มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่ได้สอบถามอย่างงั้นหรือ
เมื่อทุกคนได้ยินอวี้จิ่นกล่าวดังนั้น ก็พากันตกใจและมองไปรอบๆ
โต๊ะที่จัดไว้สำหรับสตรีมีทั้งสิ้นแปดโต๊ะ เมื่อครู่แม้แต่เสียนเฟยกับองค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ไม่มีการยกเว้น แต่ละคนล้วนถูกถามจนสิ้นแล้ว ยังมีผู้ใดอีกที่ยังไม่ได้ถาม
“ช้าก่อน เยี่ยนอ๋องกล่าวว่ามีคนบางกลุ่มที่ยังไม่ได้สอบถาม…”
ใครบางคนไม่อาจจะทนได้อีกต่อไปจึงเอ่ยถามว่า “เป็นไปไม่ได้ หากขาดตกไปเพียงแค่คนสองคนอาจจะยังเป็นไปได้บ้าง เมื่อครู่ทุกคนล้วนจับตามองอยู่ จะเป็นไปได้อย่างไรว่ามีคนกลุ่มหนึ่งยังไม่ถูกสอบถาม คิดว่าทุกคนตาบอดหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นผู้มีอารมณ์ดี อีกทั้งนี่เป็นงานเลี้ยงของตระกูล ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงล้วนเป็นราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้การพูดจาจึงไม่เป็นทางการมากขึ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็มองไปหาอวี้จิ่นอย่างลึกล้ำรอคำอธิบาย
อวี้จิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิด
ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงเริ่มหมดความอดทน
ทันใดนั้นเองเขาก็ยื่นนิ้วออกมา ชี้ไปแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่ถูกตรวจสอบ”
เดิมทีทุกคนในห้องนั้นก็ให้ความสำคัญกับทุกกิริยาของเขา จึงได้มองไปทางนิ้วชี้ซึ่งอวี้จิ่นชี้ไป ก่อนจะผงะและตกตะลึง ทิศทางที่เยี่ยนอ๋องชี้ไปนั้นคือสตรีกลุ่มหนึ่งสวมชุดเปิดบ่าเล็กน้อยสีสันสดใส กระโปรงยาวลากพื้น พวกนางก็คือนางรำที่เริ่มร่ายรำตั้งแต่เปิดงานนั่นเอง
บรรดานางรำเมื่อถูกอวี้จิ่นชี้มาเช่นนั้น อีกทั้งมีสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้อง พวกนางล้วนตกใจแล้วคุกเข่าลงทันที ทุกคนตื่นตระหนกไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาสักคำ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าเจ็ด เจ้าหมายความว่า ผู้วางยาพิษเป็นหนึ่งในนางรำเหล่านี้หรือ”
นางรำเหล่านี้ไม่ได้ถูกคัดเลือกมาจากคนทั่วไป แต่พวกนางถูกคัดเลือกมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยให้เข้ามาเรียนรู้ทักษะการร่ายรำในวัง โดยทั่วไปแล้วพวกนางจะไปร่ายรำตามงานเลี้ยงต่างๆ ในพระราชวังไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่
หากจะบอกว่าผู้วางยาพิษคือหนึ่งในนางรำ ดูช่างเหลือเชื่อจริงๆ
ปฏิกิริยาแรกของบุคคลทั่วไปก็คือไม่เชื่อ
มีบางคนเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “นางรำเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ต่ำต้อย มีเหตุผลใดที่จะทำร้ายองค์หญิงผู้สืบทอด”
อวี้จิ่นมองไปยังต้นเสียงแล้วกล่าวว่า “แรงจูงใจในการทำร้ายองค์หญิงจะถูกพิจารณาในภายหลัง บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการสืบหาตัวผู้ร้าย เมื่อครู่ทุกท่านก็กล่าวเองว่าสตรีทั้งแปดโต๊ะได้เอ่ยถามทีละคนแล้ว ไม่มีผู้ใดขาดตกบกพร่องเลย แต่ฆาตกรคือหนึ่งในสตรีที่อยู่ในห้องโถงนี้ เช่นนั้นต่อให้คิดว่าไม่อาจเป็นไปได้ ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
ขณะที่เขากล่าวออกมานั้น ดวงตาก็กวาดมองไปยังใบหน้าของทุกคน และพบกับแววตาที่หลากหลายอารมณ์
นางรำเหล่านี้ร่ายรำไปทั่วห้องโถง ผู้ใดเล่าจะสามารถเคลื่อนไหวไปยังที่ใดก็ได้โดยไม่ถูกผู้อื่นสงสัยได้เช่นพวกนาง
