บทที่ 387 เขาก็นับได้ว่าเป็นคนในครอบครัวพี่รองหรือ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 387 เขาก็นับได้ว่าเป็นคนในครอบครัวพี่รองหรือ?

บทที่ 387 เขาก็นับได้ว่าเป็นคนในครอบครัวพี่รองหรือ?

หลังจากว่าราชการแล้วเสร็จ ราชโองการก็ได้ถูกส่งถึงจวนตระกูลเหยา องค์จักรพรรดิให้เหยาเฉาพักผ่อนที่บ้านสักสองวัน แล้วให้เข้ามารับตำแหน่งโดยเร็วที่สุด

ทุกคนในบ้านต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับพระราชโองการที่มาอย่างกะทันหัน ตรงกันข้ามกับเหยาเฉาที่รับราชโองการเอาไว้อย่างมั่นคง

หลังจากที่ขันทีตัวน้อยส่งราชโองการเสร็จ เหยาเฉาก็เหลือบมองท่าทางของคนในบ้าน ใบหน้าขาวนวลดุจหยกพลันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป? ทุกคนตกตะลึงสิ่งใดกัน?”

ตอนนี้เสี่ยวเว่ยสนิทสนมกับผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลเหยาแล้ว และนับพวกท่านเป็นญาติบุญธรรม ตั้งแต่นั้นเด็กหนุ่มก็อาศัยที่บ้านตระกูลเหยามาโดยตลอด

เสี่ยวเว่ยไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่พระราชโองการมาถึงเมื่อครู่ แต่พอได้รับข่าวก็รีบมาที่ห้องโถงด้านหน้าทันที

เด็กหนุ่มกล่าวขึ้น “พี่รองเป็นคนที่มีความสามารถ….เสนาบดีของศาลต้าหลี่ เป็นขุนนางระดับไหนกัน?”

เหยาเฉาหัวเราะ ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่ขุนนางที่ใหญ่โตอะไรหรอก เพียงแต่ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเพียงเท่านั้น”

ภายในใจของเสี่ยวเว่ยกำลังครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ‘เสนาบดีแห่งศาลต้าหลี่’ คงจะเป็นคำแหน่งที่สูงจนไม่อาจจะเอื้อมถึง

ตำแหน่งเสนาบดีแห่งศาลต้าหลี่ในราชวงศ์ต้าเยี่ยนเป็นตำแหน่งขุนนางระดับหก เพียงแต่ผลงานการว่าราชการเขาเองยังไม่มีคุณสมบัติที่เพียงพอ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังนับว่าเป็นความสำเร็จที่ไม่คาดว่าจะได้รับ

แม้เหยาเฉาที่อายุยังไม่มากจะได้เลื่อนขั้นเป็นถึงขุนนางระดับหก ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มชุดขาวที่ไม่เคยสอบจอหงวน แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นตำนานแห่งราชวงศ์ต้าเยี่ยนไปเสียแล้ว

เมื่อเหยาเอ้อหลางได้ยินว่าพ่อของตนได้รับตำแหน่งใหม่ เด็กชายก็รู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก จึงได้เอ่ยถามต้าหลางที่อยู่ข้าง ๆ “ท่านลุงเคยบอกไว้ไม่ใช่หรือ ต้องสอบจอหงวนก่อนถึงจะได้เป็นขุนนาง?”

