บทที่ 389 อวี๋จือดื่มสุราแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 389 อวี๋จือดื่มสุราแล้ว

บทที่ 389 อวี๋จือดื่มสุราแล้ว

ยามเย็นในฤดูร้อน ท้องฟ้ายังคงสดใส เพียงแต่ว่าแสงแดดที่แผดเผานั้นได้หายไปแล้ว

เมื่อมิตรสหายของเหยาเฉาล้วนมาถึง การรวมตัวกันที่บ้านตระกูลเหยาก็ได้เริ่มขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองที่เหยาเฉาได้รับตำแหน่งเสนาบดีของศาลต้าหลี่ โต๊ะขนาดใหญ่ทั้งสองตัวล้วนมีผู้คนนั่งจนเต็มอย่างคึกคัก มีเพียงอวี๋จือที่มีนิสัยขี้อาย

ผ่านไปไม่นานสุราและอาหารก็พร้อมสรรพ บรรยากาศโดยรอบอบอุ่นใจไม่น้อย

สหายคนหนึ่งของเหยาเฉายกจอกสุราแล้วเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าเหยา ในวันปกติข้าคุ้นเคยกับท่านที่อยู่ในเครื่องแบบขุนนาง เวลาท่านใส่ชุดสีขาวธรรมดาเช่นนี้ มองดูแล้วช่างเป็นหนุ่มรูปงามยิ่งนัก ปกติแล้วจะมีแค่ผู้ที่มีอายุเท่านั้นที่ได้เป็นทั้งขุนนางและทหารที่คอยเป็นเสาหลักให้กับบ้านเมือง ท่านช่างเป็นคนหนุ่มอนาคตไกลเสียจริง”

เหยาเฉาหัวเราะ “ใต้เท้าหวังชื่นชมเกินไปแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับใต้เท้า ข้าน้อยนั้นยังห่างกับท่านนัก”

ใต้เท้าหวังเองก็เป็นหนึ่งในเสนาบดีแห่งศาลต้าหลี่ เขาเริ่มจากการสอบจอหงวน และศึกษาเล่าเรียนอย่างยากลำบากเป็นเวลานานกว่าจะได้เป็นบัณฑิต คลุกคลีวนเวียนอยู่ในแวดวงขุนนาง หลังจากนั้นใช้เวลาอีกหกปีถึงจะได้ตำแหน่งเสนาบดีของศาสต้าหลี่

ความเร็วในการเลื่อนขั้นของเขาไม่ได้ช้าแต่อย่างใด แต่พอเขารู้ว่าเหยาเฉาที่เป็นเพียงแค่ชายชุดขาวใช้เวลาไม่ถึงปีก็ได้ตำแหน่งราชองครักษ์ที่ผู้คนต่างอิจฉาแล้วยังกระโดดไปถึงตำแหน่งเสนาบดีแห่งศาลต้าหลี่ที่ยิ่งใหญ่ ภายในใจของเขาก็มีรสชาติชีวิตอยู่มากมาย

ยังไม่ทันรอให้สหายได้แสดงความยินดี เหยาเฉาก็ดื่มสุราในจอกจนหมด แล้วกลับมาพร้อมจอกอีกใบ

“ประโยคที่ว่า ‘เด็กหนุ่มอนาคตไกล’ ของใต้เท้าหวังนี้ ข้าน้อยยังไม่ได้สร้างความดีความชอบหรือมีผลงานใด ๆ ต่อเหล่าขุนนางและบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย แล้วจะทำอย่างไรให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้มา ข้ารู้ว่าใต้เท้าอยู่ศาลต้าหลี่มาเป็นเวลาสามปีแล้ว ทั้งยังเป็นหัวหน้าเสนาบดีแห่งศาลต้าหลี่ ในมือมีคดีความนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีคดีความสามคดีที่ตัดสินผิด พอมาอยู่ในมือของท่านก็กลับนำมาพิจารณาใหม่ ทำให้ผู้บริสุทธิ์พ้นผิด ถ้ากล่าวว่าข้าน้อยเป็นเสาหลักให้กับประเทศชาติแล้ว ข้าน้อยมิอาจเปรียบเทียบกับท่านใต้เท้าได้แม้แต่น้อย สุราจอกนี้ข้าขอดื่มให้กับใต้เท้า”

ตอนนี้ศาลต้าหลี่มีเสนาบดีทั้งหมดหกท่าน โดยแบ่งจากตำแหน่งที่สูงและสูงรองลงมา นอกจากผู้ที่ถูกเลื่อนตำแหน่งไปแล้วท่านนั้น ใต้เท้าหวังท่านนี้เป็นคนที่กุมอำนาจเอาไว้ในมืออย่างแท้จริงและเป็นผู้ที่ทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง

ประโยคที่เหยาเฉากล่าวขึ้น เป็นการแสดงว่าเขาเองไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อสู้แย่งชิงอำนาจเพื่อตำแหน่งในศาลต้าหลี่ เขาได้ยกตำแหน่งของตนให้สูงขึ้น ทำให้คนที่รู้สึกไม่พอใจกับการได้ตำแหน่งนี้มาของเหยาเฉามีอคติกับชายหนุ่มน้อยลงมาบ้าง

ใต้เท้าหวังหัวเราะ แล้วดื่มกับเหยาเฉาหนึ่งจอก “ใต้เท้าเหยายังหนุ่ม อนาคตนั้นยังสดใส”

โต๊ะอาหารทั้งสองโต๊ะที่เหยาเฉาได้จัดขึ้น โต๊ะแรกเป็นโต๊ะของเหล่าขุนนางที่นำโดยใต้เท้าหวังแห่งศาลต้าหลี่ โต๊ะที่สองเป็นโต๊ะของเหล่าสหายร่วมงานราชองครักษ์ของเขา

ต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งหลาย เหยาเฉามีความเป็นสุภาพบุรุษ พฤติกรรมและคำพูดของชายหนุ่มทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ ต่อหน้าเหล่าราชองครักษ์เหยาเฉาจะมีวิญญาณแห่งความกล้าหาญเพิ่มขึ้น

ใต้เท้าหวังไม่เคยติดต่อกับเหยาเฉามาก่อน วันนี้ได้มีโอกาสมาร่วมโต๊ะด้วยกัน หลังจากดูสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้แล้วจึงทำได้แค่เพียงกระซิบเบา ๆ กับเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้าง ๆ “ข้ามองดูแล้ว ใต้เท้าเหยาท่านนี้มีปฏิภาณเฉลียวฉลาด นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง”

คนผู้นั้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะความสามารถ คงไม่อาจเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้ ทั้งหมดนี้ล้วนมีเหตุและผลของมัน”

ใต้เท้าหวังหัวเราะออกมาเบา ๆ

ระหว่างที่ทุกคนกำลังดื่มสังสรรค์กัน คนใช้ภายในจวนก็มารายงานว่า ใต้เท้าเซี่ยมาถึงแล้ว

เหยาเฉาที่ถือแก้วสุราอยู่เวลานั้นชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ “ใต้เท้าเซี่ยมาแล้วหรือ? ”

คนรับใช้รีบตอบกลับ “เจ้าค่ะ ตอนนี้อยู่ที่หน้าประตูแล้ว นายท่านรีบออกไปดูเถอะเจ้าค่ะ”

เหยาเฉาจ้องมองเสี่ยวเว่ย เห็นเด็กหนุ่มพยักหน้าและยิ้มให้กับตน “ข้าก็นึกว่าเจ้าไม่ได้ส่งจดหมายเชิญไปที่จวนตระกูลเซี่ยเสียอีก”

เสี่ยวเว่ยตอบกลับเบา ๆ “รีบไปต้อนรับแขกสิ จวนตระกูลเซี่ยเป็นอุโมงค์มังกรและถ้ำเสือ ข้าไม่กล้าหรอกนะ”

