บทที่ 346 โชคดีที่ข้ายังมีเจ้า

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 346 โชคดีที่ข้ายังมีเจ้า

หยุนถิงมองดูจวินหย่วนโยวที่โกรธจัด รู้สึกเอ็นดูสงสารอย่างยิ่ง แต่ก็ยื่นมือมาจับแขนของเขาเอาไว้“ซื่อจื่อ อย่าให้เสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กเลย ในเมื่อรู้แล้วว่าเป็นซ่างกวนเจิ้น เช่นนั้นเขาไม่มีทางหนีไปได้อย่างแน่นอน เหตุใดถึงไม่รอให้คนที่อยู่เบื้องหลังเขาปรากฏตัวขึ้นมาก่อน ทำลายล้างศัตรูในคราวเดียว!”

“จวินหย่วนโยวสงบสติอารมณ์เอาไว้!” โม่เหลิ่งเหยียนเองก็อดที่จะเอ่ยปากขึ้นมาไม่ได้

จวินหย่วนโยวที่กำลังโกรธจัดเลิกคิ้วมองไปทางหยุนถิงด้านข้าง แล้วมองไปทางโม่เหลิ่งเหยียน สีหน้าโกรธจนซีดขาว สูดลมหายใจเข้าลึกๆสองสามเฮือก ถึงได้ทำให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลงมา

“ตกลง เช่นนั้นก็ให้เขามีชีวิตอยู่ต่ออีกสองสามวัน!” จวินหย่วนโยวกล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หยุนถิงยื่นมือเข้ามา จับมือของจวินหย่วนโยวเอาไว้แน่น ให้การปลอบโยนเขา

โม่เหลิ่งเหยียนเห็นจวินหย่วนโยวสงบลงมาแล้ว ให้คนยกพ่อบ้านคนนั้นจากไป

ลานที่กว้างใหญ่สงบเงียบลงมาอีกครั้ง จวินหย่วนโยวไม่มีความเย็นชาและโหดเหี้ยมที่ฝืนทนเมื่อครู่นี้แล้ว คนทั้งคนถอนหายใจอย่างหมดสภาพ

“เจ้าคิดว่าข้าไม่เอาไหนมากหรือเปล่า?”

น้ำเสียงแหบแห้ง ทุ้มต่ำ ถึงขั้นได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

หยุนถิงอดที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจไม่ได้“ไม่หรอก หลายปีมานี้ซื่อจื่อแบกรับความแค้นเอาไว้คนเดียว แบกรับความรุ่งเรืองและล่มสลายของทั่วทั้งจวนซื่อจื่อ ท่านเหนื่อยเกินไปแล้ว ต่อไปท่านไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ท่านยังมีข้า เรามาช่วยกันทำให้พวกคนที่ทำร้ายพ่อแม่ของท่านได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำพร้อมกัน”

จวินหย่วนโยวยื่นมือไปกอดหยุนถิงเอาไว้ เอนศีรษะไปพิงบนไหล่ของนาง“โชคดี ที่ข้ายังมีเจ้าอยู่”

หยุนถิงยื่นมือไปกอดจวินหย่วนโยวเอาไว้ กระซิบปลอบโยน“ข้าจะอยู่กับท่านเสมอ”

ทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไรเลย แค่กอดกันและกันเงียบๆเช่นนี้ หัวใจสองเดียวมีเพียงกันและกัน

……………

ทางด้านนี้ นอกเมืองหลวง

รถม้าของเหมยเฟยออกไปสี่ห้าลี้ก็เลี้ยวเข้าไปยังป่าแห่งหนึ่ง เหมยเฟยลงมาจากบนรถม้า

“ครั้งนี้ ขอบคุณท่านมาก” ซ่างกวนเจิ้นกล่าวด้วยความซาบซึ้ง

“ไม่จำเป็น ตอนนั้นท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ครั้งนี้ก็ถือว่าข้าทดแทนบุญคุณที่ช่วยของท่านแล้ว ต่อไปเราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันอีก” เหมยเฟยกล่าวอย่างเย็นชาเฉยเมย

ตอนนั้น เหมยเฟยยังเป็นหญิงสาวที่ไม่ได้แต่งงาน มีครั้งหนึ่งออกปฏิบัติภารกิจ แต่แล้วก็ถูกกลุ่มโจรพเนจรลอบโจมตี เหมยเฟยได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากซ่างกวนเจิ้นที่ออกไล่ล่าโจรพเนจรในตอนนั้น

หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ซ่างกวนเจิ้นอับจนหนทางแล้วจริงๆ ก็ไม่ขอความช่วยเหลือจากเหมยเฟยหรอก

