนักต่างปลื้มปีติ ส่วนฝ่ายที่ต่อต้านสงครามมากที่สุดครั้นได้รับข่าวดีจากชายแดนต่างก็พากันยินดีมากเช่นกัน คงไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพที่เรียกร้องอย่างหนักแน่นเพื่อบ้านเมือง
เวลานั้น แม้แต่องค์จักรพรรดิที่มักจะได้รับแรงกดดันจากการออกว่าราชการเองก็ยังมีรอยยิ้มประดับบนพระพักตร์เป็นเวลาหลายวัน
เมื่อได้เห็นองค์จักรพรรดิทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก จิตใจของเหล่าบรรดาขุนนางก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“ทูลฝ่าบาท” ขุนนางจากฝ่ายพิธีการท่านหนึ่งยืนขึ้น และเอ่ยแสดงความยินดี “โหรหลวงได้ดูดวงดาวของคืนวันวานแล้ว พบว่าดาวเจิ่นซู่ที่เป็นหนึ่งในเจ็ดดวงดาวหลักในกลุ่มดาวจูเชว่[1] ได้ส่องสว่างเป็นพิเศษ เป็นลางบอกเหตุแห่งความเจริญรุ่งเรืองของวังหลัง และเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของทางซีเป่ยอีกด้วย พระองค์ควรปฏิบัติตามเจตจำนงอันเป็นมงคลและศักดิ์สิทธิ์ของดาวเจิ่นซู่โดยการเติมเติมวังหลังและตอบกลับบรรพชนด้วยพะยะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงเพิกเฉยประโยคท้ายสุด เพียงแต่ฟังข่าวที่เป็นมงคลเช่นนี้ พระองค์ก็ทรงแย้มยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ประกอบกับขุนนางฝ่ายพิธีการมีลักษณะหน้าตาดี เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรมาก็ทำให้รู้สึกเจริญตาเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิแย้มสรวลออกมา “สิ่งที่ท่านกล่าวมานับว่าเป็นจริง ข้าเองก็รู้สึกเช่นกัน ถึงเวลาที่จะต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บอกข่าวดีกับพวกเขา”
เมื่อขุนนางจากฝ่ายพิธีการเห็นว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้พระราชทานราชโองการ ก็อดที่จะลังเลไม่ได้
แต่กลับเห็นพระองค์วางพระพาหาไว้บนบันลังก์มังกรแล้วกล่าวขึ้น “ดาวเจิ่นซู่ส่องสว่างแล้ว ข้าต้องจัดการเรื่องวังหลังให้แล้วเสร็จก่อน มิเช่นนั้นสวรรค์จะไม่ประทานสัญญาณเช่นนี้ให้อีก ข้ามองดูแล้วว่าตรงกันข้ามกับราชวงศ์ก่อน กำลังคนของแต่ละฝ่ายค่อนข้างสมบูรณ์…ตอนนี้มีเพียงแค่ศาลต้าหลี่เท่านั้นที่ขาดคนไปหนึ่งคน”
ได้ยินเช่นนั้นเหล่าขุนนางพลันเงยหน้าขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อรอให้องค์จักรพรรดิพระราชทานราชโองการ
ในแผ่นดินต้าเยี่ยน ศาลต้าหลี่มีสถานะสูง คดีความสำคัญต่าง ๆ จะมีสามฝ่ายที่เข้าร่วมพิจารณาคดี นั่นก็คือ ศาลต้าหลี่ ฝ่ายราชทัณฑ์ ฝ่ายตรวจการ แต่แท้จริงแล้วอำนาจของศาลต้าหลี่นั้นมีมากกว่าสองฝ่ายที่เหลือเป็นอย่างมาก
ในปัจจุบันเสนาบดีของศาลต้าหลี่อายุมากแล้ว แทบไม่ได้มาจัดการเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง การจัดการในเรื่องต่าง ๆ ล้วนมีรองเสนาบดีหนุ่มสองท่านมาคอยจัดการ แต่เนื่องจากตอนต้นปีรองเสนาบดีหนุ่มคนหนึ่งได้ลาออกไป ตอนนี้ศาลต้าหลี่จึงขาดคนไปหนึ่งคน
