ตอนที่ 753 รัฐเหยียน (4) / ตอนที่ 754 รัฐเหยียน (5)
ตอนที่ 753 รัฐเหยียน (4)
สายตาของพวกเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าอันหล่อเหลาสมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อของคนที่เพิ่งก้าวออกจากรถม้าอย่างสง่างาม ร่างสูงเพรียวของเขา ความสง่างามของเขา กระทั่งรอยยิ้มร้ายกาจบนใบหน้าที่หล่อเหลานั่น ได้ทำให้หัวใจของทุกๆ คนที่มองอยู่เต้นผิดจังหวะ
ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยของเขาเป็นเหมือนสุราที่มอมเมาให้หลงใหล เขามองนิ่งเข้าไปในรถม้า เด็กหนุ่มที่ตามหลังเขาออกมามีรูปร่างบอบบาง ดูเหมือนจะอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ถึงแม้หน้าตาของเขาจะสะอาดหมดจดพอไปวัดไปวาได้ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับคนที่ลงจากรถม้ามาก่อน คนที่ออกมาคนแรกยิ้มและยื่นมือไปให้เด็กหนุ่มคนนั้นเพื่อช่วยเขาลงจากรถม้า ทั้งการยกมือและการก้าวเท้าของเขาช่างสง่างามสูงส่งจนลืมหายใจเลยทีเดียว
งดงามราวกับภาพวาด…
กลุ่มคนหนุ่มสาวทยอยออกมาจากรถม้าทีละคน พวกเขาดูอายุมากกว่าเล็กน้อย แต่ทุกคนดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์มาก ถึงแม้จะจืดลงไปบ้างเมื่อเทียบกับชายหนุ่มคนแรกที่ปรากฏตัวออกมา แต่พวกเขาก็ยังมีเสน่ห์ดึงดูดมากอยู่ดี และในกลุ่มพวกเขายังมีหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มอยู่คนหนึ่งด้วย!
สำนักศึกษาเฟิงหัวทำผลงานไว้ค่อนข้างดีในศึกประลองภูติวิญญาณเมื่อปีที่แล้ว และเพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงดึงดูดความสนใจจากสำนักศึกษาอื่นๆ ค่อนข้างมาก แต่ศิษย์ทุกคนต่างเห็นว่าผู้เข้าแข่งขันของสำนักศึกษาเฟิงหัวทั้งหมดปีนี้ ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลยสักคน
“คนพวกนี้…มาจากสำนักศึกษาเฟิงหัวอย่างนั้นหรือ” พวกผู้เยาว์ที่กำลังแอบดูพากันกลืนน้ำลายขณะที่มองหญิงงามที่อยู่ในกลุ่มเล็กๆ นั้น!
เมื่อปีที่แล้วสำนักศึกษาเฟิงหัวก็มีศิษย์หญิงมาเข้าร่วมแข่งขันด้วยคนหนึ่ง พวกเขาจำได้ว่านางก็เป็นหญิงงามเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับความอ่อนหวานงดงามตรงหน้าพวกเขาตอนนี้แล้ว ความงามของหญิงสาวในความทรงจำของพวกเขาก็ดูจะจางหายไปในทันที
“ก็ดูธงบนรถม้าของพวกเขาสิ มาจากสำนักศึกษาเฟิงหัวอย่างแน่นอน” ศิษย์ที่รวมตัวกันเพื่อดูความน่าสมเพชของสำนักศึกษาเฟิงหัวบัดนี้ต่างพูดไม่ออก ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย แค่หน้าตาของพวกเขาอย่างเดียวก็ชนะคนทั้งหมดนี้ได้โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาเข้าใจได้ที่บางคนจะดูดีมีเสน่ห์ แต่ถ้ารูปโฉมและความมีเสน่ห์นั้นไปถึงขั้นที่ทำให้หัวใจเต้นแรงผิดจังหวะ มันก็อยู่เหนือความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว!
คนจำนวนสิบคนก้าวออกมาจากรถม้าห้าคันของสำนักศึกษาเฟิงหัว หลังจากที่ฝูงชนเห็นชายหนุ่มผู้เย็นชาเคร่งขรึมสองคนสุดท้ายปรากฏตัว รถม้าก็เคลื่อนที่ออกไป พวกเขาไม่เห็นใครอื่นปรากฏตัวขึ้นอีก นั่นทำให้คนที่แอบดูทั้งหมดสับสนเป็นอย่างมาก
“ทำไมสำนักศึกษาเฟิงหัวมีแค่สิบคนเองเล่า” พวกผู้เยาว์พากันงุนงง พวกเขาไม่อาจจะเข้าใจได้เลย สำนักศึกษาทุกสำนักที่เข้าร่วมศึกประลองภูติวิญญาณจะมีที่ว่างสิบที่ แต่พวกเขาเห็นคนของสำนักศึกษาเฟิงหัวเพียงสิบคนเท่านั้น และสามคนในนั้นก็ดูเกินวัยที่จะเข้าร่วมการประลองไปแล้ว
และในเจ็ดคนที่เหลือ พวกเขาก็เห็นฟ่านจิ่นเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
หลังจากสถานการณ์วุ่นวายในสำนักศึกษาเฟิงหัวสงบลง ฟ่านจิ่นไม่ได้เป็นศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวอีกต่อไปแล้ว เขารับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ไปแล้ว พวกเขาจึงสงสัยว่าเขายังมีสิทธิ์เข้าร่วมศึกประลองภูติวิญญาณอยู่หรือไม่
ถ้าสิ่งที่พวกเขาเห็นถูกต้อง จำนวนคนของสำนักศึกษาเฟิงหัวที่จะเข้าร่วมศึกประลองภูติวิญญาณจะมีเพียงแค่หกคนเท่านั้น
และในกลุ่มนั้นก็มีคนตัวเล็กที่ดูเด็กมากและยังดูผอมแห้งและอ่อนแอมากอีกด้วย เจ้าตัวเล็กนั่นเป็นตัวแทนสำนักศึกษาเฟิงหัวในศึกประลองภูติวิญญาณได้จริงๆ น่ะหรือ
ตอนนั้นเองคนทั้งหมดที่เฝ้าดูอยู่ก็เห็นพ้องต้องกันโดยไม่ต้องพูดเลย
สำนักศึกษาเฟิงหัวร้างผู้คนเสียแล้ว พวกเขาไม่สามารถกระทั่งจะหาคนให้ครบสิบคนเพื่อเข้าร่วมศึกประลองภูติวิญญาณได้ และแค่กวาดๆ เอาหกคนนี้มารวมกันเท่านั้น ถึงแม้ทุกคนจะมีหน้าตาที่ไม่ธรรมดา แต่ศึกประลองภูติวิญญาณนั้นใช้พลังความแข็งแกร่งไม่ใช่หน้าตา
เกือบทุกคนที่นั่นทึกทักเอาเองแล้วว่าสำนักศึกษาเฟิงหัวได้ยอมแพ้ในศึกประลองภูติวิญญาณก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นเสียอีก
เมื่อเห็นว่าคนของสำนักศึกษาเฟิงหัวเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว พวกผู้เยาว์ที่เฝ้าดูอยู่ก็เริ่มหันหลังจากไป และข่าวก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง
ตอนที่ 754 รัฐเหยียน (5)
การจัดเตรียมที่พักที่รัฐเหยียนจัดให้แก่สำนักศึกษาต่างๆ นั้นทำได้ดีมาก มีคนมายืนรอต้อนรับแขกจากสำนักศึกษาเฟิงหัวอยู่แล้ว
สำนักศึกษาเฟิงหัวปีที่แล้วพาคนมาประมาณสามสิบคน รัฐเหยียนจึงเตรียมสถานที่ที่สามารถจุคนห้าสิบคนเข้าพักได้ ดังนั้นเมื่อเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเห็นคนแค่สิบคนเดินเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งค้างไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็ได้สติอย่างรวดเร็วและต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้มต่อไป
“ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติของเรา ห้องทั้งหมดจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ ในระหว่างนี้ขอเชิญทุกท่านพักผ่อนกันก่อน อีกไม่นานอาหารจะพร้อมรับประทาน หลังจากแขกผู้มีเกียรติทุกท่านพักผ่อนแล้ว เราจะยกสำรับไปให้พวกท่านที่ห้องโถงชั้นสองขอรับ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมปรับตัวได้อย่างว่องไว เขาแจ้งให้ทราบพร้อมรอยยิ้ม
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย นางกับทุกๆ คนต่างเดินไปที่ห้องของตัวเองเพื่อจัดเก็บข้าวของ
เมื่อมาถึงห้อง จวินอู๋เสียก็วางสัมภาระที่นางถือมาลงบนโต๊ะ และอุ้มเจ้าแมวดำตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน
ผ่านมาเดือนกว่าแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมศึกประลองภูติวิญญาณ สถานการณ์ในสำนักศึกษาเฟิงหัวเป็นอย่างที่ฟ่านจิ่นคาดการณ์เอาไว้ พวกเขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่สุดๆ แม้แต่ศิษย์ที่มีพรสวรรค์น้อยนิดที่สุดก็ยังเลือกไปจากพวกเขา และเขียนข้อแก้ตัวง่ายๆ ใส่จดหมายบางๆ และจัดการส่งมาที่สำนักศึกษาเฟิงหัวอย่างเร่งรีบเพื่อตัดขาดกับสำนักศึกษาเฟิงหัว ศิษย์ที่กลับมาในตอนต้นปีเป็นศิษย์ที่มีความสามารถกลางๆ และมีจำนวนประมาณสามร้อยคนเท่านั้น ต่อให้รวมศิษย์ที่เลื่อนขึ้นมาจากตึกรองไปด้วย ก็มีจำนวนทั้งสิ้นเกือบสี่ร้อยคนเท่านั้น
จำนวนนี้เมื่อเทียบกับจำนวนเดิมที่เคยมีแล้วเรียกได้ว่าสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดเลยทีเดียว
แต่การจากไปของลูกศิษย์ยังไม่ใช่ปัญหาที่วิกฤตที่สุด สิ่งที่จะทำให้พวกเขาพังพินาศจริงๆ ก็คือการจากไปของพวกอาจารย์ สำนักศึกษาเฟิงหัวเคยมีอาจารย์มากกว่าหนึ่งร้อยคน แต่ตอนนี้กลับเหลือไม่ถึงสิบคน
ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สำนักศึกษาเฟิงหัวจะต้องทำผลงานให้ดีในศึกประลองภูติวิญญาณในปีนี้ ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้รับชื่อเสียงกลับมาอีกครั้ง!
