ผ่านไปไม่นานนัก เมื่อพานไห่กลับมาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาแลดูไม่น่ามอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกถึงลางสังหรณ์อันบอกไม่ถูก
พานไห่เดินเข้ามาคุกเข่าทำสีหน้าขมขื่นทูลว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นางรำผู้นั้นสิ้นใจแล้ว”
“สิ้นใจแล้วงั้นหรือ!” จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกอึดอัดในหัวใจยิ่งนัก ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ลงโทษรุนแรงเกินไปหรือไร”
พานไห่ที่คุกเข่าอยู่เหงื่อออกท่วมกายแม้ในบัดนี้อากาศเดือนหกจะหนาวเย็น เขาก้มหน้าทูลว่า “การจะใช้วิธีลงโทษอย่างไรกับคนเช่นไร รวมไปถึงความหนักเบา ผู้ใต้บังคับบัญชาของกระหม่อมล้วนรู้ดี แต่เมื่อครู่ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามความ นางรำผู้นั้นก็สิ้นใจลงกะทันหัน ฝ่าบาทโปรดส่งหมอหลวงไปดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ขึ้นด้วยความตื่นตระหนก หมอหลวงจึงก้มหน้าเดินตามพานไห่ออกไปโดยไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
บรรยากาศภายในห้องโถงเคร่งขรึมขึ้นทันที
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่เยี่ยนอ๋องจะสืบจนพบว่าเป็นนางรำที่วางยาพิษองค์หญิง แต่พานไห่กลับเข้ามาแล้วบอกว่ายังไม่ทันได้ไต่ถามสิ่งใด นางก็ตายเสียแล้ว
หรือการสิ้นใจขององค์หญิงสิบห้าจะเป็นคดีที่ไม่อาจคลี่คลายได้?
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงมีท่าทางสงบดังเดิม แม้พานไห่จะทำเรื่องราวผิดพลาด แต่เขาก็ยังคงอดทนไม่ได้แสดงท่าทีใดออกมา เพียงแค่ยกพระหัตถ์ขึ้น กุมขมับเอ่ยถามว่า “เจ้าเจ็ด เจ้ามีความคิดอย่างไรอีกหรือไม่”
อวี้จิ่นถอนหายใจตอบว่า “แม้นางรำที่วางยาพิษจะสิ้นใจลงแล้ว แต่หากมีผู้บงการนางอยู่เบื้องหลัง ก็คงต้องไปสืบสวนได้จากสองแห่ง”
“สองแห่งใด”
อวี้จิ่นยื่นนิ้วออกมา เขาไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือถูกรบกวนความคิดเนื่องจากการตายของนางรำแม้แต่น้อย “ประการแรก คือสถานการณ์ทั่วไปของนางรำผู้นั้น นับจากที่นางเข้ามาในพระราชวังจนกระทั่งบัดนี้ นางสนิทสนมกับผู้ใดบ้าง หรือมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับผู้ใด เคยกล่าวสิ่งใดเป็นพิเศษ หรือเคยพบกับปัญหาใดขึ้นบ้าง ข้อมูลเหล่านี้ยิ่งละเอียดยิ่งดี บางทีเราอาจจะหาเบาะแสจากข้อมูลเหล่านี้ของนางได้”
“แล้วประการที่สองเล่า” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามอีกครั้ง
ณ เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถง ไม่กล้าที่จะเอ่ยขึ้นขัดจังหวะอีกต่อไป
ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่จะนำตัวนางรำผู้นั้นออกไปสอบถาม แต่นางกลับสิ้นใจลงเสียแล้ว อย่าเห็นว่าฝ่าบาทมองดูแล้วยังสงบ ทุกคนล้วนไม่อาจเดาได้ว่าฝ่าบาทพิโรธเพียงใด หากเอ่ยขึ้นขัดในบัดนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย
“ประการที่สองนั้นก็คือที่มาของพิษ” อวี้จิ่นวิเคราะห์อย่างใจเย็น “จากที่ลูกคิดดูแล้ว ทางสำนักพระราชวังคงจะเข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องของพิษนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะนำเข้ามาอย่างง่ายดายใช่หรือไม่”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าช้าๆ
ล้อเล่นหรือ หากใครก็ตามสามารถนำพิษเข้ามาได้ง่ายๆ เช่นนั้น คงไม่มีวันใดที่เขาจะใช้ชีวิตอย่างสงบได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองไปยังหัวหน้าสำนักหมอหลวงที่อยู่ด้านข้าง “จางย่วนสื่อ?”