เมื่อถูกอวี้จิ่นเอ่ยถามเช่นนั้น ทุกคนก็ตกตะลึงแล้วเริ่มรู้สึกหนาวเย็น
ไม่จำเป็นต้องหวนระลึกถึง แต่ในงานเลี้ยงทุกงาน นางรำจะไม่ได้เต้นรำอยู่เพียงกลางห้องโถง พวกนางจะโลดแล่นไปทั่วห้องเพื่อเพิ่มความสนุกสนานครึกครื้น
เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เยี่ยนอ๋องกล่าวมานั้นดูสมเหตุสมผล
ในงานเลี้ยง ทุกคนที่เดินทางออกจากที่นั่งของตนมักจะถูกจับตามอง มีเพียงนางรำเหล่านี้ที่เคลื่อนไหวไปได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปทางใดล้วนไม่มีใครจับตามอง
สิ่งที่มองข้ามได้ง่าย มักจะเป็นเพียงเรื่องธรรมดาที่พบเห็นไปทั่ว
ในไม่ช้านางรำทั้งหลายก็คุกเข่าลงเป็นแถว อวี้จิ่นเดินผ่านหน้าพวกนางไปอย่างช้าๆ
นางรำเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นทรงผมหรือเครื่องเเต่งกายก็ล้วนเหมือนกันแม้กระทั่งรูปร่างสัดส่วน เมื่อนางทั้งหลายคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเช่นนี้ยังยากที่จะแยกแยะได้
หากผู้วางยาพิษจะเป็นหนึ่งในบรรดานางรำเหล่านี้ แต่เยี่ยนอ๋องจะรู้ได้อย่างไร
ทุกคนล้วนตื่นตระหนกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บรรดาเชื้อพระวงศ์ล้วนไร้หัวจิตหัวใจ บัดนี้มีองค์หญิงสิ้นพระชนม์ไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่จะมีสักกี่คนกันที่เสียใจจริงๆ ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อตนรอดพ้นจากการถูกสงสัย ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในที่นั้นก็ล้วนรู้สึกตื่นเต้นเหมือนถูกกระตุ้น
อวี้จิ่นยังคงเดินวนเวียนอยู่รอบๆ
ในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดเอ่ยขึ้นขัดจังหวะเลย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ฝีเท้าของเขาจึงได้หยุดลงแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้พิจารณาดูแล้ว พวกนางทุกคนทำทรงผมทรงสูง สวมเสื้อผ้าสีสันสดใสและใส่กระดิ่งที่ข้อเท้า นอกเสียจากคนนำ คนอื่นล้วนไม่มีผู้ใดแต่งตัวแตกต่างออกไป แต่ข้ากำลังครุ่นคิดว่าหนึ่งในพวกนางแอบไปวางยาได้อย่างไร”
เมื่อคำถามนี้เอ่ยถามออกมาก็ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ มีคนบางกลุ่มสายตาเป็นประกายขึ้นดูเหมือนจะเข้าใจในบางอย่าง แต่พวกเขาไม่สามารถพูดได้ เฉกเช่นเดียวกับดอกไม้ที่อยู่ท่ามกลางสายหมอกปกคลุมเลือนราง
นั่นสิ นางรำเหล่านี้วางยาพิษอย่างไรโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเย็นเยียบราวน้ำแข็ง “กิริยาท่าทางนั้นจะต้องรวดเร็วมาก และจะต้องไม่ทำสิ่งผิดปกติใดให้ผู้คนสามารถมองเห็นได้ ดังนั้น…”
เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางรำที่สวมรองเท้าส้นเตี้ยปักด้วยลวดลายสีทองคนหนึ่ง
“ดังนั้นอะไรเล่า น้องเจ็ดเจ้าอย่าได้ทำชักช้าลังเลไป” หลู่อ๋องอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
สายตาอันเคร่งขรึมกวาดมองไปจนทำให้หลู่อ๋องชะงักลงแล้วก้มหน้านิ่ง
เขาก็เพียงแค่อยากรู้จึงเอ่ยถามไม่ได้หรือไร เสด็จพ่อคงเห็นเขาไม่เข้าตาเอาเสียเลย
“ดังนั้นข้าจึงเดาว่า ไม่ว่าผู้วางยาพิษนั้นในเดิมทีจะซ่อนพิษไว้ที่ใด แต่วินาทีที่จะวางพิษนั้นลงไป คงจะซ่อนไว้ในเล็บเป็นแน่ เนื่องจากด้วยเหตุนี้เพียงนางสะบัดนิ้วเล็กน้อย ก็สามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่รู้ไม่ชี้และใส่ยาพิษลงไปสำเร็จก่อนจะถอยออกมา” อวี้จิ่นกล่าวจบก็มองไปทางหมอหลวง “หากว่าเล็บของสตรีเหล่านี้ยังมีพิษติดค้างอยู่ หมอหลวงสามารถตรวจพบได้หรือไม่”