เหยาต้าหลางส่ายหัว “ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ต้องเป็นบันฑิตก่อนแล้วเข้าสู่สำนักในฮั่นหลิน ค่อย ๆ เลื่อนขั้นทีละนิด…”

ขณะที่เด็กชายสองคนกำลังถกเถียงกัน สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาได้พาอาซือออกไปที่ร้านขายผ้าตั้งแต่เช้าตรู่ ในบ้านจึงดูเหมือนว่าจะมีผู้ใหญ่แค่สองผู้เฒ่าแห่งตระกูลเหยา

พ่อเฒ่าเหยาเอ่ยกล่าวกับลูกชาย “อาเฉา ในเมื่อองค์จักรพรรดิไว้วางพระทัยและพระราชทานตำแหน่งนี้ให้เจ้า เช่นนั้นแล้วต้องตั้งใจทำให้ดี ระหว่างอยู่ที่บ้านไม่กี่วันนี้ ก็ลองไตร่ตรองดูว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมและมีความสุข”

เหยาเฉาตอบรับคำของผู้เป็นบิดาด้วยความเคารพ ก่อนจะเหลือบไปเห็นหน้าของแม่เฒ่าเหยาที่ยิ้มแย้มด้วยความปีติยินดี ก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้

แม่เฒ่าเหยาเอ่ยขึ้น “วันนี้ช่างเป็นวันที่ดี เหตุใดไม่เชิญมิตรสหายมาพบปะครื้นเครงที่บ้านในตอนเย็นเล่า เป็นการเลี้ยงฉลองแสดงความยินดีให้กับอาเฉา”

พ่อเฒ่าเหยาจ้องตาเขม็ง “เพิ่งได้เป็นขุนนาง จะรีบคุยโวโอ้อวดได้อย่างไร ไม่ได้ ต้องรออีกสองวัน”

แม่เฒ่าเหยาขมวดคิ้ว แล้วกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “คุยโวโอ้อวดอย่างไร พระราชโองการก็ส่งมาที่บ้านแล้ว ญาติสนิทมิตรสหายหาได้รับรู้ไม่ แทนที่จะให้คนที่ได้ยินข่าวมาแสดงความยินดี ส่งคำเชิญแทน เชิญทุกคนมารับประทานข้าวดื่มสุราพูดคุยกันให้สำราญไม่ดีกว่าหรือ?”

เมื่อพ่อเฒ่าเหยาได้ยินเช่นนั้น ในใจก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าที่ภรรยาของตนกล่าวนั้นก็มีเหตุผล แต่ปากก็เอ่ยขึ้นเพียงแค่ประโยคสองประโยคเท่านั้น

เวลานี้สองผู้เฒ่าแห่งตระกูลเหยาก็มีอายุอานามไม่น้อยแล้ว แต่พวกเขากลับมีชีวิตชีวามากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทะเลาะกันเมื่อทั้งคู่ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เมื่อลูกหลานมาเห็นเข้าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากการยิ้มแล้วปล่อยพวกท่านไป

เมื่อเสี่ยวเว่ยเห็นท่าทางที่มีชีวิตชีวาของทุกคน พ่อเฒ่าเหยาเองก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องการเชิญแขก เด็กหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สดใสกับแม่เฒ่าเหยา “ท่านแม่อยากจะเชิญผู้ใดบ้างขอรับ ข้าจะได้ทำเทียบเชิญ”

แม่เฒ่าเหยาชื่นชอบเสี่ยวเว่ยเป็นอย่างมาก เขาคือหนุ่มรูปงามไร้ซึ่งพิษภัยใด ๆ เมื่อครั้งเสี่ยวเว่ยช่วยชีวิตเหยาเฉาไว้ในครั้งนั้น ภายในใจของแม่เฒ่าเหยาก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง

หญิงชราโบกมือเรียกเสี่ยวเว่ยเข้ามา เอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่น “เจ้าไม่ต้องทำหรอก ช่วงนี้ทำไมข้าไม่ค่อยเห็นเจ้าอยู่ที่บ้านเลยเล่า หรือว่าเจ้ามีเรื่องยุ่งใช่ไหม อย่างไรก็ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เรื่องเทียบเชิญแขกให้พี่รองของเจ้าจัดการเถอะ”

เสี่ยวเว่ยยิ้มแล้วไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ตรงกันข้ามกับเหยาต้าหลางและเหยาเอ้อหลางที่เข้าไปชวนเด็กหนุ่มพูดคุย