เหยาเฉาวางจอกสุรา รีบแจ้งให้กับทุกท่านทราบ แล้วก็ออกไปต้อนรับเซี่ยเชียน

บรรยากาศบนโต๊ะสุราเปี่ยมไปด้วยความคึกคัก เวลานั้นอากาศได้เย็นลง แม้แต่จิตใจที่หมกมุ่นอยู่กับสุราซึ่งดูเหมือนจะทื่อเป็นพิเศษ ก็ยังมีสติสัมปชัญญะอย่างมาก

เซี่ยเชียนผู้เย็นชาไม่เคยเข้าร่วมการรวมกลุ่มหรืองานสังสรรค์ของเหล่าขุนนาง

ในทุก ๆ วันจวนตระกูลเซี่ยแทบจะไม่ได้ติดต่อกับผู้ใด ชีวิตช่างน่าเบื่อไร้สีสัน

คนที่เย็นชาและไม่เคยสนใจอะไรเลย มาจวนตระกูลเหยาเพื่อแสดงความยินดีกับเหยาเฉาหรือ?

ทุกคนล้วนรู้สึกว่าสมองของตนนั้นไม่พอใช้แล้ว

สุราในจอกของสหายราชองครักษ์ของเหยาเฉาหกออกมาแหบจะครึ่งหนึ่ง เขาเอ่ยถามกับคนข้าง ๆ ด้วยสายตาที่สับสน “เมื่อครู่ข้าได้ยินผิดหรือไม่? ใต้เท้าเซี่ยจริงหรือ? ใต้เท้าเซี่ยท่านไหน?”

สหายอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “ใต้เท้าเซี่ยเชียนในราชสำนักจะมีสักกี่คน?”

อวี๋จือที่โดนกรอกสุราจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ที่ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ เมื่อได้ยินคำว่า ‘ใต้เท้าเซี่ย’ ก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้

ดวงตาทั้งสองข้างที่แสนจะพร่ามัวหันไปทางเสี่ยวเว่ย “อาเว่ย ใต้เท้าเซี่ยมาพาข้ากลับหรือ? ข้าในตอนนี้มิอาจเพิ่มภาระให้กับใต้เท้าได้…”

เสี่ยวเว่ยที่รู้มาตั้งแต่ต้นว่าอวี๋จือเป็นผู้ช่วยของเซี่ยเชียน ก็แสดงอาการเฉยเมยไม่สนใจต่อสิ่งที่อยู่ข้างหน้า

เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของเซี่ยเชียน ชายหนุ่มก็ถือเป็นบรรทัดฐาน แล้วเขาเองก็ชื่นชอบเซี่ยเชียนเป็นอย่างมาก แต่สภาพที่ถามนู่นถามนี้เมาจนเละของตัวเองในตอนนี้คงจะลืมบุคคลในอุดมคติของตนไปเรียบร้อยแล้ว

เสี่ยวเว่ยพยายามอดกลั้นไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา รินสุราเพิ่มให้กับอวี๋จือ แล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เอ้า ดื่มอีกสักจอก แล้วกลับบ้านพร้อมกับใต้เท้าเซี่ยเสีย”

ดวงตาทั้งสองของเด็กหนุ่มเปี่ยมไปด้วยแววตาที่ชั่วร้าย เขาคิดขึ้นในใจ ‘บัณฑิตอย่างเขาที่มีสภาพเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวต้องอับอายต่อหน้าผู้คนเป็นแน่แท้ เมื่อเขาตื่นแล้วได้สติขึ้นมา หน้าตาคงจะเป็นที่น่าขบขันยิ่งนัก’

ทั้งยังมีสภาพเช่นนี้ต่อหน้าเซี่ยเชียน….ไม่รู้ว่าอวี๋จือจะร้องไห้ออกมาหรือไม่?

