บทที่ 322 ความจริงเปิดเผย (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 322 ความจริงเปิดเผย (1)

ภายในตำหนักเหรินโซ่ว จวงไทเฮากำลังจัดการบัญชีที่สะสมในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

เมื่ออายุอานามมากขึ้น หลังจากป่วยหนักครั้งใหญ่จึงใช้เวลานานกว่าจะหายดีดังเดิม ในที่สุดยามนี้นางก็รู้ซึ้งยิ่งกว่าเดิมแล้วว่าการพักฟื้นในชนบทแต่ก่อนนั้นลำบากเพียงใด

โรคเรื้อนไม่เหมือนไข้หวัดทั่วไป เพียงแค่ติดเชื้อก็สามารถถึงแก่ชีวิตได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าสองคนนั้นกล้าช่วยนางได้อย่างไร

ทั้งๆ ที่สถานะครอบครัวตนเองก็ยากจนข้นแค้นปานนั้นแล้ว ตัวเองก็อดมื้อกินเมื่อ ยังต้องมาเลี้ยงดูคนป่วยอีก

จวงไทเฮาทอดถอนใจ

“ไทเฮา ท่านคิดถึงคืนวันในชนบทอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงถามด้วยรอยยิ้ม

“ใช่” จวงไทเฮาไม่ปฏิเสธ “ตอนนั้นพวกเขาบอกข้าว่าเป็นวัณโรค ไม่ให้ข้าออกไปไหน จะได้ไม่แพร่เชื้อให้คนในหมู่บ้าน”

ฉินกงกงสงสัย “ท่านเชื่อจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”

จวงไทเฮาเอ่ยอย่างจนใจ “ข้าจะไม่เชื่อได้หรือ ตอนนั้นข้าจำอะไรไม่ได้เลย”

ฉินกงกงนึกดูก็คิดว่าถูกของนาง “แล้ว…หลังจากนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

จวงไทเฮาย้อนความทรงจำพลางเอ่ย “จากนั้นก็ผ่านไปได้ประมาณสิบวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือน พวกเขาก็กินข้าวร่วมโต๊ะกับข้า”

“เอ่อ…” ฉินกงกงประหลาดใจ “ครึ่งเดือนก็รักษาหายแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เปล่าหรอก” จวงไทเฮาส่ายหน้า “เพียงแต่ไม่แพร่เชื้อแล้ว จากนั้นก็กินยาต่อเนื่อง กินไปครึ่งปีเต็มๆ”

คนทั่วไปไม่มีทางทำเช่นนั้น แม้โรคเรื้อนจะรักษาหายแล้ว แต่ก็ยังมีพิษร้ายแรงดั่งงูเงี้ยวเขี้ยวขอ

“แม่นางกู้กับเซียวซิวจ้วนดูแลท่านจากใจจริง กระหม่อมรู้สึกปลื้มใจแทนท่านนัก” ฉินกงกงพูดประโยคนั้นจากใจ เขาเพิ่งได้พบกับไทเฮาหลังจากที่นางถูกส่งตัวมาอยู่ที่ตำหนักเย็น

เขาเป็นขันทีคนหนึ่งในตำหนักเย็น ยามนั้นนางยังเป็นเสียนเต๋อฮองเฮา นางถูกชะตาเขา จึงเรียกมารับใช้ข้างกาย

หลังจากเสียนเต๋อฮองเฮาออกจากตำหนักเย็น เขาเองก็ถูกพาออกมาด้วย พริบตาเดียวเขาก็ฝ่าลมฝนร่วมกับไทเฮามาหลายสิบปีแล้ว

คนที่แสวงหาผลประโยชน์จากไทเฮานั้นมีมากมาย แต่คนที่จะจริงใจและไม่หวังสิ่งใดจากไทเฮานั้นมีน้อยเพียงหยิบมือ

หากไทเฮามิใช่ไทเฮา คนพวกนั้นก็คงไม่ใช่อย่างที่ฮองเฮาได้เห็น

คุณหนูจวงพร่ำบ่นอยู่เสมอว่าไทเฮาเอ็นดูแม่นางกู้มากกว่าลูกหลานของตัวเอง แต่เหตุใดคุณหนูจวงถึงไม่ลองคิดดูเล่าว่านางจริงใจกับไทเฮาได้ครึ่งหนึ่งของแม่นางกู้หรือไม่