จวินอู๋เสียอุ้มแมวดำตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน นิ้วของนางลูบไล้ขนของมันช้าๆ ในใจของนางกำลังวางแผนการขั้นต่อไป
ตอนแรกฟ่านจิ่นตั้งใจจะใส่คนไปให้ครบเต็มสิบที่นั่งตามจำนวนที่พวกเขาได้รับมาสำหรับศึกประลองภูติวิญญาณ แต่พวกเขาไม่สามารถหาศิษย์ที่เหมาะสมพอที่จะส่งขึ้นเวทีประลองได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจทิ้งไป แทนที่จะเอาศิษย์ธรรมดาๆ ขึ้นไปสร้างความอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียงให้แก่สำนักศึกษาเฟิงหัวในช่วงเวลาที่คับขันที่สุดนี้
ดังนั้นจวินอู๋เสียจึงปฏิเสธข้อเสนอแนะของฟ่านจิ่นก่อนที่พวกเขาจะเดินทางออกจากสำนักศึกษา
ศึกประลองภูติวิญญาณจะมีนางเข้าร่วมพร้อมกับเฉียวฉู่และพรรคพวกโดยไม่รวมฟ่านจิ่นเข้าไปด้วย
ในเดือนที่พวกเขาต้องเตรียมตัว จวินอู๋เสียไม่เพียงแต่รักษาฟ่านจิ่นกับใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะจนหายดีเท่านั้น ด้วยความช่วยเหลือของจวินอู๋เย่า พลังวิญญาณของนางได้ยกระดับสูงขึ้นไปอีกขั้นจนถึงจุดสูงสุดของขั้นสีเขียวแล้ว! อีกไม่กี่วันนางก็จะทะลวงเข้าสู่ขั้นสีน้ำเงิน และเยี่ยซากับเยี่ยเม่ยได้เตรียมภูติวิญญาณไว้สำหรับให้นางทะลวงขั้นแล้ว สิ่งเดียวที่นางต้องทำก็คือรอจนกว่าพลังวิญญาณของนางจะสะสมจนถึงระดับที่เพียงพอ นางก็จะสามารถทะลวงขั้นพลังได้
“แบ๊ะ” ขนของใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว เจ้าแกะน้อยกำลังนอนอยู่บนพื้นข้างๆ เท้าของจวินอู๋เสียพลางส่งเสียงร้องเบาๆ
ถึงแม้ขนของมันจะยังไม่นุ่มปุกปุยเช่นแต่ก่อน แต่ก็เพียงพอที่จะปกคลุมผิวหนังสีชมพูอ่อนนุ่มของมัน มองเผินๆ ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะก็ดูเหมือนเมื่อก่อน ต้องสังเกตให้ดีถึงจะพบว่ามัน ‘ผอมลง’ เล็กน้อย
ครู่ต่อมา เสียงเคาะประตูห้องของจวินอู๋เสียก็ดังขึ้น และโดยไม่รอให้นางลุกขึ้นไปเปิดประตู ประตูก็ถูกผลักเปิดออกแล้ว
จวินอู๋เย่ายืนพิงกรอบประตูพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจบนใบหน้า ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะเดินมานั่งที่โต๊ะข้างๆ จวินอู๋เสีย
“เดินทางมาตั้งไกล น่าจะได้เวลากินข้าวแล้วนะ” จวินอู๋เย่าพูดพร้อมกับยิ้มให้
จวินอู๋เสียพยักหน้าและทิ้งเจ้าแมวดำตัวน้อยกับใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเอาไว้ในห้องพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกไป