นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 265 โลกส่วนตัวสองคน
“สอบเป็นขุนนาง อาจจะสอบไม่ได้” สวีฉางหลินพูดพร้อมใช้มือกดจับกวางบนไหล่ไว้
เห็นสวีฉางหลินเลี่ยงสิ่งหนักให้กลายเป็นเบา โจวกุ้ยหลานรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา แต่นางก็ไม่ถามต่อ ยังไงบรรยากาศที่ดีแบบนี้ นางไม่อยากที่จะทำลาย
ทั้งสองคนเดินมาถึงลานด้านนอก ปิดประตูไว้ แล้วก็เดินลงเขาไป
ฟ้ายังค่อนข้างมืด ถนนบนเขาจึงเดินได้ไม่สะดวก หลายครั้งที่โจวกุ้ยหลานเหยียบถูกหินจนเกือบล้ม
มือข้างหนึ่งของสวีฉางหลินถือกวางไว้ มือข้างหนึ่งจูงมือนางไว้
ความอบอุ่นบนฝ่ามือ ทำให้นางสบายใจอย่างมาก ค่อยๆเดินลงเขาไปกับสวีฉางหลิน
ทั้งสองคนเดินลงเขามาถึงบ้านเหล่าหม่าโถว ตอนที่เคาะประตูบ้าน เหล่าหม่าโถวกำลังทานอาหารเช้า ทั้งสองคนนั่งสักพัก แล้วก็นั่งรถม้าเหล่าหม่าโถวไปยังในตำบล
ระหว่างทางพูดคุยกับเหล่าหม่าโถวอยู่บ้าง ช่วงนี้ในหมู่บ้านก็ไม่มีเรื่องอะไร
มาถึงในตำบล ฟ้าก็สว่างแล้ว โจวกุ้ยหลานตามสวีฉางหลินไปถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมเทียนเซียง เอากวางไปส่งในลานด้านหลัง ไป๋ยี่เซวียนออกมาจ่ายตังอย่างดีใจ เมื่อเห็นโจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลิน ก็ชวนให้โจวกุ้ยหลานอยู่ทานข้าวที่บ้าน โจวกุ้ยหลานปฏิเสธทันที
ไป๋ยี่เซวียนพูดคุยอยู่กับทั้งสองคนสักพัก พร้อมถามโจวกุ้ยหลานว่ามีแผนการทำความร่วมมืออะไรใหม่ๆอีกไหม โจวกุ้ยหลานเพียงพูดเกิ่นเล็กน้อย เล่าเรื่องไก่เป็ดที่บ้านให้ไป๋ยี่เซวียนฟังอย่างยิ้มแย้ม รอโตแล้ว หวังว่าจะสามารถนำมาส่งให้กับไป๋ยี่เซวียน
ไป๋ยี่เซวียนกลับพูดขึ้นมาอย่างลังเลว่า “กุ้ยหลาน…..”
““ฮูหยินสวี” สวีฉางหลินที่อยู่ด้านข้างพูดแทรกไป๋ยี่เซวียน เป็นการเตือนเขา
ไป๋ยี่เซวียนอึ้งไปสักพัก เมื่อพูดขึ้นมาอีกครั้งก็เปลี่ยนคำเรียกว่า “ฮูหยินสวี ตามหลักแล้วด้วยความสัมพันธ์ของเรา ข้ายินดีที่จะทำการค้าขายกับเจ้า แต่ไก่โรงเตี๊ยมเราทำเป็นแค่ไก่ต้ม ความต้องการของแขกในแต่ละวันมีจำกัด ความต้องการมีไม่มาก”
“หากข้าทำเมนูอาหารให้เจ้าหนึ่งอย่าง เพื่อให้เจ้าขายไก่ เจ้าจะช่วยข้าซื้อไหม?” โจวกุ้ยหลานถามกลับ
ได้ยินโจวกุ้ยหลานบอกว่ามีเมนูอาหารใหม่ ในสายตาไป๋ยี่เซวียนราวกับถูกหวย สายตาที่หันไปมองโจวกุ้ยหลานเต็มไปด้วยความชื่นชอบ
สวีฉางหลินมองดูท่าทีของเขา คิ้วขมวดเป็นเส้นตรง
ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เขารู้ดีว่าไป๋ยี่เซวียนรู้สึกดีต่อน้องนาง
จึงเอื้อมมือไปมือน้องนาง จะหานางไป
การค้าขายนี้เข้าไม่ทำ เขาสามารถไปล่าสัตว์ สามารถเลี้ยงดูน้องนางได้….
