บทที่ 384 ทายเดิมพัน

บทที่ 384 ทายเดิมพัน

กู้เสี่ยวหวานจะทายปริศนา? เมื่อสักครู่พวกเขาไม่ได้ยินผิดใช่หรือไม่?

“กู้เสี่ยวหวาน เจ้า… เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ เจ้าจะทายปริศนาอย่างนั้นหรือ?” กู้จือเหวินหัวเราะจนเกือบจะหายใจไม่ออก และเอ่ยถามด้วยความไม่เชื่อ

“ใช่แล้ว!” กู้เสี่ยวหวานมีท่าทีจริงจังและไม่เหมือนกับคนที่พูดล้อเล่น หลังจากที่กู้จือเหวินหัวเราะ เขาก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ได้ ถ้าเจ้าอยากทาย ข้าก็จะไปกับเจ้าเอง ไปกันเถอะ… ”

“ช้าก่อน เรามาสร้างกฎกัน!” กู้เสี่ยวหวานกล่าว

“กฎอะไร?”

“ถ้ามีผู้ชนะหรือผู้แพ้จะทำอย่างไร?” ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเป็นประกาย หากแต่แฝงไปด้วยความเย็นชา

ราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องน่าขัน กู้จือเหวินหัวเราะโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ เขาชี้ไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยาม

หลังจากหัวเราะแล้ว เขาก็กล่าวว่า “เอาล่ะ เรามาสร้างกฎกันเถอะ!”

“มันง่ายมาก กฏก็เหมือนเมื่อครู่ ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะขอโทษเจ้าต่อหน้าทุกคนและบอกว่าข้าไม่เก่งเท่าเจ้า แต่ถ้าข้าชนะ เจ้าก็ต้องพูดต่อหน้าทุกคนว่าเจ้าไม่เก่งเท่าข้า!” กู้เสี่ยวหวานกล่าว

กู้จือเหวินกำลังจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่กู้หนิงอันโต้กลับทันที “ไม่ได้ ท่านพี่ ถ้าท่านแพ้ ข้าจะขอโทษและบอกว่าข้าไม่เก่งเท่าเขาเอง!”

กู้หนิงอันไม่ต้องการให้พี่สาวขอโทษกู้จือเหวิน

ใบหน้าของฉินเย่จือภายใต้หน้ากากขยับเล็กน้อย กู้หนิงอันไม่ต้องการทำให้กู้เสี่ยวหวานอับอาย กู้เสี่ยวหวานยอมรับการยั่วยุของกู้จือเหวินเพื่อรักษาหน้าให้กู้หนิงอัน คนสองคนนี้มักจะคิดถึงกันตลอดเวลา พวกเขาช่างเป็นพี่น้องที่รักกันดีจริง ๆ

เมื่อกู้จือเหวินได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ปรบมือทันทีและกล่าวว่า ‘ตกลง’ แสดงท่าทางมั่นใจของเขาราวกับว่ากู้เสี่ยวหวานจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

ทันทีที่เขานึกถึงปริศนาทั้งสองข้อเมื่อครู่นี้ และกู้หนิงอันที่กำลังจะต้องกล่าวว่าเขาไม่เก่งเท่าตนเองต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก กู้จือเหวินก็รู้สึกภาคภูมิใจในใจของเขา หากพรุ่งนี้ไปเรียน เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะกล่าวเรื่องนี้ให้ทั่วสำนักศึกษา มาดูกันว่าในอนาคต กู้หนิงอันจะเชิดหน้าชูคอต่อไปได้อย่างไร

สวีเซียนหลินมักจะยกย่องกู้หนิงอัน บอกว่าเขามีพรสวรรค์และเชื่อฟัง หลังจากคืนนี้ มาดูกันว่าสวีเซียนหลินจะยกย่องเขาต่อไปหรือไม่!

