บทที่ 266 ลืมดูฤกษ์ยาม

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 266 ลืมดูฤกษ์ยาม

อาจเป็นเพราะในวันนี้ นางออกมากับสวีฉางหลินเพียงลำพัง จึงทำให้โจวกุ้ยหลานรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก

มินานต่อมา เกี๊ยวน้ำก็นำมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาคนละชาม โจวกุ้ยหลานคีบเกี๊ยวตัวหนึ่งใส่เข้าปาก รสชาติอาหารค่อนข้างจืด แต่รสชาติของไส้นั้นพอจะชิมออกว่ายอดเยี่ยมทีเดียว

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้กินอาหารจากข้างทางในตำบลเช่นนี้ อาหารร้อนระอุทำให้นางรู้สึกดีทีเดียว

สวีฉางหลินก็กินเข้าไปคำหนึ่งเช่นกัน จากนั้นเขาก็ได้เอ่ยวิเคราะห์ว่า “มิอร่อยเท่ากับเจ้าทำ”

โจวกุ้ยหลานรีบยกนิ้วขึ้นห้ามประโยคนั้นของเขา

จะว่าไป……นางก็ดีใจ แต่บัดนี้อยู่ในร้านของคนอื่น หากบอกว่าเถ้าแก่ทำมิอร่อย เกรงว่าเถ้าแก่เนี้ยจะออกมาด่าเอาว่ามาหาเรื่อง

ขณะที่ตั้งใจจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา ก็ได้ยินน้ำเสียงของชายหนุ่มอันหยาบกร้านดังขึ้นจากด้านหลังว่า “เถ้าแก่เนี้ย เอาเกี๊ยวให้ข้าชามหนึ่ง!”

น้ำเสียงนี้ดูคุ้นหูเหลือเกิน……

โจวกุ้ยหลานครุ่นคิดอยู่ในใจแล้วหันหลังมองโต๊ะที่ห่างออกไปมิไกลนัก พบว่ามีชายร่างกายกำยำคนหนึ่งนั่งอยู่ นั่นก็คือพ่อค้าจางที่เพิ่งมีเรื่องกับพวกเขาก่อนหน้านี้

เถ้าแก่เนี้ยตอบรับแล้วสนทนากับเขาขึ้นว่า “พ่อค้าจางเป็นอะไรไป ดูหงุดหงิดแต่เช้าเชียว?”

“หากข้าอารมณ์ดีคงจะแปลก มิรู้ว่าไอ้อีตัวไหนกัน ขายเนื้อไปที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้พวกเขามิซื้อเนื้อข้า!”

โจวกุ้ยหลานนิ่งเงียบ นางสัมผัสได้ว่าพวกตนเข้าไปแย่งการค้าของพ่อค้าจางเข้าเสียแล้ว……

เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนที่มีอารมณ์เย็น นางหรี่ตาแล้วเอ่ยว่า “กิจการค้าขายเจ้าดียิ่ง เนื้อนั้นต้องขายหมดแน่”

“วันนี้ข้าตั้งใจซื้อหมูตัวเบ้อเร่อมา หวังว่าจะได้เงินก้อนโต อย่าให้ข้าเห็นเชียวว่าเป็นใคร ข้าจะซัดมันให้ตายคามือ!”

ประโยคนี้ดูเกินเหตุเกินผล จึงทำให้สวีฉางหลินที่ฟังอยู่เริ่มเคลื่อนไหว แต่โจวกุ้ยหลานเข้ามากุมมือเขาเอาไว้เป็นความหมายว่าให้เขาปล่อยวาง

ในวันนี้พวกเขามาเที่ยวเล่นมิอยากมีเรื่อง

มิอยากจะต้องอารมณ์เสีย

เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็ใช้ช้อนตักเกี๊ยวในชามใส่ปากสวีฉางหลินกล่าวว่า “เอ้านี่ กินเยอะ ๆ อีกประเดี๋ยวเรายังมีหลายแห่งทีเดียวที่ยังมิได้เดินเที่ยว”

เมื่อสวีฉางหลินเห็นว่าภรรยาของตนมิอยากมีเรื่อง เขาจึงทำได้เพียงอดทนเอาไว้แล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารของตนต่อไป

ทางด้านของพ่อค้าจาง สนทนาอยู่สองสามประโยคก็ได้เปลี่ยนหัวข้อคุยเรื่องของเถ้าแก่เนี้ยต่อ

โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินกินอิ่มแล้วก็ได้วางเงินไว้บนโต๊ะ ก่อนที่นางจะจากไปพร้อมกับสวีฉางหลิน

ทั้งสองเดินไปที่ร้านขายเสื้อผ้า โจวกุ้ยหลานเหลือบเห็นชุดสีเขียวสดใสด้านในดูมิเลว จึงดึงสวีฉางหลินเข้าไป นางเอื้อมมือไปสัมผัสชุดนั้นแล้วหันมาถามราคาว่าเท่าไหร่

เถ้าแก่เห็นว่าโอกาสมาถึงแล้ว จึงรีบกล่าวว่า “แม่นางช่างสายตาเฉียบแหลมหนัก นี่เป็นชุดที่บางที่สุดในร้านของเราเชียว แม้ในวันที่ร้อนที่สุดสวมใส่มันก็จะมิร้อน ราคาเพียงแค่สามตำลึงเท่านั้น”

“สามตำลึงงั้นหรือ?” โจวกุ้ยหลานรีบชักมือกลับ ด้วยกลัวว่าจะทำชุดเสียหาย

“หากมิมีเงินแล้วจะมาที่ร้านขายเสื้อผ้าทำไมกัน หาซื้อผ้าฝ้ายกลับไปตัดชุดเองมิดีกว่าหรือ?”

น้ำเสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง

โจวกุ้ยหลานหันศีรษะกลับไปมอง พบโจวชิวเซียงสวมชุดสีแดงสดใส ประดับด้วยดอกไม้สีแดงที่ศีรษะกำลังเดินตรงเข้ามา ใบหน้านั้นยังคงเหมือนแต่ก่อน ทาแก้มแดงเรื่อราวกับก้นลิง

โลกช่างแคบจริง!

โจวกุ้ยหลานอดมิได้ที่จะถอนหายใจออกมาแล้วดึงเสื้อของสวีฉางหลินให้เข้ามาใกล้ กระซิบว่า “เราทำเวรทำกรรมอะไรไว้กัน ไปที่ใดก็มีแต่ศัตรู?”

“ศัตรู?” ฝ่ายสวีฉางหลินมองไปทางโจวชิวเซียง แล้วหันมามองโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง

ภรรยาของเขามองอย่างไรก็ดูสบายตา นางสะอาดสะอ้านเหลือเกิน

โจวกุ้ยหลานกัดฟันกรอดแล้วกล่าวว่า “หากมิใช่ศัตรูแล้วจะเป็นอะไรได้อีกเล่า เป็นคนรักเก่าหรืออย่างไร?”

สวีฉางหลินเข้าใจได้ว่าโจวกุ้ยหลานกำลังจะกล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาจึงได้หุบปากลง

โจวชิวเซียงเดินตรงเข้ามาแล้วเหลือบมองดูสวีฉางหลิน นางเห็นท่าทางของเขาที่ดูห่างเหินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดหวัง

แต่ครั้นเมื่อนึกถึงว่าตนมีชีวิตการเป็นอยู่ที่สุขสบาย นางก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

เถ้าแก่เห็นโจวชิวเซียงเดินตรงเข้ามาใกล้ จึงได้รีบเอ่ยทักทาย “เฉียนฮูหยิน มิทราบว่าวันนี้ต้องการซื้อหาสิ่งใด ให้ข้าแนะนำให้เอาหรือไม่?”

“ข้าต้องการชุดนั้น “โจวชิวเซียงชี้ไปยังกระโปรงที่โจวกุ้ยหลานจับอยู่แล้วเชิดหน้าขึ้น

โจวกุ้ยหลานมองท่าทางของนางและมิอยากจะเสวนาด้วย จึงชวนให้สวีฉางหลินเดินออกไป

โจวชิวเซียงเข้าใจถึงความหมายของนาง จึงได้เอี้ยวตัวไปดักทางไว้

“ทำไมหรือ เมื่อเห็นข้าก็จะรีบหนีไปเชียว?”