จางย่วนสื่อรีบรายงานกลับทันที “ทูลฝ่าบาท พิษของหญ้าไส้ขาดนั้นแม้ใช้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้คนสิ้นใจได้อย่างรวดเร็ว แม้มันจะมีประสิทธิภาพในการใช้รักษาโรคปวดข้อและโรคอื่นๆ แต่เท่าที่กระหม่อมรับรู้ ภายในคลังยาหลวงไม่ได้มีสิ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
คลังยาหลวงตั้งอยู่ด้านหลังสำนักหมอหลวง แต่ผู้ที่รับผิดชอบไม่ใช่หัวหน้าสำนักหมอหลวง มันถูกดูแลโดยขันทีถีตู
เหตุผลที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามย่วนสื่อก่อนจะเอ่ยถามขันทีถีตู ก็เพื่อเป็นพยานแก่ทั้งสองฝ่าย
เมื่อได้ยินสิ่งที่จางย่วนสื่อกล่าว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รีบเหลือบมองไปดูขันทีถีตูผู้รับผิดชอบคลังยาหลวงทันที
ขันทีถีตูรีบรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท การที่จะโยกย้ายยาใดในคลังหลวงจำเป็นจะต้องมีตราประทับเป็นหลักฐาน ขณะเดียวกันก็ต้องได้รับการบันทึกและตรวจสอบอย่างชัดเจน นางรำไม่อาจจะนำยาใดออกจากคลังยาหลวงได้ นับประสาอะไรกับยาพิษ อีกทั้งเป็นไปตามที่จางย่วนสื่อกล่าว คลังยาหลวงไม่มีหญ้าไส้ขาดพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวพลางยื่นมือทั้งสองออกมา สิ่งของในมือนั้นก็คือรายการยาทั้งหมดในคลังยาหลวง
องค์หญิงถูกวางยาพิษจนสิ้นพระชนม์ เมื่อฮ่องเต้พิโรธขึ้นมา ไม่ว่าใครก็อาจจะถูกสั่งตัดศีรษะได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ขันทีถีตูจึงได้จัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้แต่เนิ่นๆ ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยนอ๋องจัดการสืบคดีนี้เพื่อ เผื่อว่าฝ่าบาทจะเอ่ยถาม
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นหนังสือเล่มเล็กนั้น ความโกรธของเขาก็ลดน้อยลง
“เช่นนั้นหมายความว่า นางรำผู้นั้นได้รับหญ้าไส้ขาดมาโดยวิธีที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน” อวี้จิ่นกล่าว
ทุกคนได้แต่ส่ายหน้า
หากนางได้มันมาอย่างไม่ถูกต้อง แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เสียชีวิตลงแล้ว การสืบสวนก็จะยากยิ่งขึ้น
หากไม่ได้นำพิษออกมาอย่างเปิดเผย นั่นหมายความว่าจะต้องนำเข้ามาจากภายนอก แล้วจะไปตรวจสอบเยี่ยงไร ผู้ใดจะรู้เล่าว่านางนำพิษร้ายนี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
อาจจะเป็นหลายวันก่อน หลายเดือนก่อนหรือหลายปีก่อนก็เป็นได้
ซึ่งไม่อาจจะตรวจสอบได้เลย
ทันใดนั้น พานไห่ก็ได้เดินเข้ามาพร้อมกับหมอหลวงที่ออกไปตรวจพิสูจน์ศพนางรำผู้นั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า “เป็นเช่นไร”
หมอหลวงตอบว่า “ทูลฝ่าบาท นางรำผู้นั้นเสียชีวิตกะทันหันเพราะหัวใจวายเฉียบพลันพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นสีพระพักตร์ก็มืดมนลงเล็กน้อย ภายในใจดูคับคั่งขึ้นมาขณะหนึ่ง
แต่ละคนทำสีหน้าท่าทางเข้าอกเข้าใจ
นี่มันช่างผีซ้ำด้ำพลอย เฉกเช่นเรือใบที่มีลมปั่นป่วน เดิมทีการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงสิบห้าก็ดูซับซ้อนสับสน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่จะค้นพบว่านางรำผู้นี้เป็นตัวการในการวางยาพิษ แต่นางกลับไม่อาจทนต่อการสืบสวนได้จนหัวใจวายตายไปเสียก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความคิดริเริ่มในการจะสืบสวนคดีของเยี่ยนอ๋องก็คงต้องสิ้นสุดลง
แต่ไม่เป็นไร เยี่ยนอ๋องทำได้ดีที่สุดแล้ว เขาทำได้อย่างน่าทึ่ง เพียงพอจะเอาชนะพระทัยของฮ่องเต้ได้ และยังสามารถขจัดข้อสงสัยที่ทุกคนมีต่อพระชายาเยี่ยนอ๋องได้สำเร็จ เยี่ยนอ๋องนับว่าสามารถถอยออกมาได้อย่างสมบูรณ์