สุรเสียงขององค์จักรพรรดิดังมาจากทางขั้นบันไดหยก “ท่านอื่น ๆ มีข้อเสนอแนะหรือไม่”
ท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง มีเพียงกระถางธูปทองสัมฤทธิ์ทรงสูงที่อยู่ใต้บันไดหยกที่ค่อย ๆ มีควันลอยขึ้นมา ซึ่งทำให้ห้องโถงด้านหน้าทั้งหมดดูคลุมเครือ องค์จักรพรรดิที่ประทับอยู่บนบันลังก์มังกรก็ดูห่างออกไปเรื่อย ๆ
โดยปกติในเวลานี้ ขุนนางต่าง ๆ มักจะรอให้มีใครสักคนเสนอขึ้นมา ก่อนจะค่อย ๆ เอาคนที่ตนเห็นถึงความสำคัญกล่าวไว้ในประโยคสนทนาอย่างแนบเนียน ทำให้ยากต่อการสังเกต
การที่จะแนะนำผู้ที่เหมาะสมแก่ราชสำนัก เป็นหน้าที่รับผิดชอบของฝ่ายข้าราชการ ขุนนางจากฝ่ายข้าราชการคนหนึ่งได้ทูลขึ้น “ทูลฝ่าบาท ในบรรดาผู้ที่สอบจอหงวนได้ในปีนี้มีผู้ที่แข็งแกร่งซื่อตรงแล้วไม่ประจบสอพลอสอบเข้ามายังศาลต้าหลี่ได้ กระหม่อมคิดว่า ตอนนี้ขาดเสนาบดีไปหนึ่งตำแหน่ง น่าจะเลื่อนตำแหน่งผู้ช่วยขุนนางหนึ่งคนขึ้นไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบนี้ช่างน่าพึงพอใจ เพิ่มสมาชิกใหม่ในศาลต้าหลี่ ผู้ช่วยขุนนางในศาลก็จะได้ขยับขั้นอีกหนึ่งก้าว เลือกคนที่ไม่เคยทำผิดพลาดขึ้นมา ปกติก็จะใช้วิธีเช่นนี้มาโดยตลอด
เพียงแต่องค์จักรพรรดิยังขมวดพระขนงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่พอพระทัยในคำตอบ พระองค์หันไปกล่าวกับอีกทาง “ทุกท่านจะเสนอใครไหม?”
ขุนนางต่าง ๆ ก็เริ่มพูดคุยกันอย่างช้า ๆ ก่อนจะทยอยแนะนำใครบางคนขึ้นมา แม้แต่เหมิงฉิงผู้ซึ่งไม่ค่อยมีบทบาทก็ยังเสนอชื่อขึ้นมาสองคน
ขุนนางจากฝ่ายข้าราชการก็ได้ทูลชี้แจงต่อองค์จักรพรรดิ “ทูลฝ่าบาท หั่นฉีและจางม่อที่ท่านอ๋องน้อยเสนอขึ้นมา ต่างก็มีคุณสมบัติคู่ควรที่จะได้รับตำแหน่งเสนาบดีแห่งศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่” องค์จักรพรรดิกล่าวขึ้น และถามว่า “ตอนนี้หันฉีและจางม่อ ทั้งคู่มีตำแหน่งอะไร?”
ขุนนางจากฝ่ายข้าราชการทูลตอบ “หันฉีอยู่ฝ่ายพิธีการ และจางม่ออยู่ฝ่ายกลาโหม พ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงไม่อนุมัติ และขุนนางจากฝ่ายข้าราชการท่านนั้นก็ถอยกลับอย่างอับอาย
เหมิงฉิงมีเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์และยังเป็นพระนัดดาที่องค์จักรพรรดิทรงโปรดปราน แม้เขาจะไม่พอใจกับขุนนางสองคนนี้ แต่ก็ไม่ได้หักหน้าเหมิงฉิงต่อหน้าเหล่าขุนนาง
องค์จักรพรรดิทรงตรัสขึ้น “ถ้าหากว่าเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ก็เหมาะสมกับฝ่ายราชทัณฑ์ ข้าเชื่อใจคนที่เหมิงฉิงแนะนำได้ ตามตำแหน่งดั้งเดิมเขาได้รับการเลื่อนยศเป็นครึ่งหนึ่งและย้ายไปฝ่ายราชทัณฑ์”
ตามรับสั่งของจักรพรรดิ ตำแหน่งของสองคนนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลง แต่ตำแหน่งของเสนาบดีของศาลต้าหลี่ยังคงไม่ชัดเจน
ทันในนั้นพระองค์ก็ทรงตรัสถามขึ้น “ผู้ช่วยขุนนางของศาลต้าหลี่ เต็มแล้วหรือไม่?”
