บทที่ 388 ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบดื่ม

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 388 ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบดื่ม

บทที่ 388 ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบดื่ม

ด้วยนิสัยดื้อรั้นของเสี่ยวเว่ยแล้ว เหยาเฉาก็กลัวว่าตนเองจะปลอบโยนเขาได้ไม่ดีนักแล้วปล่อยให้เขาไปเผชิญหน้ากับเหมิงฉิงเพียงลำพัง

เช่นนั้นช่วงนี้เหยาเฉาจึงอยู่บ้านคอยจับตาดูเสี่ยวเว่ย เฝ้าไม่ให้เขาไปไหน และตัวเขาเองก็สังเกตเห็นสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน

เด็กหนุ่มสูงขึ้นมานิดหน่อย หลังจากที่โดนเหยาเฉากักตัวไว้ที่บ้าน วันทั้งวันเขาก็อยู่แต่กับเอ้อหลาง ทั้งสองคนดูเหมือนเป็นพี่น้องอย่างไรอย่างนั้น

ยามที่เอ้อหลางร้องเรียกหา ‘ท่านอาเว่ย’ ช่างเป็นคำเรียกที่ทำให้เขามีความสุข เขาจะมีสีหน้าที่จริงจังขึ้นราวกับว่าเขาเองก็รู้สึกชอบตัวตนผู้ใหญ่ของเขา

เช้าวันนี้ ขณะที่เหยาเฉาจะนอนต่อด้วยความรู้สึกที่เกียจคร้าน ในตอนที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างนี่เองเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากลานบ้าน ชายหนุ่มเปิดตาขึ้นด้วยความงัวเงีย เขาคิดว่าเขากำลังนอนอยู่บนสนามประลองการต่อสู้ของเมืองชิงถง

เมื่อได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหว เซียงเวยก็เดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวกล่าวขึ้นเบา ๆ “ตื่นแล้วหรือ เมื่อวานท่านนอนดึกนัก ยังอยากจะนอนต่ออีกสักครู่หรือไม่?”

เหยาเฉาหลับตาลงพลางสั่นศีรษะ “ไม่นอนแล้ว เมื่อคืนวานดื่มสุรากับเสี่ยวเว่ย เขารินให้ข้าไม่ใช่น้อย…เหตุใดจึงได้ยินเสียง เสียงที่ลานบ้านใช่เสียงของเขาหรือไม่?”

สะใภ้รองยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่ ลูกชายท่านไปรบกวนเขา ขอให้เสี่ยวเว่ยสอนเขาเหยียบเสาให้”

เหยาเฉายกผ้าห่มออกแล้วลงมาจากเตียง ยามนี้ท้องฟ้าสว่างแล้ว ชายหนุ่มเปิดหน้าต่าง เมื่อแสงแดดส่องเข้ามาก็ทำให้เสื้อคลุมจงอีของเขาสะท้อนแสงสีขาวออกมาจนทำให้ตาพร่ามัว

“เจ้าเด็กทั้งสองคนนี้” ชายหนุ่มยิ้มแล้วส่ายหน้า “นิสัยคล้ายกันเสียเหลือเกิน”

เซียงเวยหยิบเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อนออกมาให้เหยาเฉา กล่าวขึ้นอย่างโกรธเคือง “ท่านโตป่านนี้แล้วยังต้องให้ข้าดูแลอีก ตั้งแต่เล็ก ๆ เอ้อหลางไม่เคยกลัวสิ่งใด ยิ่งตอนนี้มีท่านอาเว่ยคอยสนับสนุนเขา เขาเลยหาญกล้าทำอะไรได้มากขึ้น”

เหยาเฉาหัวเราะขึ้นเบา ๆ ดวงตาดอกท้อค่อย ๆ หรี่ลงเล็กน้อย สายตาที่เกียจคร้านหลังจากตื่นนอนจ้องมองไปที่ภรรยาของตน “เจ้ากำลังพูดว่าเขาจะไปทำอะไรไม่ดีสิท่า”

สะใภ้รองเหยาทนฟังไม่ได้ นางโยนเข็มขัดเสื้อคลุมให้กับเหยาเฉาและเหลือบมอง “พ่อแม่แบบไหนกันที่บอกว่าลูกของตนจะทำเรื่องไม่ดี ท่านด่าเขาว่าเรียนไม่เก่งหรือ”

เหยาเฉาหัวเราะ เขาไม่อยากจะทะเลาะกับเซียงเวยอีก เขาจึงขอโทษต่อภรรยา “ถ้าลูกของเราโตแล้ว ข้ายังจะด่าเขาอยู่หรือไม่? เอาละ เอาละ ข้าจะไปดูพวกเขา จะไม่กวนเจ้าแล้วดีไหม?”

อ้อมแขนอันอบอุ่นของชายหนุ่มกอดเอวของภรรยาเอาไว้ เซียงเวยพยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด หญิงสาวทุบไหล่สามีด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่รีบไปอีก ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าเสี่ยวเว่ยดูแลเอ้อหลางอย่างดี คนในครอบครัวเจ้าก็คงไม่ต้องพูดถึง”

“อื้ม” เหยาเฉาตอบกลับ แล้วกล่าวกับภรรยาของตนด้วยอีกสองสามประโยค ก่อนจะออกจากห้องไป

เมื่อมองไปในลานบ้าน ก็เห็นว่าเอ้อหลางรบเร้าให้เสี่ยวเว่ยสอนตนเอง

แปลงดินในลานบ้านเดิมทีตั้งใจเอาไว้ให้เซียงเวยปลูกดอกไม้ แต่ตอนนี้กลับมีเสาไม้หลายต้นถูกปักไว้อย่างเป็นระเบียบ

เหยาเฉาจ้องมองภาพนั้น ท่าทางเด็กชายดูจริงจังเป็นอย่างมาก

ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าอย่างสบายใจ ก่อนจะเอ่ยถาม “พวกเจ้าสองคนกำลังเรียนอะไรกัน?”

เสี่ยวเว่ยและเหยาเอ้อหลางเหลือบขึ้นมอง เมื่อเอ้อหลางเห็นพ่อของเขา ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กชายก็เป็นประกายทันใด

เสี่ยวเว่ยเหลือบมองเหยาเฉาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ราวกับสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มถึงตื่นเช้าเช่นนี้

“ท่านพ่อ!” เอ้อหลางส่งเสียงร้องตะโกนเรียกแต่ไกล

เหยาเฉาหาวด้วยความเกียจคร้านแล้วเดินเข้าไปหาลูกชาย ลูบหัวของเด็กชาย ชายหนุ่มหรี่ตาลงแล้วกล่าวขึ้น “เช้า ๆ เช่นนี้ทำไมไม่ให้ท่านอานอนหลับพักผ่อน แล้วนี่กำลังทำอะไร?”

เอ้อหลางหัวเราะ แล้วชี้ไปที่เสาเล็ก ๆ ในสวน “ท่านอาเสี่ยวเว่ยกำลังสอนวรยุทธ์ให้ข้าขอรับ”

เหยาเฉามองท่าทางที่เอาจริงเอาจัง ก็อดที่จะหันไปทางเสี่ยวเว่ยไม่ได้ ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอ่ยถาม “เสาไม้พวกนี้ เจ้าทำให้เอ้อหลางหรือ?”

เด็กหนุ่มมองดูเหยาเฉา ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเขาจะไม่ได้เมา เสี่ยวเว่ยกระแอมแล้วพูดว่า “เอ้อหลางอยากเรียนวิชาตัวเบา จึงต้องปักเสาไม้”

เหยาเอ้อหลางเอ่ยแทรกขึ้น “นอกจากเสาไม้ ท่านอาเสี่ยวเว่ยยังสอนท่าม้าให้กับข้าด้วยขอรับ รอให้อากาศเย็นลง พวกเรายังจะไปขี่ม้าที่ชานเมือง และล่าสัตว์”

เหยาเฉายิ้มแล้วส่ายหัว ราวกับว่าจะรับมือกับความคึกคักของลูกชายไม่ไหว

ชายหนุ่มลูบไปที่เสาไม้ไม่กี่ต้น มือขาวเนียนและอ่อนนุ่มของชายหนุ่มสัมผัสไปตามไม้สีเข้มและหยาบกร้าน ดูราวกับว่าไม้นี้มาจากต่างโลกอย่างไรอย่างนั้น

เหยาเอ้อหลางมองเห็นท่าทางราวกับเป็นนักปราชญ์ของเหยาเฉา ก็เกิดความปรารถนาที่จะปกป้องภายในใจของเด็กชายทันที เอ้อหลางเอ่ยพูดอย่างจริงจัง “ท่านพ่อขอรับ วันข้างหน้าถ้าข้าเรียนวรยุทธ์สำเร็จ ข้าจะปกป้องท่านเอง ท่านวางใจเถอะ ไม่ว่าวันข้างหน้าราชสำนักจะถูกรังแก หรือใครมาทำให้ท่านโมโห ข้าจะออกหน้ารับแทนท่านเอง”

เสี่ยวเว่ยเลียริมฝีปากเงียบ ๆ ส่วนเหยาเฉาเคาะหัวลูกชายเบา ๆ พลางยิ้ม “ได้สิ วันข้างหน้าพ่อจะพึ่งพาเจ้า”

เหยาเฉาเอ่ยถามเหยาเอ้อหลางไม่กี่คำถาม ดูเหมือนกับว่าเขาอยากจะเรียนจ้านจวง(1) ชายหนุ่มก็จะปล่อยให้ลูกชายเรียนในสิ่งที่ตนอยากจะทำ

เพียงแต่เหยาเฉาเองยังไม่วางใจ จึงกล่าวเตือนขึ้น “จ้านจวงยากลำบากในการฝึกฝน ไม่ใช่สอนเจ้าสองสามประโยคแล้วเจ้าจะเข้าใจ” เอ้อหลางถูกไล่ให้ไปเตรียมอาหารเช้า ในขณะเหยาเฉาพาเสี่ยวเว่ยไปที่ห้องกินข้าวพลางเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดเช้าวันนี้พอเจ้าเห็นข้าถึงกับตะลึงไปเลยเล่า เจ้าคิดว่าข้าที่ได้นอนไปแค่ครึ่งคืนจะไม่สามารถตื่นนอนได้ใช่หรือไม่”

เสี่ยวเว่ยหัวเราะเบา ๆ และไม่ได้กล่าวอะไร

เหยาเฉาทำอะไรไม่ได้นอกจากส่ายหัว “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริง ๆ หรือว่าเจ้าแอบเปลี่ยนสุรา เจ้าให้ข้าดื่มสุราที่ร้อนแรงประหนึ่งมีดคมบาดคอ แต่สุราเบาบางดุจปุยเมฆของเจ้าข้าเกรงว่าน้ำเปล่ายังจะข้นกว่า”

นิสัยเกเรของเด็กหนุ่มถูกกำจัดไปแล้วหลายส่วน แต่ความเป็นธรรมชาติของเขายังคงเหมือนเดิมและเขาก็มีอิสระที่จะได้ทำเรื่องราวต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น

บางครั้งเหยาเฉาก็รู้สึกว่าตนเองนั้นกำลังเลี้ยงลูกเพิ่มอีกหนึ่งคน

เมื่อคืนทั้งสองคนดื่มสุรากัน ทีแรกก็ยังดี ๆ อยู่ แต่เมื่อเหยาเฉาเริ่มเมามาย ก็เห็นได้ว่าใบหน้าของเสี่ยวเว่ยนั้นแดงเพียงเล็กน้อย จึงเดาว่าเขาจงใจเปลี่ยนสุราที่จะดื่มเอง

