บทที่ 383 ทายปริศนา

บทที่ 383 ทายปริศนา

กู้หนิงอันได้เรียนรู้บางอย่างและไปทายปริศนาด้วย แต่เขาไม่มีความชำนาญในเรื่องนี้ แค่ทายเพียงหนึ่งหรือสองข้อก็แทบจะทายไม่ออกแล้ว อีกด้านหนึ่ง กู้จือเหวินทายออกเจ็ดหรือแปดข้อติดต่อกัน

กู้จือเหวินมองย้อนกลับไปและเห็นว่ากู้หนิงอันยังคงคิดหนักอยู่หน้าโคมไฟ เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสวีเฉิงเจ๋ออย่างมีชัยราวกับว่าเขาจะบอกสวีเฉิงเจ๋อว่ากู้หนิงอันไม่ดีเท่าเขา

สวีเฉิงเจ๋อเองก็ยืนอยู่หน้าโคมไฟเช่นกัน แต่เป็นเพราะเขากำลังใช้ความคิดจึงไม่เห็นสายตาของกู้จือเหวิน

“โอ้? ทายได้เพียงข้อเดียวก็ทายข้อต่อไปไม่ออกแล้วหรือ? พี่ชายของข้าทายออกไปแล้วถึงเจ็ดแปดข้อ” ในมือของกู้ซินเถาเต็มไปด้วยโคมไฟ เมื่อเห็นกู้หนิงอันและคนอื่น ๆ ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ นางจึงกล่าวออกมาอย่างหยิ่งผยอง

เมื่อมองดูโคมวังหลวงในมือ นางก็หยิบโคมไฟดวงที่เล็กที่สุดออกมาและมอบมันให้กู้เสี่ยวอี้ด้วยท่าทีลำบากใจ นางยื่นโคมไฟให้กู้เสี่ยวอี้และกล่าวอย่างเสียดายว่า “นี่ กู้เสี่ยวอี้ ข้าจะให้โคมวังหลวงแก่เจ้าหนึ่งดวง เกรงว่าเจ้าคงจะไม่เคยเห็นมันมาก่อนสินะ!”

ท่าทางที่เย่อหยิ่งนั้นราวกับว่านางกำลังให้ทานแก่พวกเขา กู้เสี่ยวอี้เงยศีรษะขึ้นและเอามือไพล่หลัง นางไม่ยอมรับสิ่งของของกู้ซินเถา และไม่ได้ชายตามองแม้แต่น้อย เมื่อกู้ซินเถาเห็นว่ากู้เสี่ยวอี้ไม่สนใจนางและสิ่งของที่อยู่ในมือ สาวน้อยผู้นี้ไม่แม้แต่จะเอื้อมมือมารับมันด้วยซ้ำ นางจึงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าอยู่ในใจ เจ้าเด็กบ้า เจ้าทำให้ข้าเสียหน้า

กู้เสี่ยวอี้ไม่สนใจว่านางทำให้กู้ซินเถาเสียหน้าหรือไม่ แต่นางไม่ได้มองดูสิ่งที่อยู่ในมือของกู้ซินเถาเลยสักนิดเดียว

สำหรับโคมไฟนี้ พี่สาวได้ทำโคมม้าวิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนให้นางแล้ว เหตุใดนางจะต้องรับโคมไฟที่เล็กและพังที่สุดในมือของกู้ซินเถาด้วย

กู้ซินเถาดึงมันกลับมาอย่างโกรธเคือง เมื่อไม่มีใครต้องการมัน นางจึงโยนมันลงบนพื้น เมื่อเทียนในโคมวังหลวงเอียง ไฟก็ลุกไหม้ชั้นกระดาษที่ติดอยู่ด้านนอกทันที และกลายเป็นเถ้าถ่านไปในพริบตา

กู้เสี่ยวหวานหันมองกลับมาแล้วเหลือบมองกู้ซินเถา สีหน้าท่าทางของกู้ซินเถามีเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