ขุนนางฝ่ายข้าราชการรีบทูลขึ้น “เต็มแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตำแหน่งผู้ช่วยขุนนาง มีใต้เท้าทั้งหมดหกท่านพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นองค์จักรพรรดิกำลังไตร่ตรอง เขาจึงอธิบายอัตลักษณ์และภูมิหลังของใต้เท้าทั้งหกโดยละเอียดตามความเห็นของตนเอง
พระองค์ไม่ได้แย้งอะไรขึ้นมา รอให้เขาทูลจบ พระองค์ก็ทรงพยักหน้า
ขุนนางฝ่ายข้าราชการท่านนี้ไม่ค่อยได้มีโอกาสกล่าวทูลต่อองค์จักรพรรดิเท่าใดนัก วันนี้ได้มีโอกาสหลังจากที่เขากล่าวทูลเสร็จ ใจของเขาก็เต้นแรงเป็นอย่างมากและตามมือก็มีเหงื่อไหลออกมา
ท้องพระโรงที่สูงตระหง่านทำให้เหล่าขุนนางวัยเยาว์รู้สึกกดดัน แต่ขุนนางที่เคยเข้าร่ามการว่าราชการมาเป็นเวลาหลายปีต่างก็คุ้นเคยกับบรรยากาศเคร่งขรึมกดดันนี้ แต่บรรดาขุนนางวัยเยาว์ยังค่อนข้างประหม่าอยู่บ้าง
องค์จักรพรรดิที่ประทับอยู่บนบันไดหยก ดูเหมือนพระองค์จะพิจารณาเรื่องราวของขุนนางทั้งหกคนนี้อยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากปลายอีกด้านของกลุ่มควันที่ลอยตัวขึ้นจากกระถางธูป “เสนอจางจางเป็นรองเสนาบดีของศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางเก่าที่อยู่ในศาลมาหลายปีรู้ดีว่าตระกูลจางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบัณทิตที่ยากจน องค์จักรพรรดิไม่ได้เลือกขุนนางผู้ที่มีประสบการณ์ที่สุด แต่ถ้าหากให้จางจางที่อายุน้อยรับตำแหน่งรองเสนาบดี จะทำให้ขุนนางท่านอื่นไม่พอใจได้
โชคดีที่จางจางเป็นลูกชายของตระกูลขุนนางเก่าแก่ ดังนั้นจึงไม่มีเสียงคัดค้านในท้องพระโรงมากนัก
เพียงแต่ประโยคต่อไปของพระองค์ กลับเป็นการกระตุกหนวดเสือ “ตำแหน่งเสนาบดีในศาลขาดไป ให้ราชองครักษ์เหยาเฉาขึ้นไปแทน”
เหล่าขุนนางต่างก็มองหน้ากันอย่างตกตะลึง และเกิดความโกลาหลขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
ตำแหน่งที่ขาดไปในศาลต้าหลี่ เป็นตำแหน่งที่มีรายได้สูง ต่างก็เป็นตำแหน่งที่ลูกหลานของขุนนางตระกูลเก่าแก่หมายปอง แล้วเหล่าขุนนางที่ยากจนจะมีโอกาสได้อย่างไร
ขุนนางจากฝ่ายข้าราชการขมวดคิ้ว แล้วโบกมือเพื่อเป็นสัญญาณให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก้าวออกไปข้างหน้า
ขุนนางฝ่ายข้าราชการผู้นั้นไม่มีทางเลือกจึงก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วทูลว่า “ทูลฝ่าบาท ตำแหน่งในศาลต้าหลี่นั้นแตกต่างจากฝ่ายอื่น ๆ ตามกฎมนเทียรบาลแล้ว ต้องผ่านการทดสอบต่าง ๆ ก่อนถึงจะสามารถเข้ารับตำแหน่งได้…”