โจวกุ้ยหลานปัดมือสวีฉางหลิน ภายใต้สายตาไม่คาดคิดของสวีฉางหลิน นางดินไปใกล้ไป๋ยี่เซวียน พร้อมพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่ไป๋เห็นว่าอย่างไร?”
“กุ้ยหลานพูดมานั้นข้าเชื่ออยู่แล้ว หากสามารถขายไก่ได้เยอะ ยังไงข้าก็ซื้อกับเจ้า” ตอนที่ไป๋ยี่เซวียนพูดประโยคนี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
สำหรับโจวกุ้ยหลาน เขามีความเชื่อมั่นอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเพียงแค่นางพูดออกมา ก็จะสามารถทำได้ง่ายๆ
“ได้ อีกหนึ่งเดือน ให้ไก่ของข้าโตกว่านี้หน่อย ข้าค่อยมาคุยรายละเอียดกับเจ้า ส่วนเนื้อหมู….” โจวกุ้ยหลานพูดออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วก็หยุด
ในฐานะที่ไป๋ยี่เซวียนเป็นคนฉลาด จะไม่เข้าใจนางได้อย่างไร จึงยิ้มหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “หากเจ้าทำความร่วมมือกับข้า เนื้อหมูข้าก็ซื้อกับเจ้า”
สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงเนื้อดี ไม่ว่ารับมาจากที่ไหนก็เหมือนกัน หากสามารถกระชับความสัมพันธ์กับพวกโจวกุ้ยหลานให้ดียิ่งกว่านี้ เขาจะยิ่งดีใจ
โจวกุ้ยหลานฟังคำพูดของเขาแล้ว ก็พูดขึ้นมาว่าต่อไปทั้งสองร่วมมือกันเป็นอย่างดี
สวีฉางหลินเห็นทั้งสองคนคุยกันอย่างมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง ก็ยิ่งไม่พอใจ
ทั้งสองคนพูดตกลงกันเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็บอกลาไป๋ยี่เซวียน แล้วพาสวีฉางหลินกลับไป
รอเมื่อทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว ไป๋ยี่เซวียนยังยืนมองดูพวกเขา
ตอนที่เหล่าจ้างฝางมายังลานด้านหลัง ก็เห็นเถ้าแก่ยืนตรงหน้าประตูมองดูด้านนอก เขาเดินมาก็เห็นโจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินอยู่ไม่ไกล
จึงเข้าใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเขาเอาอาหารป่ามาส่งอีกแล้วหรือ?”
ไป๋ยี่เซวียนหันไปเห็นเหล่าจ้างฝางจึงพูดตอบ
เหล่าจ้างฝางขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “นายท่าน สองคนนี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาใกล้ชิดทันใช่ไหม หากใช่… ท่านต้องระวัง สถานการณ์ในตอนนี้ ถือว่าไม่เป็นผลดีต่อท่าน”
“ข้าเคยสืบสองคนนี้แล้ว กุ้ยหลาน….ฮูหยินสวีเป็นคนหมู่บ้านต้าสือ แต่สวีฉางหลิน…..”
พูดถึงคนนี้ ไป๋ยี่เซวียนหยุดไป จากนั้นก็ส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าสืบรู้เพียงว่าเขามาถึงหมู่บ้านต้าสือเมื่อสองปีมานี้ เป็นนายพรานอยู่บนเขา อย่างอื่นไม่รู้อะไรเลย”
“อะไรนะ?” เหล่าจ้างฝางร้องถามขึ้นมาอย่างตกใจ
นายท่านเป็นคนยังไงเขารู้ดี คนคนนี้ แม้แต่นายท่านก็สืบไม่เจอ?