หมอหลวงทั้งหลายพากันตอบรับว่า “ได้พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นจึงละสายตากลับมามองไปยังนางรำทั้งหลาย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “พวกเจ้าทุกคนยื่นมือออกมาให้หมอหลวงตรวจดู ผู้บริสุทธิ์จะได้รับการยกเว้นจากการถูกลงโทษ”
เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ นางรำทุกคนก็ลังเลใจเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกมาทีละคน คนอื่นๆ เห็นดังนั้นจึงได้ยื่นออกมาด้วย
สายตาของอวี้จิ่นค่อนข้างแหลมคม เขาสังเกตเห็นนางรำคนที่หกจากทางซ้ายซึ่งคุกเข่าอยู่
นางรำผู้นี้รูปร่างผอมบางกว่าคนอื่น บัดนี้ไม่รู้ว่านางกลัวหรือรู้สึกผิด มือที่ยื่นออกมาของนางสั่นไม่หยุด
ปลายนิ้วของนางสั่นคลอน แต่ก็ไม่ได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางกำลังพยายามยับยั้งตัวเองไม่ให้แสดงท่าทางกิริยาได้ที่ผิดปกติออกมา
อวี้จิ่นเดินตรงเข้าไปแล้วหยุดยืนอยู่หน้าร่างนางรำผู้นั้น
นางรำเงยหน้าขึ้นเหลือบมองดูเขา ทันใดนั้นนางก็กระโดดขึ้นมาแล้วตั้งใจจะวิ่งไปที่เสา
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ เมื่อทุกคนได้สติตอบสนองกลับคืนมาก็พบว่าเยี่ยนอ๋องกุมข้อมือของนางรำผู้นั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา นางไม่อาจขยับหรือดิ้นรนได้เลย
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบใดต่ออวี้จิ่นแม้แต่น้อย เขายังคงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “หมอหลวงเข้ามาตรวจสอบได้”
หมอหลวงเหล่านั้นจึงได้รีบก้าวเข้ามาด้านหน้าเพื่อตรวจดูเล็บของนาง
ผ่านไปไม่นานนัก หมอหลวงคนหนึ่งก็อุทานออกมาว่า “มือข้างซ้ายนิ้วที่สี่!”
นิ้วที่สี่ก็คือนิ้วนางนั่นเอง
“ถูกต้องแล้ว นางรำผู้นี้มีผงหญ้าไส้ขาดหลงเหลืออยู่ในซอกเล็บนิ้วนาง…”
“นำตัวมา!” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม
จากนั้นก็มีทหารรับใช้สองคนเดินตรงเข้าไปลากนางรำผู้นั้นมาอยู่ตรงหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองดูนางรำรูปร่างผอมเพรียวนางนี้ เขาไม่เข้าใจเสียจริงว่าเหตุใดสตรีที่ดูอ่อนแอเช่นนี้จึงต้องการวางยาพิษองค์หญิง
“ข้าขอถามเจ้าว่า เหตุใดเจ้าจึงต้องวางยาองค์หญิง”
ใบหน้าขนาดเท่าฝ่ามือของนางรำดูขาวซีด นางตัวสั่นและไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา
ไม่รู้ว่าอวี้จิ่นเดินตรงเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเอ่ยถามด้วยความเย็นชาว่า “ผู้ใดสั่งให้เจ้าทำ”
เป้าหมายของฆาตกรก็คือองค์หญิงฝูชิง ช่วงเวลาที่เลือกนั้นคือหลังจากที่องค์หญิงฝูชิงกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งนักหากจะบอกว่าไม่มีผู้ใดคอยบงการอยู่เบื้องหลังนางรำคนนี้ คาดว่าคงเป็นไปไม่ได้
“ไม่มี ไม่มีผู้ใดสั่งข้า” นางรำตะโกนขึ้นอย่างตื่นตระหนก
เมื่อนางตะโกนออกมาเช่นนี้ อวี้จิ่นจึงเข้าใจและยืนยันในการคาดเดาของตน เขามองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้ทันที
จิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าใจ และตะโกนเรียกพานไห่ด้วยความโมโห
พานไห่ยกมือขึ้นโบก ก่อนจะมีบ่าวรับใช้สองคนรีบตรงเข้ามาลากตัวนางรำผู้นั้นออกไปทันที