สวีเฉิงเจ๋อกังวลเล็กน้อย เขาก้าวไปข้างหน้าฉับไว ดึงแขนเสื้อของกู้เสี่ยวหวานและกระซิบว่า “เสี่ยวหวาน เจ้าอย่าไปแข่งกับเขา กู้จือเหวินเก่งในการทายปริศนามาก!”

หากนางแพ้ กู้หนิงอันก็ต้องขอโทษกู้จือเหวินและต้องกล่าวออกจากปากตนเองว่าเขาไม่ดีเท่ากู้จือเหวิน สวีเฉิงเจ๋อกลัวว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้น ในวันพรุ่งนี้ที่สำนักศึกษา ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นจะรังแกกู้หนิงอันอย่างไรบ้าง

กู้เสี่ยวหวานส่งสายตาปลอบใจและกระซิบกลับไปว่า “พี่เฉิงเจ๋อไม่ต้องกังวล ไม่มีปริศนาใดในโลกนี้ที่กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถทายได้!”

หลังจากได้ยินสิ่งนี้ นางก็เลิกคิ้วขึ้นเบา ๆ ดวงตากลมโตสว่างไสวและสูงส่งราวกับดวงจันทร์ในตอนกลางคืน สายตาของนางสงบนิ่งและฉายชัดถึงความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม สวีเฉิงเจ๋อตกตะลึงชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อเขากลับมารู้สึกตัว พวกเขาก็เดินไปไกลแล้ว

กู้เสี่ยวอี้ที่อยู่ด้านข้างดึงสวีเฉิงเจ๋อ และรู้สึกกระวนกระวายใจ “พี่เฉิงเจ๋อ เร็วเข้า พวกท่านพี่เดินไปไกลแล้ว!”

สวีเฉิงเจ๋ออุ้มกู้เสี่ยวอี้ขึ้นมาทันที “ใช่ ๆ พวกเรารีบไปกันเถอะ!”

เมื่อมาถึงด้านหน้าโคมวังหลวง คาดว่าโคมวังหลวงนี้คงจะเป็นอันที่ยากที่สุด เพราะมีคนรับใช้เฝ้าอยู่หน้าโคมเป็นพิเศษด้วย มีคนสองคนถือถาดซึ่งคลุมด้วยผ้าอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่

คนรับใช้ที่นำทางมาเมื่อสักครู่นี้ไปเชิญใครบางคนมาที่นี่ คนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น แม้ว่าเขาจะแต่งกายด้วยชุดพ่อบ้าน แต่ชุดที่เขาสวมใส่นั้นทำจากผ้าที่มีคุณภาพดี เขาน่าจะอายุประมาณสามสิบปี รูปร่างผอมบาง เคราสั้น ดวงตาเป็นประกาย

“นายน้อยทุกท่าน นี่คือหัวหน้าพ่อบ้านของข้า” คนรับใช้แนะนำ

จ้าวเซิงลูบเคราด้วยมือซ้ายของเขา เมื่อสักครู่ที่เขากำลังเดินมา คนรับใช้ก็บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

จ้าวเซิงยิ้ม และทำความเคารพกู้จือเหวินกับกู้เสี่ยวหวาน และกล่าวคำทักทาย “ข้าจ้าวเซิง เป็นพ่อบ้านของจวนแห่งนี้ วันนี้ข้าโชคดีที่ได้ตั้งปริศนานี้ในเมืองหลิวเจียและได้เจอกับนายน้อยผู้นี้ที่เก่งกาจและมีทักษะในการทายที่ยอดเยี่ยม ข้าขอเชิญนายน้อยและคุณหนูมาดูปริศนาในบ้านของเราที่ไม่มีใครทายได้มาห้าปีแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานก็โค้งคำนับเช่นกัน แต่กู้จือเหวินยืนนิ่งและไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย ท่าทางเช่นนี้ราวกับว่าเขาดูถูกจ้าวเซิงเป็นอย่างมาก

จ้าวเซิงนั้นมีสีหน้านิ่งสงบ เขาชี้ไปที่โคมวังหลวงขนาดใหญ่สองดวงที่อยู่ข้างหลังเขาแล้วกล่าวว่า “นายน้อย คุณหนู นี่เป็นปริศนาที่ยากที่สุดที่เรามีอยู่ที่นี่ และไม่มีใครทายปริศนานี้ได้มาหลายปีแล้ว เพราะปริศนานี้ทายได้ยาก โคมวังหลวงจึงมีขนาดใหญ่และดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีของขวัญอยู่อีกด้วย หากใครสามารถทายได้ ของขวัญชิ้นนี้จะตกเป็นของผู้นั้นทันที!”