นางนั้นโดดเดี่ยวไร้ที่เพิ่งมากว่าครึ่งชีวิต ทว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ใครจะคาดคิดกันเล่าว่าจะได้พบเจอคนที่จริงใจเอาตอนอายุใกล้ฝั่งเช่นนี้

“แล้วเซียวซิวจ้วน…” ฉินกงกงเองก็สัมผัสได้ว่าระหว่างจวงไทเฮากับเซียวซิวจ้วนนั้นมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แม้เขาจะใกล้ชิดสนิทสนมกับไทเฮา แต่ใช่ว่าไทเฮาจะเล่าให้เขาฟังไปเสียทุกเรื่อง

ความในใจไทเฮานั้น เขาเดาออกเพียงแค่ครึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้น ทำอย่างไรก็เดาไม่ถูก

“เป็นเพราะเขาหน้าตาเหมือนกับท่านโหวน้อยที่จากไปแล้วเท่านั้นหรือ”

ฉินกงกงถามอย่างระแวดระวัง

จวงไทเฮาไม่เคยคิดร้ายกับท่านโหวน้อย แต่ฮ่องเต้นั้นไม่เชื่อ เซวียนผิงโหวไม่เชื่อ คนทั้งแผ่นดินก็ไม่เชื่อ กลัวว่าแม้แต่คนตระกูลจวงเองก็คิดว่าเป็นฝีมือของไทเฮา

แต่ที่แตกต่างกันก็คือ คนตระกูลจวงนั้นไม่มีทางกล่าวโทษจวงไทเฮา

ทว่าเพราะถูกคนใส่ร้ายอยู่ร่ำไป ยามไทเฮาได้เห็นคนที่หน้าเหมือนท่านโหวน้อยราวกับถอดพิมพ์กันมาเช่นนั้น เกรงว่าในใจของนางคงรู้สึกอึดอัดเช่นกัน

แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงความคิดของฉินกงกง ไทเฮาจะคิดเช่นนั้นหรือไม่ ไม่มีผู้ใดรู้

“ข้า…” จวงไทเฮากำลังจะอ้าปากพูด ทันใดนั้นก็มีเสียงตื่นตระหนกของนางกำนัลดังมาจากด้านนอกของห้องหนังสือ “ฝ่าบาท! ฝ่าบาทเข้าไปไม่ได้นะเพคะ!”

“เราเป็นโอสรแห่งสวรรค์! แผ่นดินใต้ฟ้านี้เป็นของเราทั้งสิ้น! แต่ตำหนักเหรินโซ่วกลับขวางเราไว้หน้าประตูครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเจ้าคิดก่อกบฏหรืออย่างไร!”

ฮ่องเต้ตวาดลั่นโดยความโกรธ

จวงไทเฮาเขาขมวดคิ้วอย่างเหลืออด พลางส่งสายตาให้กับฉินกงกง

ฉินกงกงถือพู่ยาวเดินออกมาแล้วเอ่ยกับนางกำนัล “พวกเจ้าออกไป” จากนั้นก็ถวายบังคมแก่ฮ่องเต้ “เชิญฝ่าบาททางนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เหอะ!”

ฮ่องเต้ถลึงตาคาดโทษคนเหล่านั้น ก่อนจะสะบัดชายเสื้อแล้วเดินเข้าไปในห้องหนังสือของจวงไทเฮา “ไทเฮาช่างฝีมือแยบยลนัก! แม้จะพักฟื้นอยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่วก็ไม่นิ่งเฉย หาเรื่องให้เราต้องปวดหัวได้ตลอด! ไทเฮาคงทนเห็นเราใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักวันไม่ได้เลยกระมัง!”

ฉินกงกงที่ตามเข้าเหลือบมองไทเฮา ก่อนจะมองเหล่าบ่าวไพร่ที่หน้าซีดเผือดกันทั้งตำหนัก จากนั้นสีหน้าของเขาเองก็ไม่สู้ดีนัก

จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเจ้าออกไปให้หมด”

“พ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงและเหล่านางกำนัลต่างถอยออกไป

จวงไทเฮามองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พลางโยนสมุดบัญชีในมือลงบนโต๊ะ “เจ้าเกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมาอีก!”