“ขอบคุณเหมยเฟยเหนียงเหนียงมากที่ให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ ขออำลาตรงนี้เลย!” ซ่างกวนเจิ้นกล่าวด้วยความซาบซึ้ง

เขารู้ว่าเหมยเฟยไม่ใช่คนของเขา ยิ่งไม่ใช่เบี้ยที่เขาจะสามารถจัดวางได้ตามใจ ครั้งนี้อับจบหนทางเขาก็แค่คิดว่าลองดูหน่อยเท่านั้น อย่างไรเสียหากฝ่าบาทรู้เขา นั่นคือโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิตเลย

โชคดีที่ เหมยเฟยเป็นคนมีมโนธรรม ออกไปจากต้าเหยียนก็หมายความว่าพวกเขาเป็นอิสระแล้ว

“ข้าเก็บตั๋วเงินกับอาหารเอาไว้ให้พวกท่าน เพียงพอให้พวกท่านไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่มตลอดชีวิต อย่ากลับมาอีก หากมีวันหนึ่งพวกท่านถูกจับหรือไม่ก็เกิดเรื่องขึ้นมา ข้าก็จะไม่สนใจเช่นกัน” เหมยเฟยกล่าวจบ ก็หันหลังจากไป

ซ่างกวนเจิ้นมองดูแผ่นหลังของนางครู่หนึ่ง ควบรถม้าจากไปทันที ไม่ง่ายกว่าจะออกจากเมืองได้ ย่อมไม่สามารถรอช้าอยู่แล้ว

ซ่างกวนหรูที่อยู่ข้างในได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่กลับไม่เผยหน้าออกมา นางไม่อยากให้เหมยเฟยเห็นตัวเองในสภาพที่น่ารังเกียจเช่นนี้ หรือไม่ก็ถูกคนอื่นเห็นเข้า

องครักษ์เงามังกรที่อยู่ในที่ลับมองดูรถม้าที่จากไปไกลคันนั้น กระโดดตัวตามไปทันที และบนท้องฟ้าก็ยิ่งมีอินทรีทองบินวนอยู่ เรียกได้ว่าเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวสองชั้นเลยก็ว่าได้

และบนไหล่เขา คนคนหนึ่งกำลังแบกตะกร้าไม้ไผ่กลับมา คนคนนั้นเต็มไปด้วยความยินดีและตื่นเต้น สวนทางกับรถม้าของซ่างกวนเจิ้นพอดี

ซ่างกวนเจิ้นในเวลานี้ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปสนใจคนเดินถนน รีบขับรถจากไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด

และจ้าวเคอก็ไม่ได้สนใจรถม้าเช่นกัน เขาแบกตะกร้าไม้ไผ่เอาไว้รีบกลับเมืองไปทันที ตอนที่เขาเดินไปถึงจวนซื่อจื่อ ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว

เมื่อหยุนถิงได้ยินว่าจ้าวเคอต้องการหานาง ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สั่งให้บ่าวรับใช้พาเขาเข้ามาทันที

“เจ้าหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” หยุนถิงเข้าสู่ประเด็นสำคัญทันที

จ้าวเคอรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย“คุณหนูหยุน ก่อนหน้านี้ท่านให้คนส่งบทกวีมาให้ข้า ยังเชิญหมอมารักษาให้กับท่านแม่ของข้า แถมยังมอบยาเม็ดให้กับข้า ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง บุญคุณใหญ่หลวงข้าล้วนจดจำเอาไว้ในใจ

ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ขาดแคลนอะไร จวนซื่อจื่อมีทุกอย่าง แต่ข้ารู้สึกขอบคุณท่านจริงๆ อยากจะขอบคุณท่าน วันนี้ข้าขุดโสมร้อยปีได้ที่หลังเขา ถือเป็นของขวัญขอบคุณ ขอคุณหนูหยุนโปรดอย่าได้รังเกียจ”

จ้าวเคอรู้สึกประหม่าเล็กน้อย กลัวว่าคุณหนูหยุนจะรังเกียจ

“จะรังเกียจได้อย่างไร หาได้ยากที่เจ้าจะมีใจอยากตอบแทนบุญคุณเช่นนี้ หากข้าปฏิเสธก็เป็นการไม่เคารพแล้ว” หยุนถิงกล่าวด้วยความปลื้มปีติ

จ้าวเคอเต็มไปด้วยความยินดี รีบยื่นตะกร้าไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหลังมาให้ทันที“ขอคุณหนูหยุนโปรดรับเอาไว้ด้วย”

“ได้” หยุนถิงยื่นมือไปรับตะกร้ามา มองดูครู่หนึ่ง“ไม่เลว ท่านมีใจแล้ว สิบวันให้หลังก็คือวันสอบบรรจุขุนนางแล้ว เตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?”