เมื่อเขากล่าวจบแล้ว คนรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยกผ้าขึ้นจากถาดสองใบ เผยให้เห็นว่าข้างในแต่ละถาดมีเงินห้าสิบตำลึงเงินวางอยู่

“เนื่องจากเรามีปริศนาให้ทายจำนวนสองข้อ จึงมีเงินรางวัลสองถาด ถาดละห้าสิบตำสึงเงิน รวมเป็นหนึ่งร้อยตำลึงเงิน!” จ้าวเซิงกล่าวอย่างตื่นเต้น

ทุกคนสูดอากาศเย็น การทายปริศนาเพียงสองข้อถึงกับต้องให้เงินถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน นายท่านตระกูลนี้ช่างใจกว้างเสียจริง

เพียงแต่ทุกคนไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า เพราะพวกเขาเห็นปริศนาแล้ว แต่ทายอย่างไรก็ทายไม่ถูก คราวนี้ เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เกรงว่าพวกเขาคงจะทายปริศนามาเป็นจำนวนมาก จึงลองมาทายปริศนาข้อที่ยากที่สุด

จากนั้นกู้จือเหวินยิ้มอย่างมั่นใจ “เอาล่ะ ข้าจะทายให้พวกเจ้าเห็นเอง” หลังจากกล่าวจบแล้ว เขาก็มองกลับไปที่กู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงอันพลางเยาะเย้ย “กู้หนิงอัน เจ้าอย่าลืมข้อตกลงเมื่อครู่ของพวกเราเสียล่ะ!”

ฝูงชนเต็มไปด้วยผู้คนที่เฝ้ารอดูด้วยความตื่นเต้น รวมทั้งเด็กบางคนในสำนักศึกษา เมื่อเห็นว่ากู้จือเหวินรุดขึ้นหน้ามาเพื่อทายปริศนา เขาตะโกนเสียงดังว่า “จือเหวินสู้ ๆ”

กู้จือเหวินโบกมืออย่างเย่อหยิ่งและกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติ เมื่อข้าชนะ ข้าจะนำเงินนี้ไปเลี้ยงอาหารทุกคนเอง

คนรอบข้างต่างโห่ร้องอยู่ครู่หนึ่ง กู้เสี่ยวหวานมองดูอย่างเย็นชา กู้จือเหวินผู้นี้ กู้เสี่ยวหวานไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน ยังไม่ทันได้เห็นปริศนา แต่ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าตนเองจะชนะ

กู้จือเหวินค่อนข้างมั่นใจในความสามารถการทายปริศนาของตนเองมาก

กู้ฉวนลู่ไม่รู้ว่าไปหาหนังสือทายปริศนาที่ไหนมามากมาย และกู้จือเหวินก็ได้อ่านมันมาตลอด อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กู้จือเหวินได้ทายปริศนาทั้งหมดในหนังสือเหล่านั้นได้ เชื่อว่าครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น

ครั้นกู้จือเหวินได้อ่านปริศนาข้อแรก เขาก็ต้องตกตะลึง หลังจากไม่ได้กล่าวอะไรเป็นเวลานาน เขาก็ไปดูปริศนาที่สอง และทันใดนั้นหน้าผากของเขาก็มีเหงื่อผุดซึมออกมา

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

กู้จือเหวิน นายคิดว่าจะเอาชนะกู้เสี่ยวหวานสาวอายุสามสิบจากโลกอนาคตได้งั้นเหรอคะ?

ไหหม่า(海馬)