เสี่ยวเว่ยไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มจึงยอมรับ “ครั้งก่อนใครใช้ให้ท่านมอมข้าไม่เป็นชิ้นดี เช่นนี้ถือว่าพวกเราเสมอกันแล้ว”

เหยาเฉายิ้ม “การดื่มสุราเป็นความสามารถของข้าที่เอาเจ้าลง จะเสมอกันหรือไม่ต้องดูปริมาณของสุรา ปริมาณสุราเทียบกับคนไม่ได้ ต้องคิดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”

ตอนแรกเหยาเฉาแค่จะหยอกล้อเล่น ๆ แต่เด็กหนุ่มดูเหมือนจะจริงจังขึ้นมาจึงกล่าวว่า “ใครบอกว่าปริมาณสุราของข้าไม่เท่ากับท่านกัน? ข้าแค่ไม่เคยชินกับสุราธรรมดาของท่าน….ถ้าไม่เชื่อเรามาลองกันอีกสักตั้งเป็นไร!”

เหยาเฉาเห็นว่าเด็กหนุ่มนั้นจริงจัง ก็โบกมือแล้วกล่าวว่า “พอเถอะ พี่รองแค่หยอกเจ้าเล่น”

เสี่ยวเว่ยยังคงรั้นไม่ยอมแพ้ “แค่ดื่มสุราเอง มาลองดูอีกสักรอบ”

เหยาเฉาหัวเราะ หัวใจของเขานั้นราวกับเด็กน้อย

เหยาเฉาต้องอยู่เฉย ๆ ในช่วงหลายวันมานี้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยกับเสี่ยวเว่ย “ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะดื่ม พอดีเลยไม่กี่วันพวกเราจะเชิญน้องอวี๋และสหายอื่น ๆ มาที่บ้าน ให้เจ้าดื่มจนพอใจเลยเป็นอย่างไร พี่รองดื่มจนเอียนแล้ว ให้คนอื่นดื่มเป็นเพื่อนเจ้าเถอะนะ”

เสี่ยวเว่ยนั้นกล้าหาญ วิชาตัวเบาก็ดี ครั้งหนึ่งเขาเคยแอบไปดูเหยาเฉาทำงานในพระราชวัง

ตอนที่เขาสวมชุดเครื่องแบบอยู่ท่ามกลางผู้คน เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่แข็งแกร่งทีเดียว

แต่เหยาเฉาตอนนี้ช่างอ่อนโยน แสงแดดยามเช้าทำให้แววตาของเขาดูสงบ ช่างดูแตกต่างจากตอนที่เขาเป็นราชองครักษ์ยิ่งนัก

เสี่ยวเว่ยพลางจ้องมองเหยาเฉาแล้วคิดว่า ถ้าหากเรียกอวี๋จือมา บนโต๊ะสุราคงจะไม่ใช่เขาแน่ ๆ ที่ร่วงลงไปนอนกับพื้น หากเป็นเช่นนั้นคงจะดี

ในใจของเด็กหนุ่มนั้นมีความปรารถนามากมาย แต่ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่ให้ผู้ใดมองความคิดของตนออก “ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบดื่มด้วยสิ แต่ท่านแม่บุญธรรมบอกว่าจะเชิญแขกมา เช่นนั้นวันนี้ข้าจะไปถามแล้วก็จะจัดการส่งจดหมายเชิญสหายของพี่รอง”

เหยาเฉามองดูท่าทางที่ซับซ้อนของเด็กหนุ่ม หัวใจของเขาราวกับว่ามีกระจกใส ชายหนุ่มทำได้เพียงยิ้มแล้วพยักหน้า

…………………………………………………………………………….

站桩 หรือท่าขี่ม้า เป็นท่ายืนหนึ่งในขณะฝึกวรยุทธ์หรือฝึกกำลังภายใน

สารจากผู้แปล

เอ้อหลางมีความตั้งใจฝึกทางบู๊สูงนะเนี่ย คงเป็นทหารฝีมือดีคนหนึ่งได้

ไหหม่า(海馬)