อวี๋จือเชื่อใจเสี่ยวเว่ยเป็นอย่างมากถึงแม้ว่ากำลังเมามายอยู่ แล้วเสี่ยวเว่ยก็รินสุราที่ฤทธิ์แรงที่สุดให้ เด็กหนุ่มดื่มมันลงท้องไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

หลังจากที่รอให้บัณฑิตน้อยดื่มสุราจอกนั้นเสร็จ ครู่หนึ่งเสี่ยวเว่ยก็หัวเราะ ตบหลังอวี๋จือเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้นข้างหูของอีกฝ่าย “พอแล้ว พอแล้ว อีกสักครู่ใต้เท้าเซี่ยก็จะมาแล้ว เจ้าไปทักทายใต้เท้าสิ เข้าใจไหม? ”

อวี๋จือพยักหน้าด้วยใบหน้าที่งุนงงเล็กน้อย

โดยเฉพาะใบหน้าสีแดง ๆ และรูปลักษณ์ที่เป็นมิตรต่อผู้คนและสรรพสัตว์ ทำให้เสี่ยวเว่ยรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา

เสี่ยวเวี่ยยืนมือออกไปหยิกแก้มแดง ๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดหรือไม่? ”

รอยที่แดงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอวี๋จือทันที แล้วเขาก็พยักหน้าขึ้น

เสี่ยวเว่ยกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ “เจ้าจะคุยกับใต้เท้าเซี่ยว่าอย่างไร? ”

ก่อนที่อวี๋จือจะทันได้ตอบสนอง เหยาเฉาก็เดินเข้ามาพร้อมกับเซี่ยเชียน เสี่ยวเว่ยจึงรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงก่อนหยิบเมล็ดบัวทอดสองสามเม็ดขึ้นมาทาน

ถ้ารออีกสักพักอวี๋จือออกไปขายหน้าต่อหน้าผู้คน แล้วพี่รองมาเห็นเข้าว่าตนพูดคุยกับอวี๋จือ เขาจะต้องสงสัยในตัวของเด็กหนุ่มเป็นแน่ เช่นนั้นเสี่ยวเว่ยก็จะมีมลทิน

คนในห้องโถงด้านหน้าเห็นเงาของคนเดินเข้ามา ทุกสายตาต่างจ้องมองมา คนที่เข้ามานั้นคือเซี่ยเชียนที่มาพร้อมชุดสีดำจริง ๆ หน้าตาที่เมามายก็ได้สติขึ้นมาทันที

ใต้เท้าเหยาท่านนี้ ช่างเป็นคนที่มีความสามารถจริง ๆ สามารถเชิญเซี่ยเชียนที่เย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็งมาได้ แสดงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ต้องไม่เลวเลยจริง ๆ

เหยาเฉายืนอยู่ข้าง ๆ หัวเราะ เอ่ยกับเซี่ยเชียนเบา ๆ ไม่กี่ประโยคหลักจากนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

การปรากฏตัวของเซี่ยเชียนทำให้เหล่าขุนนางทั้งหมดที่นำด้วยใต้เท้าหวังต่างลุกขึ้นทักทายเซี่ยเชียนกันหมด “ใต้เท้าเซี่ย”

เซี่ยเชียนพยักหน้าช้า ๆ

แม้แต่ที่โต๊ะของราชองครักษ์ การแสดงออกของพวกเขาก็ยังประหม่าเล็กน้อย แต่ละคนก็ลุกขึ้น “ใต้เท้าเซี่ยมีเวลาว่างมาด้วยหรือขอรับ”

ครั้งหนึ่งเซี่ยเชียนเคยเป็นผู้นำกลุ่มราชองครักษ์ และชายหนุ่มร่างสูงแข็งแรงสองสามคนที่ยังคงดื่มอยู่ในขณะนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้น และทั้งหมดต่างก็ดวงตาเบิกกว้าง เหมือนกับแกะตัวน้อยที่อ่อนโยน

เซี่ยเชียนตอบกลับคนทั้งหมด “อื้ม” แล้วหันสายตาไปอีกทางหนึ่ง

อวี๋จือที่หน้าแดงถูกดึงแขนด้วยชายหนุ่มหน้าตาเย็นชาอีกคน เด็กหนุ่มยืนตัวสั่นและยิ้มให้เขา

“เซี่ย ใต้เท้าเซี่ย…”

……………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เมาต่อหน้าไอดอลตัวเองอีกอวี๋จือเอ๊ย ถ้าสร่างเมาแล้วจะไม่เอาหน้ามุดธรณีหนีเลยเหรอ

ไหหม่า(海馬)