อีกด้านหนึ่ง กู้จือเหวินเดินกลับมาอย่างมีชัย เขาหยุดอยู่ข้างกู้หนิงอัน และหยิบปริศนาจากมือของกู้หนิงอันมาทายด้วยความกระตือรือร้น

หลังจากมองอยู่สักพัก เขาก็ไขคำถามของปริศนาออก คนรับใช้ผู้นั้นก็ยิ้มและชมว่านายน้อยฉลาดมาก และคราวนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาทายถูก

เมื่อกู้จือเหวินเห็นว่าเขาสามารถทายปริศนาที่กู้หนิงอันไม่สามารถทายได้ เขาคิดว่าเขาเก่งกว่ากู้หนิงอัน ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาภูมิใจมากแค่ไหน

สวีเฉิงเจ๋อก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นสีหน้าพึงพอใจของกู้จือเหวิน แล้วจึงมองไปที่กู้หนิงอัน แม้ว่าเมื่อสักครู่เขาจะไม่สามารถทายปริศนาได้ แต่ก็ไม่มีสัญญาณของความเสียดายหรือความเศร้าบนใบหน้าของเขาเลยเลย เด็กผู้นี้เกรงว่าคงจะมีอนาคตที่ดีเป็นแน่

เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนเก่งกาจยิ่งนัก กู้ซินเถาก็ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านเก่งเกินไปแล้ว! กู้เสี่ยวหวาน พี่ชายของข้าเก่งกว่าน้องชายของเจ้าเสียอีก!”

กู้จือเหวินเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งราวกับว่าเพลิดเพลินกับการสรรเสริญของกู้ซินเถา

เขามองไปที่กู้หนิงอัน แต่เมื่ออีกฝ่ายก้มหน้าลง จึงคิดว่าเขาเศร้าเพราะเขาทายปริศนาไม่ได้

กู้เสี่ยวหวานรีบบีบมือกู้หนิงอันอย่างปลอบใจ แต่กู้หนิงอันไม่ได้เสียใจเพราะทายปริศนาไม่ได้ แต่เขาเสียใจเพราะประโยคที่กู้ซินเถากล่าวเมื่อสักครู่ เมื่อไรที่เขาจะทำให้พี่สาวภูมิใจในตัวเขาได้กัน?

กู้หนิงอันยิ้มเบา ๆ ราวกับจะปลอบโยนกู้เสี่ยวหวาน

ในเวลานี้คนรับใช้เพิ่งเข้ามาและกล่าวกับกู้จือเหวินด้วยความเคารพ “นายน้อย ยังมีโคมวังหลวงสองดวงอยู่ที่หน้าบ้านของข้า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทายคำตอบของปริศนานี้ได้ ถ้านายน้อยสนใจก็สามารถไปดูได้”

ตอนจบมาแล้ว!

ทันทีที่กู้จือเหวินได้ยินว่ามีปริศนาที่ตอนนี้ยังทายไม่ออก เขาก็เริ่มสนใจในทันที เขาไม่เคยเห็นสิ่งที่เขาทายไม่ได้ จึงกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “กู้หนิงอัน ยังมีปริศนาอีกสองข้อรออยู่ข้างหน้า เจ้ากล้าเข้าร่วมการแข่งขันกับข้าหรือไม่”

กู้หนิงอันทายไม่ค่อยเก่ง กู้เสี่ยวหวานรู้เรื่องนี้ดี ในปีนี้เด็กคนนี้เพิ่งเข้าเรียนปีแรก แน่นอนว่าเขาคงเก่งได้ไม่เท่ากู้จือเหวินที่เรียนมาแล้วหลายปี

เมื่อเห็นว่ากู้จือเหวินต้องการกลั่นแกล้งกู้หนิงอัน สวีเฉิงเจ๋อก็มีใบหน้าบิดเบี้ยวและก้าวไปข้างหน้าพลางกล่าวว่า “จือเหวินอย่าทำเช่นนี้! หนิงอันเพิ่งจะเข้าสำนักศึกษาในปีนี้ การที่เขาจะทายปริศนาไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด!”