จิ่งหมิงฮ่องเต้เองก็คิดเช่นเดียวกับทุกคน
มาถึงเวลานี้ แน่นอนว่าจะต้องดำเนินการสอบสวนต่อไป แต่ปัญหานี้จะทำเพียงเอ่ยถามเช่นวิธีของเจ้าเจ็ดไม่ได้อีก จะต้องสอบสวนอย่างจริงจังและลึกซึ้งกว่าเดิม
ผู้ที่นำพิษเข้ามาในพระราชวัง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดก็ตามไม่อาจปล่อยไปได้ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ในระยะเวลาอันสั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจออกมาและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าเจ็ด วันนี้ทำได้ไม่เลว”
อวี้จิ่นยกมือขึ้นคารวะ “หาได้ไม่พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
เมื่อเทียบกับความสัมพันธ์พี่น้องกับองค์หญิงสิบห้าที่แทบจะไม่มีอยู่จริง การที่เขาเข้ามารับหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้ก็เพื่อช่วยอาซื่อไม่ให้นางต้องไปเกี่ยวข้องด้วย
แม้ว่าบัดนี้ผู้กระทำผิดยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังบงการนางรำผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับอาซื่อ เป้าหมายของเขานับว่าสำเร็จแล้ว
ต่อจากนี้เป็นหน้าที่การตรวจสอบเจี้ยวฟาง[1]และวังหลังอย่างละเอียด ซึ่งไม่ใช่วันสองวันจะเสร็จสิ้น
นี่คือความแตกต่างระหว่างเขากับเจินซื่อเฉิง
เจินซื่อเฉิง ชายชราผู้นั้นแสวงหาความสมบูรณ์ในการไขคดี หากคดีใดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจนกระจ่างแจ้ง คาดว่าเขาคงจะไม่แม้แต่นอนหลับด้วยซ้ำ แต่ตนไม่ได้มีเรี่ยวแรงเช่นนั้น
ในขณะที่จิ่งหมิงฮ่องเต้มีอารมณ์หนักอึ้ง เตรียมจะประกาศยุติงานเลี้ยงในวันนี้ที่ทำให้ทุกคนไม่พึงประสงค์และเจ็บปวดใจ จู่ๆ น้ำเสียงอันนุ่มนวลของหญิงสาวก็ดังขึ้นว่า “เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันมีคำถามหนึ่งอยากเอ่ยถามเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ต้นเสียงแล้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ผู้ที่กล่าวออกมาก็คือเจียงซื่อนั่นเอง
ผู้ที่รู้สึกตกตะลึงไม่ได้มีเพียงจิ่งหมิงฮ่องเต้คนเดียวเท่านั้น แต่คือทุกคนที่อยู่ในที่นี้
ในเวลาเช่นนี้ พระชายาเยี่ยนอ๋องจะเอ่ยคำพูดออกมาเพื่อ…
อ้อใช่สิ เมื่อครู่เยี่ยนอ๋องแสดงออกได้อย่างยอดเยี่ยม ในเวลานี้พระชายาเยี่ยนอ๋องคงต้องการร้องขอฝ่าบาทประทานรางวัลให้เขา
หากเป็นเช่นนั้น นางช่างงี่เง่าเหลือเกิน
แม้ว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปแล้วจะดูเฉลียวฉลาดและอ่อนโยน แต่ตามปกติแล้วจะแยกแยะการลงโทษหรือประทานรางวัลอย่างชัดเจน ซึ่งองค์รัชทายาทไม่พอพระทัยกับสิ่งนี้ยิ่งนัก เพราะว่าฮ่องเต้เพิ่งจะสูญเสียธิดาไปคนหนึ่ง ต่อให้พอใจกับการกระทำของเยี่ยนอ๋องอย่างไรในวันนี้ ทว่าผู้กระทำผิดตัวจริงนั้นยังไม่ปรากฏกายขึ้น คงไม่อาจจะมอบรางวัลให้ได้
“สะใภ้เจ็ด เจ้าอยากเอ่ยถามสิ่งใดหรือ”
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่เจียงซื่อ แต่นางกลับไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด นางเพียงย่อเข่าลงต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้เล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “จู่ๆ หม่อมฉันก็นึกถึงคำถามบางอย่างขึ้นมาได้ คำถามนี้อาจจะไม่มีประโยชน์ ขอเสด็จพ่อให้อภัยหม่อมฉันที่เอ่ยถามเรื่องราวไร้สาระด้วยเพคะ”
“เจ้ากล่าวมาเถิด”
เจียงซื่อจึงยืดตัวขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า “ไม่ทราบว่าในพระราชวังนี้มียวนยางเถิงหรือไม่เพคะ”
——————————
[1] เจี้ยวฟาง หน่วยงานเลี้ยงรับรอง