เหยาเฉาเห็นมารดาของตนเอ่ยเช่นนั้นก็อดที่จะเย้าแหย่ไม่ได้ “พอมีลูกบุญธรรมก็ลืมลูกในไส้เสียได้ ท่านแม่สามารถเรียกใช้เสี่ยวเว่ยได้ทุกเมื่อ อย่างไรเขาก็คือลูกของท่าน อย่าเลือกปฏิบัติจนเห็นได้ชัดเช่นนี้สิ”

แม่เฒ่าเหยาหัวเราะขึ้นและตีลูกชายของนาง “ลูกบุญธรรมลูกในไส้อะไร ปากเจ้านี่ไม่สามารถพูดถ้อยคำดี ๆ ได้จริง ๆ”

เหยาเฉาและเสี่ยวเว่ยต่างสบตากัน ก่อนจะหัวเราะออกมาทั้งคู่

ทุกคนในบ้านอยู่กับพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาที่ห้องด้านหน้า หลังจากที่แม่เฒ่าเหยากล่าวไปได้สักพัก เหยาเฉาก็เรียกเสี่ยวเว่ยออกไปด้านนอก

ก่อนหน้านี้เสี่ยวเว่ยได้รับบาดเจ็บเพราะคอยตามสืบข่าวแทนเหยาเฉาและคนอื่น ๆ หลังจากพักอยู่ที่บ้านตระกูลเหยาได้สองเดือน เขาก็ไม่อาจนิ่งเฉย จึงเริ่มที่จะติดตามเหมิงฉิงอีกครั้ง ทุก ๆ วันเด็กหนุ่มคอยสังเกตการเคลื่อนไหวของเหมิงฉิงอย่างลับ ๆ จนได้เบาะแสบางอย่างมา

การที่เหยาเฉาได้รับตำแหน่งใหม่ในศาลต้าหลี่ครั้งนี้ต้องขอบคุณข้อมูลจากเสี่ยวเว่ย องค์จักรพรรดิจึงเลื่อนตำแหน่ง คอยให้เขาตรวจสอบเหมิงฉิงอย่างลับ ๆ

ทั้งสองคนเดินไปที่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ของจวนตระกูลเหยา แสงแดดยามเช้าลอดผ่านกิ่งก้านเขียวขจี ทำให้ทั้งสองรู้สึกเย็นสบายภายใต้ร่มเงาสูงใหญ่

เสียงวิหคขับขานอันเป็นเอกลักษณ์แห่งฤดูร้อนคอยปลุกผู้คนอย่างต่อเนื่อง

โดยปกติแล้วเสี่ยวเว่ยมักจะสวมเสื้อผ้าสีดำ หลังจากที่แม่เฒ่าเหยาบอกกล่าวอยู่สองสามครั้ง เขาก็ไม่ใส่เสื้อผ้าสีดำอีกในวันปกติ หากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพรางตัว

เสื้อที่เด็กหนุ่มสวมวันนี้มีสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นเสื้อที่แม่เฒ่าเหยาทำเองกับมือ

เสื้อสีเข้มขับให้ใบหน้าของเสี่ยวเว่ยดูขาวและอ่อนโยนมากขึ้น

เหยาเฉากล่าวกับคนข้างหน้าด้วยแววตาที่อบอุ่น “เสี่ยวเว่ย การเลื่อนขั้นครั้งนี้ต้องขอบคุณข้อมูลของเจ้า องค์จักรพรรดิให้ข้าออกวัง พวกเราทั้งสอง คนหนึ่งอยู่ในที่มืด อีกคนอยู่ในที่แจ้ง ช่วยกันจับตามองและตรวจสอบท่านอ๋องน้อย”

เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้วมุ่น กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พี่รอง ตอนนี้พวกเราก็รู้แล้วว่าเหมิงฉิงและตู้เหิงร่วมมือกันเพื่อสินแร่เหล็กในเขตชานเมือง โทษของเรื่องนี้ร้ายแรงถึงขั้นตัดหัว ถ้าท่านเข้าไปตรวจสอบอย่างโจ่งแจ้ง เกรงว่าเหมิงฉิงจะหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด…”

เหยาเฉาส่ายหัว “เจ้าผิดแล้ว ถ้าข้าจัดการอย่างโจ่งแจ้ง เขาจะไม่สามารถจัดการข้าได้ง่าย ๆ”

ใบหน้าของเสี่ยวเว่ยหนุ่มย่นขึ้น เขากำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้น กลับต้องกลืนคำพูดลงคอไปอีกครั้ง

เหยาเฉาเห็นว่าเด็กหนุ่มลังเลที่จะพูด ใบหน้าขาวอันหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มขึ้น เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าจะพูดอะไรเจ้าก็พูดเถอะ เราเป็นพี่น้องกันจะลังเลไปด้วยเหตุใด”

เสี่ยวเว่ยเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย เขาหักนิ้วมือของตนจนเกิดเสียงข้อต่อเคลื่อนดังกรอบแกรบ เป็นที่ระคายหูแก่เหยาเฉานัก

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “อย่าหักนิ้ว แก่แล้วจะเจ็บตัวเอา”

เสี่ยวเว่ยตกตะลึง ตอนนั้นเองถึงจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังคลายความกังวลอยู่ จึงสะบัดมือแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่หักนิ้วแล้วจะทำไม่สำเร็จหรือ? ข้าแค่กำลังคิดว่า…”

เด็กหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ สีหน้าของเขาเริ่มกลัดกลุ้มเล็กน้อย “เหมิงฉิงนั่นไม่ใช่คนดี พี่รอง ทำไมท่านไม่รอต่อไป ให้ข้ารวบรวมข้อมูลหลักฐานให้ครบก่อนแล้วท่านค่อยออกมา”

เหยาเฉายิ้ม ดวงตาดอกท้อจ้องมองเสี่ยวเว่ยด้วยแววตาที่อ่อนโยนหากแต่มั่นคง “เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการผู้เดียวไม่ได้ อีกอย่างเมื่อรู้ว่าเจ้าต้องเดินอยู่บนปลายมีดทุกวัน ถ้าไม่ระวังตัวขึ้นมาแล้วถูกเหมิงฉิงพบเข้า ข้าไม่สบายใจจริง ๆ”

เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้ว เงยหน้ามองพลางเอ่ยถาม “ตัวท่านเองจะบอกกับฝ่าบาทเรื่องการตรวจสอบหรือไม่”

เหยาเฉาไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่ตบบ่าเสี่ยวเว่ย แต่เขากลับเบี่ยงหลบ

เสี่ยวเว่ยใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้นด้วยอารมณ์ “ถ้าหากว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้ท่านไปตรวจสอบ ท่านเองก็ไม่สามารถขัดพระประสงค์ได้ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ใครกันจะโง่เขลาเอาเรื่องแบบนี้มาแบกไว้บนบ่าของตนได้เล่า ถ้ามองไปยังศพที่อยู่ข้างกายเหมิงฉิง ท่านก็จะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนดี มันสายเกินไปแล้วที่ซ่อนตัว ท่านได้ลงไปในน้ำโคลนนี้แล้ว”

เด็กหนุ่มกล่าวเสร็จก็ได้เดินจากไป เหยาเฉาพลันเอื้อมมือคว้าแขนเสี่ยวเว่ยไว้ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างหมดหนทาง “พูดจากันดี ๆ สิ เหตุใดจึงต้องมีอารมณ์ด้วย แล้วนี่เจ้าจะไปไหน”

เสี่ยวเว่ยหันกลับมาจ้องเหยาเฉา สีหน้าดุดันกับดวงตาดอกท้ออบอุ่นของเหยาเฉาช่างเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง

เสี่ยวเว่ยกล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าจะไปฆ่าเหมิงฉิง!”