“ข้าเกรงว่าเจ้าจะโมโหข้า และเมื่อถึงเวลานั้นข้าต้องไปขอโทษท่านลุงอีก” โจวกุ้ยหลานตอบกลับแล้วรีบเดินจากไป

โจวชิวเซียงหายใจหอบแล้วยิ้มด้วยใบหน้าอันเหยียดหยาม “เจ้ามันก็แค่คนจน มิมีปัญญาซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ใส่สินะ ดูสภาพของเจ้าสิ สวมใส่สิ่งใดกัน? มิอาจเทียบกับข้าได้แม้แต่น้อย ชีวิตเจ้าทั้งชีวิตนี้ก็คงทำได้เพียงหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน อยู่แต่ในไร่นา”

“ข้ามิอยากสวมใส่เสื้อผ้าเช่นเจ้าหรอก ดูแก่ยิ่งนัก ข้ามีสามีที่ยังหนุ่มยังแน่น ดังนั้นข้าจึงต้องดูแลตนเองให้ยังสาว” โจวกุ้ยหลานกล่าวจบก็เข้าไปคล้องแขนของสวีฉางหลินเอาไว้ ก่อนจะยิ้มไปทางโจวชิวเซียงอย่างหวานชื่น

สวีฉางหลินก็รู้ดีว่าภรรยาของเขากำลังแก้แค้นโจวชิวเซียงอยู่ จึงปล่อยให้นางกระทำโดยมิได้หักห้าม

โจวชิวเซียงเห็นทั้งสองคนสนิทใกล้ชิดกันก็ได้แต่กัดฟันกรอด นางหันไปมองทางสวีฉางหลิน เขาทำท่าทางรักใคร่สนิทสนมกับโจวกุ้ยหลานเหลือเกิน ทำให้ในใจนางอึดอัดยิ่งนัก จึงทำได้เพียงหันไปตะคอกเถ้าแก่ขายเสื้อผ้าว่า “ข้าบอกว่าข้าจะเอาชุดนั้น มิได้ยินหรือ จงไปห่อมาให้ข้า!”

“ช้าก่อน ชุดนั้นข้าเป็นคนเห็นก่อน โปรดนำมันมาให้ข้า” โจวกุ้ยหลานกล่าวขึ้นขัดจังหวะ

เถ้าแก่มองดูทั้งสองคนด้วยท่าทางลำบากใจ

หากกล่าวตามเหตุผลแล้ว ชุดนี้โจวกุ้ยหลานเป็นคนเห็นก่อน นางคนที่จะได้รับมันก่อน แต่เฉียนฮูหยินเป็นลูกค้ารายใหญ่ มักมาซื้อเสื้อผ้าที่นี่เป็นประจำ จะทำให้ขุ่นเคืองใจก็มิได้ ……

“ข้าให้ราคาเป็นสองเท่า” โจวชิวเซียงมิรอให้เถ้าแก่กล่าวสิ่งใด นางก็เอ่ยเงื่อนไขออกมาเอง

แววตาของเถ้าแก่เป็นประกาย นางถูไถฝ่ามือไปมาแล้วหันไปเจรจาเรื่องนี้กับโจวกุ้ยหลาน กลับได้ยินโจวกุ้ยหลานหัวเราะเยาะขึ้นว่า “โจวชิวเซียง เจ้าคิดว่าตระกูลเฉียนทำอะไรก็ได้อย่างงั้นหรือ เจ้าคิดว่าเถ้าแก่จะเป็นคนหน้าเงินเช่นเดียวกับเจ้างั้นหรือ? ข้าเห็นและอยากได้ชุดนี้ก่อน หากว่าเถ้าแก่ขายชุดนี้แก่เจ้า มิเท่ากับทำลายชื่อเสียงของตนหรือ?”

นี่มัน……ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น……

เถ้าแก่ได้แต่อ้าปากค้าง แล้วถกเถียงกับตนเองอยู่ในใจ

สวีฉางหลินเหลือบมองดูภรรยาตัวน้อยของตนแล้วบอกกับเถ้าแก่ว่า “ช่วยนำชุดนั้นใส่ห่อให้ภรรยาของข้าด้วย”

ภรรยา? กล้าเรียกโจวกุ้ยหลานว่าภรรยาต่อหน้านาง!

ในใจของโจวชิวเซียงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก ความเกลียดชังฉายขึ้นมาในดวงตานาง ใบหน้านั้นดูดุร้าย “ข้าให้ราคาเป็นสามเท่า เจ้าจะขายหรือไม่?”

“สามเท่างั้นหรือ เถ้าแก่ ขายให้นางเถอะ ชุดนี้ข้ามิเอาแล้ว” โจวกุ้ยหลานหรี่ตาแล้วยิ้มให้เถ้าแก่ ก่อนจะเดินจูงสวีฉางหลินออกไป