จ้าวเคอยื่นมือไปเกาศีรษะโดยสัญชาตญาณ“ข้าแบกบั่นร่ำเรียนทุกวัน น่าจะพอทำได้อยู่ แต่เกรงว่าถึงเวลานั้นจะทำได้ไม่ดี”

“ความสามารถของเจ้าแข็งแกร่งมาก สิ่งที่ขาดไปคือความมั่นใจ ต้องเชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ และยังสามารถทำได้ดีที่สุด เจ้าเป็นถึงคนที่ข้าแนะนำด้วยตัวเอง ดังนั้นในสิบวันนี้เตรียมตัวให้ดีๆ ต่อไปไม่ต้องไปขุดโสมแล้ว

ข้าช่วยเจ้า เพียงแค่คิดว่าเจ้ามีกำลังความสามารถ สิ่งที่ขาดไปคือโอกาส หากเจ้าอยากจะตอบแทนข้าจริงๆ ก็สอบให้ติดจอหงวน อนาคตทำงานรับใช้ราชสำนักให้ดี

สายตามองให้ไกลหน่อย อย่ามองแค่เพียงตรงหน้า โอกาสที่เจ้าจะตอบแทนข้าในวันหน้ายังมีอีกมาก ขอเพียงตัวเจ้ามีความสามารถ ถึงจะสามารถช่วยข้าได้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้นอย่าเสียเวลาไปกับเรื่องแบบนี้ ใกล้จะถึงการสอบบรรจุขุนนางแล้ว เตรียมตัวให้ดี จะสามารถตัดสินใจสู้ตาย ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสในครั้งนี้แล้ว

เจ้าสามารถรอได้ ท่านแม่ของเจ้ายังมีเวลารอไหม หรือเจ้าไม่อยากให้นางเห็นเจ้าสอบติดจอหงวนก่อนที่จะหลับตาลง” ตอนที่หยุนถิงกล่าวคำพูดนี้ น้ำเสียงจริงจังเคร่งขรึม

สีหน้าของจ้าวเคอกระอักกระอ่วน ก้มหน้าลงไปด้วยความละอายใจ“คุณหนูหยุนสั่งสอนถูกแล้ว ข้าเป็นคนที่ขาดการมองการณ์ไกลเอง”

“จำเอาไว้ก็ดีแล้ว เจ้าคือคนที่ข้าแนะนำต่อฝ่าบาท ถึงเวลาถึงแม้ว่าเจ้าจะสอบติด ก็จะต้องมีคนทำให้เจ้าลำบากใจอย่างแน่นอน อย่าประหม่าไป แสดงความสามารถไปตามปกติก็พอ วิธีที่ดีที่สุดก็คือพิสูนจ์ตัวเองตบหน้าคนอื่นเดี๋ยวนั้นเลย ข้าเชื่อว่าตัวเองมองคนไม่ผิด” หยุนถิงให้กำลังใจ

“คุณหนูหยุน ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด” จ้าวเคอกล่าวอย่างหนักแน่น

หยุนถิงกล่าวสิ่งที่ควรระวังให้เขาอีกเล็กน้อย จ้าวเคอถึงได้จากไป

จวินหย่วนโยวออกมาจากห้องหนังสือ เห็นจ้าวเคอออกจากลานไปพอดี สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย“เขามาทำไมกัน?”

หยุนถิงส่ายโสมที่อยู่ในมือ“เขามามอบโสมให้ข้า ขอบคุณข้า แต่ว่าอีกไม่กี่วันก็เป็นวันสอบบรรจุแล้ว ข้าบอกสิ่งที่ต้องระวังให้เขาไปเล็กน้อย”

จวินหย่วนโยวเดินเข้ามา คว้านางเข้าไปกอดในอ้อมแขน“ต่อไปตอนที่พูดคุยกับผู้ชายคนอื่น ข้าจะอยู่ด้วย”

หยุนถิงเบะปาก“ซื่อจื่อ ท่านนี่มันช่างเผด็จการจริงๆ”

“ข้าใส่ใจซื่อจื่อเฟยของตัวเอง ผิดด้วยหรือ?” จวินหย่วนโยวถามกลับ

“ไม่ผิดหรอก ข้าชอบ ข้าชอบความเผด็จการของซื่อจื่อนี่แหละ” หยุนถิงกล่าวเอาใจทันที

“อีกไม่กี่วันก็ถึงการสอบบรรจุแล้ว ฝ่าบาทอยากให้เจ้าเป็นผู้คุมการสอบ ให้ข้าสอบถามความสมัครใจของเจ้า?”

หยุนถิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“เหตุใดถึงให้ข้าคุมการสอบ ดูเหมือนจะยังไม่เคยมีผู้หญิงคุมการสอบมาก่อนใช่ไหม?”