ฮ่องเต้แค่นหัวเราะ “เราต่างหากที่ควรถามไทเฮาเช่นนั้น ไทเฮาเกินคลุ้มคลั่งอันใดขึ้นมาหรือ ท่านว่าราชการหลังม่านยังไม่พออีกหรือไร กุมอำนาจกว่าครึ่งแผ่นดินแล้วยังไม่พอใจหรือไร บีบบังคับให้ท่านแม่ของเราระเห็จไปอยู่ที่วัดยังไม่สมใจท่านอีกหรือ ท่านจะโหดเหี้ยมไปถึงไหนกัน ต้องให้คนรอบตัวเราตายไปทีละคนจนหมดสิ้นเลยหรือ!”

จวงไทเฮาขมวดคิ้วเอ่ย “แล้วข้าฆ่าแกงผู้ใดกัน”

“หึ!” ฮ่องเต้ยืนอยู่หน้าโต๊ะ มองจวงไทเฮาผู้แสนเย่อหยิ่งพลางเอ่ยเสียงประชดประชัน “ไทเฮาช่างแสดงละครเก่งนัก ทำแล้วไม่กล้ายอมรับอย่างนั้นหรือ ท่านกับเราไม่ใช่ว่าแตกหักกันมาตั้งนานแล้วหรอกหรือ ไม่จำเป็นต้องปั้นหน้าเศร้าตีบทโศกเช่นนี้แล้ว!”

แววตาของจวงไทเฮาอาบย้อมไปด้วยความเย็นชา สีหน้ายังคงไม่ทุกข์ไม่ร้อนเช่นเดิม “ข้าทำอะไรไว้มากมาย ไม่รู้ว่าเจ้าหมายถึงเรื่องใด”

ฮ่องเต้หัวเราะอย่างเดือดดาล “ยอมรับแล้วสินะ ท่านมันก็แค่หญิงอสรพิษจิตใจโหดเหี้ยมคนหนึ่ง! ท่านเคียดแค้นอันใดก็มาลงกับเราสิ! เหตุใดต้องฆ่าหัวหน้าจางด้วย! นางทำอะไรให้ท่าน!”

“หัวหน้าจางรึ” จวงไทเฮาคิ้วขมวดด้วยความสงสัย

ฮ่องเต้ชี้หน้าจวงไทเฮาด้วยความเกรี้ยวโกรธ “หยุดเสแสร้งได้แล้ว! เมื่อคืนวานหัวหน้าจางถูกไทเฮาเรียกมาเข้าเฝ้าที่ตำหนักเหรินโซ่ว พอกลับไปก็แขวนคอตาย! ไทเฮากล้าพูดหรือไม่ว่าท่านไม่ได้เป็นคนฆ่านาง!”

จวงไทเฮาแค่นหัวเราะ พลางช้อนตามองขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งยังยกยิ้มมุมปากราวกับกำลังเย้ยหยันมิปาน “หากข้าเป็นคนฆ่าแล้วอย่างไรเล่า”

นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกมาจากหนังโต๊ะหนังสือ ย่างเข้าไปใกล้ฮ่องเต้ขึ้นเรื่อยๆ “เจ้าจะถอดถอนข้ารึ หรือว่าเจ้าจะฆ่าข้า ต่อให้ฆ่าคนรอบกายเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าจะทำอะไรกับข้าได้”

“ท่านมันนางอรพิษ!” ฮ่องเต้ง้างมือขึ้น!

“ฝ่าบาท!”

เซียวลิ่วหลังจ้ำเท้าเข้ามา ไม้เท้าถูกโยนทิ้ง เขากอดแขนของฮ่องเต้ไว้ พลางขวางจวงไทเฮาไว้ด้านหลังของตัวเอง

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่จู่ๆ เข้ามาขวางตรงหน้าตนเอง จวงไทเฮาจึงชะงักไป

เด็กหนุ่มร่างผอมบาง แข้งขาเดินเหินไม่คล่องแคล่ว แต่กลับอาจหาญขวางฮ่องเต้ไว้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ฮ่องเต้คำรามลั่นด้วยความเดือดดาล “เซียวลิ่วหลัง เจ้าถอยไป!”