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว “หันฉีและจางม่อยังถูกเสนอให้ขึ้นมาได้ เหตุใดเหยาเฉาจึงไม่ได้? ข้าเห็นว่าใต้เท้าเหยาเป็นคนที่เคร่งขรึม ละเอียดรอบคอบเอาใจใส่ จึงมีคุณสมบัติเพียงพอ”
ขุนนางฝ่ายข้าราชการนิ่งไปครู่หนึ่ง ภายในปากเต็มไปด้วยความขมขื่น
หันฉีและจางม่อเป็นบุตรชายของขุนนางตระกูลเก่าแก่ และอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขามีความเกี่ยวพันกัน และพวกเขาทั้งคู่เป็นคนที่ท่านอ๋องน้อยเสนอขึ้น
นับประสาอะไรกับเหยาเฉา
เขาเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มใส่ชุดขาว เพราะโชคช่วย เขาจึงประสบความสำเร็จในการปราบปรามโจรภูเขา ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสเข้ามาในเมืองหลวง
บุคคลดังกล่าวสามารถดำรงตำแหน่งเสนาบดีของศาลต้าหลี่ได้อย่างไร?
ทุกคนได้แต่คิดในใจ หากแต่ไม่มีผู้กล้าพูดออกมาตรง ๆ เพื่อรักษาพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิ จึงต้องใช้คำพูดให้ไพเราะรื่นหู
ขุนนางฝ่ายข้าราชการทูลกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท ใต้เท้าเหยาเพิ่งเข้ามาในราชสำนักได้ไม่นาน เกรงว่างานในศาลต้าหลี่จะยากเกินไปสำหรับเขา อีกทั้งตำแหน่งราชองครักษ์ก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญ ต้องรักษาความปลอดภัยให้กับฝ่าบาท จะให้ย้ายไปย้ายมาได้อย่างไร กระหม่อม…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็ถูกจักรพรรดิขัดจังหวะ “ท่านกำลังเตือนข้าว่า ถ้าเหยาเฉาย้ายไปแล้ว จะไม่มีใครอารักขาข้าหรือ”
ขุนนางทั้งหมดยังไม่ทันจะถอนหายใจด้วยความสบายใจ จักรพรรดิก็ตรัสขึ้น “ความตั้งใจของข้าคือ ให้เหยาเฉาเป็นเสนาบดีของศาลต้าหลี่ แล้วเติมตำแหน่งที่ว่างด้วยจางจาง ให้จางจางเป็นรองเสนาบดีของต้าหลี่ ส่วนตำแหน่งราชองครักษ์ให้เซี่ยเชียนหามาเพิ่มให้ข้าเสีย”
เช่นนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงออกพระราชโองการ และไม่ปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางอีกต่อไป
เหล่าขุนนางที่มีข้อเสนออื่น ๆ ต่างก็ไม่กล้าที่จะเสนอออกมา เพราะจะเป็นการไม่เคารพต่อพระราชโองการ
เซี่ยเชียนก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อรับคำสั่ง ก่อนที่หลินเหราและเหยาเฉาจะเข้ามาในเมืองหลวง ราชองครักษ์ทั้งหมดต่างก็อยู่ภายใต้การจัดการของเซี่ยเชียน
เช่นนี้จึงทำให้ขุนนางทั้งหมดไม่พอใจ ศาลต้าหลี่เป็นสถานที่ที่ดี เช่นนั้นแล้วจะปล่อยให้เหยาเฉาที่เป็นที่รู้จักกันน้อยนิดขึ้นเป็นผู้นำอย่างนั้นหรือ?
………………………………………………………………………………………
[1] จูเชว่ (朱雀) หงส์แดง หนึ่งในสัตว์วิเศษของจีน
สารจากผู้แปล
จักรพรรดิพระราชทานตำแหน่งให้เองเลย งานหนักหน่อยนะพี่เฉา
ไหหม่า(海馬)