เหยาเฉาตะลึงงัน ชายหนุ่มกำมือแรงขึ้น เขาดึงเสี่ยวเว่ยเข้าไปด้านของตนเองแล้วเอ่ยตำหนิเด็กหนุ่ม “พูดจาเหลวไหล”

เสี่ยวเว่ยยิ้มอย่างเย็นชา “ถ้าจะรอให้เหมิงฉิงทำเรื่องชั่วร้าย มิสู้ข้าเริ่มลงมือก่อนน่าจะดีกว่า”

ช่วงนี้เสี่ยวเว่ยที่อยู่บ้านตระกูลเหยานั้นไม่ได้ประพฤติตัวไม่ดี ชายหนุ่มเชื่อฟังมาตลอด จนเหยาเฉาลืมไปแล้วว่าเขาเคยประพฤติตัวเหมือนกับสัตว์ร้าย

เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเว่ยไม่ได้พูดเล่น สีหน้าของเหยาเฉาก็จริงจังขึ้น คว้าแขนเด็กหนุ่มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “อย่าได้ทำอะไร แล้วฟังข้าให้ดี”

เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด

ใบหน้าที่จริงจังของเหยาเฉาจ้องมองไปที่ดวงตาของเสี่ยวเว่ย “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้า แต่เรื่องราวบนโลกนี้ใช่ว่าจะจัดการได้ด้วยการฆ่าฟันกัน อย่าเพิ่งบอกว่าพวกเราจะสามารถจัดการสิ่งรอบกายของเหมิงฉิงได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่องครักษ์รอบกายเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ถ้าเจ้าลงมือ เจ้าจะรอดพ้นจากการถูกตามล่าได้อย่างไร มากไปกว่านั้น ราชสำนักจะไม่ปล่อยเรื่องนี้แน่”

เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้ว แสยะยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “ท่านคิดว่าข้าสนใจหรือไม่เล่า?”

นัยน์ตาสีดำและขาวที่แยกกันอย่างชัดเจนของเด็กหนุ่ม ราวกับตัวหมากรุกหยกดำชั้นดีที่ตกลงมาบนจานเงิน มันดูทั้งใสสะอาด และเต็มไปด้วยความดื้อรั้น

เหยาเฉาถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้นเบา ๆ “ถึงเจ้าจะไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง แต่ข้าไม่สนใจไม่ได้ เสี่ยวเว่ย เจ้าฟังพี่รองนะ ตอนนี้เราอยู่ในเมืองหลวง ที่ซึ่งมีมัจฉาและมังกรปะปน(1)กัน เราควรระมัดระวังมากขึ้นในทุกขั้นตอนเพื่อปกป้องตนเองและครอบครัวของเรา”

เสียงที่จริงใจของชายหนุ่ม ใบหน้าขาวผ่องเต็มไปด้วยความกังวลที่มีต่อเสี่ยวเว่ย เด็กหนุ่มจ้องมองเหยาเฉาอยู่ครู่หนึ่ง แรงที่แขนก็ค่อย ๆ ผ่อนลง

เสี่ยวเว่ยหลับตาลง ในที่สุดก็กล่าวขึ้นมาหนึ่งคำ “อื้ม”

รักษาความปลอดภัยตนเองและครอบครัวหรือ? นั่นแสดงว่า ตัวเขาเองก็นับว่าเป็นคนในครอบครัวพี่รองอย่างนั้นหรือ?

……………………………………………………………………………………

ที่ซึ่งมีคนดีและคนเลวปะปนกัน

สารจากผู้แปล

เสี่ยวเว่ยอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น ที่นี่เป็นเมืองหลวง อันตรายกว่าเมืองห่างไกลอย่างเมืองชิงถงเยอะ

ที่พี่เฉาได้เลื่อนขั้นแบบนี้เป็นเพราะฮ่องเต้เองก็สงสัยเหมิงฉิงเหมือนกันหรือเปล่านะ

ไหหม่า(海馬)