“ไม่ใช่ไทเฮาหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงหนักแน่น เขาไม่ถอยทั้งยังไม่ปล่อยมือ “ไม่ใช่ไทเฮาหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นกระหม่อม เมื่อคืนกระหม่อมเป็นคนเรียกหัวหน้าจางมาเอง ไม่เกี่ยวกับไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้กริ้วเสียจนอกแทบแตกอยู่แล้ว “แม้แต่เจ้าก็ปกป้องนางหรือ! พวกเจ้าแต่ละคน… ล้วนแต่เข้าข้างนาง! เซียวลิ่วหลัว! เจ้าคือจอหงวนคนใหม่ที่ข้าแต่งตั้งนะ!”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “กระหม่อมคือขุนนางของฝ่าบาท คือจอหงวนของฝ่าบาท และด้วยเหตุนี้ กระหม่อมถึงไม่อยากเห็นฝ่าบาททำผิดพลาด เรื่องที่ฝ่าบาททำในวันนี้ วันหน้าขุนนางย่อมบันทึกไว้ในพงศาวดาร ฝ่าบาทเป็นบัณฑิตผู้รู้แจ้ง คุณูปการอันใหญ่หลวงของฝ่าบาทย่อมถูกจารึกไว้นานเท่านาน อย่าได้ทำลายเกียรติยศศักดิ์ศรีที่สั่งสมมากว่าร้อยปีเพียงเพราะความวู่วามเพียงชั่ววูบเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ปวดใจทั้งยังตรัสถามอย่างตัดพ้อ “เราทำผิดหรือไร เราทำผิดหรือไร!”

เซียวลิ่วหลังตอบ “ฝ่าบาทมิได้ทำผิด ไทเฮาเองก็ไม่ได้ทำผิด คนผิดคือกระหม่อม กระหม่อมไม่ควรเรียกหัวหน้าจางมาเอง หากฝ่าบาทจะกล่าวโทษ ได้โปรดกล่าวโทษกระหม่อม กระหม่อมเป็นคนทำให้นางต้องตาย”

“เจ้า…เจ้า…” ฮ่องเต้โมโหจนดวงตาแดงก่ำ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท อย่างไรก็ต้องฟังความเสียก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเดินเข้ามาไกล่เกลี่ย

ฮ่องเต้ยั้งความคิดที่จะเดินออกไป “ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ว่ามา เจ้าเรียกหัวหน้าจางมาเพราะเรื่องอันใด แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ฆ่านาง!”

เซียวลิ่วหลังบอกไม่ได้ว่าตนเองกำลังสืบคดีเมื่อสิบสี่ก่อน เวลาไม่เหมาะสม ทั้งยังมีหลักฐานไม่เพียงพอ

เซียวลิ่วหลังครุ่นคิดพลางเอ่ยออกไป “มีคนวานให้กระหม่อมคืนของสิ่งหนึ่งให้กับนาง ยามที่คืนให้นาง กระหม่อมก็สังเกตเห็นว่านางดูแปลกไป”

นั่นคือความจริง ยามหัวหน้าจางรับแท่นหมึกที่แตกร้าวนั้น สีหน้าของนางก็ดูไม่สู้ดีจริงๆ เพียงแต่ตอนนั้นเซียวลิ่วหลังไม่ได้เก็บมาคิด

ทว่าหากไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอีกที เป็นไปได้ว่าระหว่างหัวหน้าจางและจี้จิ่วอาวุโสนั้นอาจมีความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องที่ลึกซึ้งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

“ผู้ใดวานเจ้าให้ช่วยคืนของสิ่งนั้น” ฮ่องเต้ถาม

“กระหม่อมบอกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” เซียวลิ่วหลังตอบ

เขาไม่บอกแล้วฮ่องเต้จะเดาไม่ออกเลยหรือย่างไร

บนแผ่นดินนี้มีคนที่ไหว้วานให้เขาถ่อมาส่งข่าวถึงในวังหลวงได้สักกี่คนกัน ทั้งยังเป็นเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับหัวหน้าจางแล้ว แสดงว่าคนผู้นั้นต้องอายุอานามใกล้เคียงกับหัวหน้าจาง

ชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวทันใด

“เรียกตัวฮั่วจี้จิ่วมา!”