“ดูจากลักษณะท่าทีของเขา จะเป็นแค่นายพรานคนหนึ่งได้อย่างไร? ครั้งที่แล้วที่มาหาเรื่องโรงเตี๊ยมของเรา ไม่ใช่อันธพาลธรรมดา เขาเพียงคนเดียวกลับสามารถรับมือได้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะท่าทีหรือความสามารถ ยังไงก็จะต้องเติบโตมาในครอบครัวที่มีฝึกฝนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก”
พูดถึงเรื่องนี้ ในหัวสมองของเขาก็ปรากฏภาพรอยยิ้มผู้หญิงคนหนึ่ง จึงส่ายหัว สลัดภาพอันนั้นทิ้งไป
“หรือ….หรือจะเป็น….” เหล่าจ้างฝางพูดถึงตรงนี้ ในใจยิ่งตื่นเต้น
ไป๋ยี่เซวียนส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “นายท่านเรายังไม่มีลักษณะท่าทีแบบนั้น ใครจะมีความสามารถขนาดนี้ สามารถส่งเขามา?”
“งั้น…งั้นทำไมท่านถึงยังรู้สึกพิเศษกับพวกเขา?” เหล่าจ้างฝางไม่เข้าใจ
“กุ้ย….ฮูหยินสวีก็ไม่เหมือนฮูหยินบ้านนอกธรรมดา ความสามารถของนาง เกินกว่าที่พวกเราคิดไว้ หากทำความร่วมมือกับนางได้ดี บางที ข้าหวนกลับไปเมืองหลวงอีกครั้ง ก็มีความเป็นไปได้”
พูดถึงตรงนี้ สายตาไป๋ยี่เซวียนฉายแววเจ็บปวด ร่างกายยิ่งอยู่ก็ยิ่งอ่อนลง
เหล่าจ้างฝางถอนหายใจ จากนั้นก็ส่ายหัวไม่พูดอะไรอีก
โจวกุ้ยหลานเจรจาธุรกิจสำเร็จไปหนึ่งอย่าง ด้วยความดีใจก็พูดถึงแผนการต่อไปของนางอยู่อย่างไม่หยุด แต่สักพัก ไม่ได้เสียงสวีฉางหลิน
นางหันไปมอง ก็เห็นสวีฉางหลินเม้นริมฝีปากเงียบไม่พูดไม่จา
“เจ้าเป็นอะไร? ไม่สบายหรือว่าเป็นอะไร?” โจวกุ้ยหลานถามพร้อมเอื้อมมือไปแตะหน้าผากสวีฉางหลิน
อุณหภูมินั้น ร้อนกว่าอุณหภูมิบนมือของนางนิดหน่อย ก็ยังไม่ถือว่าร้อน
สวีฉางหลินสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิบนมือนาง คิ้วก็ยิ่งขมวดแน่น
อุณหภูมินี้ มือของน้องนางเย็น
“ไม่ได้เป็นไข้นี่…..” โจวกุ้ยหลานพูดพร้อมจะถามต่อ มือทั้งสองข้างกลับถูกสวีฉางหลินคว้าจับไว้ พร้อมถูมือให้นาง
นางอึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าทำอะไร?”
“มือเจ้าเย็น” สวีฉางหลินพูดตอบ มือก็ยิ่งเคลื่อนไหวเร็วขึ้น
โจวกุ้ยหลานอยากหัวเราะ แต่ก็ไม่บ่ายเบี่ยง พร้อมพูดกับสวีฉางหลินว่า “ตอนนี้เป็นหน้าร้อน เย็นหน่อยไม่ดีหรือ?”
“ไม่ดี” สวีฉางหลินพูดตอบ มือก็ยิ่งเคลื่อนไหวเร็วขึ้น
สักพัก มือของโจวกุ้ยหลานก็อุ่นขึ้นมา ฝ่ามือก็มีเหงื่อไหลไม่น้อย
หลังจากผ่านไปไม่นาน ท้องของโจวกุ้ยหลานก็ร้องขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานพลิกมือมาดึงสวีฉางหลิน แล้วรีบเดินไปที่ร้านร้านหนึ่ง พร้อมพูดกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งว่า “เถ้าแก่ เกี๊ยวน้ำสองชาม”
“ได้ จะรีบยกไปให้” พูดเสร็จ เถ้าแก่ก็ตักรวดเร็วมาก พร้อมยกเกี๊ยวน้ำมาให้