เมื่อได้ยินสวีเฉิงเจ๋อกล่าวเช่นนี้ กู้จือเหวินก็เก็บสีหน้าไม่อยู่ “อาจารย์สวี ข้ารู้ว่ากู้หนิงอันเป็นศิษย์รัก แต่ข้าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตอาจารย์สวีเพื่อแข่งขันกับเขา กู้หนิงอันจะไม่แข่งขันก็ได้ แต่เขาต้องพูดออกมาก่อนว่า ‘ข้าเก่งไม่เท่ากู้จือเหวิน’ และเรื่องนี้จะจบลง”

ทันทีที่กู้จือเหวินกล่าวออกมา กู้เสี่ยวหวานก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการคุกคามกู้หนิงอัน เพียงเพราะเห็นว่ากู้หนิงอันไม่สามารถทายปริศนาได้? กู้ซินเถาตะโกนอย่างมีความสุข “ดี ๆ ความคิดนี้ดี!” นางคงเกรงว่าโลกจะไม่วุ่นวาย*[1] สินะ

ช่วงเวลานี้ สิ่งที่กู้จือเหวินพูดถึงมากที่สุดเมื่อตอนอยู่ที่บ้านก็คือเรื่องของกู้หนิงอัน ทันทีที่กู้หนิงอันเข้าเรียนที่สำนักศึกษา เขาก็ดึงดูดความสนใจของอาจารย์ไป กู้จือเหวินโกรธมาก กู้ซินเถาเองรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน

ครั้งนี้พี่ชายของนางทายปริศนาได้มากมาย แต่กู้หนิงอันทายได้เพียงข้อเดียว แน่นอนว่ากู้หนิงอันก็ไม่ได้เก่งเท่าพี่ชายของนางไม่ใช่หรือ แต่ทำไมอาจารย์สวีต้องออกหน้ามาพูดแทนกู้หนิงอันด้วย ไม่รู้ว่าอาจารย์สวีมีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า ถึงไม่ชอบนักเรียนที่เรียนเก่ง แต่กลับไปชอบนักเรียนที่โง่งม

“สิ่งที่อาจารย์สวีพูดออกมาเมื่อสักครู่ อาจารย์คิดว่ามันไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่ามันค่อนข้างยุติธรรมนะ อาจารย์สวีใหญ่มักจะพูดในห้องเรียนว่ากู้หนิงอันเป็นคนที่หายากและมีพรสวรรค์ในการเรียน ในเมื่อมีพรสวรรค์ เหตุใดถึงทายปริศนาง่าย ๆ เหล่านี้ไม่ออกกันล่ะ?” กู้จือเหวินเยาะเย้ย เขาเหลือบมองสวีเฉิงเจ๋อและกู้หนิงอันพลางกล่าวอย่างชั่วร้ายว่า “หนิงอันกับข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ถ้าหนิงอันยอมรับในวันนี้ว่าเขาไม่เก่งเท่าข้า แค่นี้เรื่องก็จบแล้ว และข้าก็จะไม่ตามวอแวเขาอีกต่อไป!”

กู้จือเหวินดูเหมือนจะระบายความโกรธที่เขามีที่สำนักศึกษาออกมาที่นี่

กู้เสี่ยวหวานจ้องไปที่กู้จือเหวินอย่างโกรธเคืองและกล่าวโดยไม่ต้องคิด “กู้จือเหวิน เจ้าหมายถึงแค่ทายปริศนานี้ก็พอใช่หรือไม่? เช่นชั้นข้าจะไปกับเจ้าเอง!”

กู้เสี่ยวหวานมองหน้าเขาอย่างจริงจัง

เมื่อกู้จือเหวินได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานต้องการมาทายปริศนาแทน เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มันราวกับว่าเขาหูแว่วไป เขามองไปที่ใบหน้าที่จริงจังของกู้เสี่ยวหวาน จากนั้นกู้จือเหวินก็กุมท้องและหัวเราะออกมาเสียงดัง กู้ซินเถาที่อยู่ด้านข้างก็โยนโคมวังหลวงในมือของนางทิ้ง และกุมท้องหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

*[1] หวังว่าโลกจะวุ่นวายเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของตัวเอง