นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 267 เสี่ยวจิ่ว

สวีฉางหลินกลับมิขยับเขยื้อน เขามองไปที่เถ้าแก่แล้วกล่าวว่า “ชุดนี้เราจะเอา”

ชุดกระโปรงราคาสามตำลึงเชียว เขาบ้าไปแล้วหรือ?

โจวกุ้ยหลานรีบเข้าไปดึงตัวสวีฉางหลินเอาไว้เพื่อจะให้เขาเดินออกไป ชุดนี้ราคาสูงเหลือเกินซื้อมิไหว นางสวมชุดของตนเองดีกว่า

อย่างไรก็ตาม สวีฉางหลินที่ว่าง่ายเสมอมา ในวันนี้กลับตั้งใจแน่วแน่ว่าจะซื้อกระโปรงชุดนั้นให้ภรรยาจงได้

มิใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่ภรรยาของเขาจะชื่นชอบเสื้อผ้าสักชุด มิว่าอย่างไรเขาก็จะทำให้ภรรยาต้องผิดหวังมิได้เด็ดขาด

ดวงตาของโจวชิวเซียงดูร้อนแรง นางจ้องไปที่สวีฉางหลินมิขยับ น้ำเสียงนั้นดูสะอื้นเล็กน้อย “พี่ฉางหลิน ยกโทษให้ข้ามิได้หรือ เหตุใดต้องทำกับข้าถึงเพียงนี้?”

สวีฉางหลินนิ่งเงียบ ตัวเขาที่ฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่วัยเยาว์ กลับมิมีวันเข้าใจว่าโจวชิวเซียงกล่าวสิ่งใดอยู่……

“เอาเถอะ ๆ ชุดนี้เรามิเอาแล้ว เจ้ารีบซื้อเถอะ ราคาเก้าตำลึงนะ จงรีบจ่ายเงินเร็วเข้า” โจวกุ้ยหลานหันไปพูดกับโจวชิวเซียง แล้วรีบสะกิดหลังมือเขาให้รีบเดินทางออกไป

แต่สวีฉางหลินก็ยังคงมิขยับเขยื้อน นางรู้ดีว่าบัดนี้สวีฉางหลินกำลังดื้อรั้น จึงเขย่งเท้ากระซิบว่า “หากยังมิไปข้าจะโมโหแล้วนะ”

เมื่อได้ยินว่าภรรยาของตนจะโมโห สวีฉางหลินจึงทำได้เพียงเดินตามโจวกุ้ยหลานออกไป เหลือไว้แค่โจวชิวเซียงกระทืบเท้าปึงปังด้วยความโมโห

หลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงได้รีบสั่งสอนสวีฉางหลินว่า “เจ้าบ้าหรือไงกัน นางยอมจ่ายเงินตั้งเก้าตำลึงเพื่อซื้อชุดนั้น พวกเราก็ยอมให้นางไปเถอะ!”

“เพราะเจ้าชอบ” สวีฉางหลินยังคงครุ่นคิดถึงกระโปรงชุดนั้น

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขามิมีปัญญาจะซื้อแม้แต่ชุดชุดเดียว?

ในใจของโจวกุ้ยหลานรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก นางสัมผัสได้ว่าสวีฉางหลินรักนาง น้ำเสียงจึงดีขึ้นมิน้อย “สิ่งที่ข้าชื่นชอบมีมากมาย เจ้าจะซื้อให้ข้าทุกอย่างได้งั้นหรือ อีกอย่าง ชุดนั้นสวยก็จริง แต่เมื่อดูดี ๆ แล้วก็มิเท่าไร ในตอนหลังที่ข้าเอ่ยเช่นนั้นก็เพราะต้องการจะให้โจวชิวเซียงจ่ายเงินเพิ่ม”

กระโปรงตัวละสามตำลึง นางกลับยืนกรานว่าจะซื้อมันในราคาเก้าตำลึง โจวกุ้ยหลานมิเชื่อหรอกว่าโจวชิวเซียงจะมีเงินมากมายใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเช่นนี้

ถึงอย่างไร ก็นับว่านางได้ระบายอารมณ์ไปแล้ว

สวีฉางหลินมองดูท่าทางของนาง จึงมิได้สนใจเรื่องกระโปรงเมื่อครู่อีก

ทั้งสองคนเดินเล่นไปรอบ ๆ อยู่พักหนึ่ง กระทั่งมาถึงร้านขายเครื่องเขียน โจวกุ้ยหลานก็ซื้อสิ่งของอีกมากมาย

พวกเขาทั้งสองเดินถือของเที่ยวเล่นจนกระทั่งกลางวันจึงหาร้านอาหารริมถนนเพื่อกินมื้อกลางวัน บัดนี้โจวกุ้ยหลานรู้สึกเหนื่อยแล้ว ทั้งสองคนเที่ยวชมอยู่หนึ่งรอบจึงได้ไปที่หน้าประตูตำบลเพื่อนั่งเกวียน ระหว่างรอคนในหมู่บ้านอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นว่าป้าอู๋เดินก้มหน้าก้มตาผ่านท่ารถไป

สตรีที่อยู่ในรถเอ่ยเรียกนางให้นางมานั่งเกวียนด้วยกัน แต่นางกลับส่ายหน้าอย่างขมขื่นแล้วก้าวขาเดินต่อไปข้างหน้า

“เห้อ ป้าอู๋ชีวิตช่างน่าสังเวชเหลือเกิน หลายปีมานี้ลูกสะใภ้ของนางสุขภาพมิดี นี่ก็เกรงว่าจะมาหาซื้อยาให้อีกแล้ว”

“เจ้ามิเห็นหรือว่านางมิได้ถือยาอยู่ในมือ แต่ข้าเห็น เกรงว่านางจะมิมีเงินซื้อยาน่ะสิ”

พวกเขาเหล่านั้นสนทนากันขณะที่เหล่าหม่าโถวเกวียนกำลังจะขับเกวียนออกไป ก็พบสตรีชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า รั้งเกวียนของเขาเอาไว้

เมื่อโจวกุ้ยหลานมองไปก็ต้องตกตะลึง สตรีผู้นี้สวมเสื้อผ้าสีดำรัดรูป ผมเผ้าถูกจัดวีเป็นทรงเรียบร้อย ในมือถือดาบอยู่เล่มหนึ่ง เพียงยืนอยู่ตรงนั้นก็สัมผัสได้ว่านางมิธรรมดา

สตรีนางนั้นสนทนากับเหล่าหม่าโถวเกวียนอยู่สองสามประโยคก่อนจะหันกลับมา บังเอิญสบตาเข้ากับโจวกุ้ยหลาน โจวกุ้ยหลานตกใจกับแววตาอันเยือกเย็นของนางนั้น แล้วละสายตากลับมองไปยังทิศทางที่นางมอง ซึ่งก็คือสวีฉางหลินที่อยู่ข้างกายของตน และยังพบว่าแววตาของสวีฉางหลินเต็มไปด้วยเงาของคนผู้นั้น

มิรู้เพราะเหตุใดโจวกุ้ยหลานจึงรู้สึกใจสั่น

นางจับมือของสวีฉางหลินอย่างไม่รู้ตัว แต่สวีฉางหลินกลับมิได้ตอบสนองทันทีเหมือนดั่งเคย

นางหันกลับไปมองสตรีผู้นั้นอีกครั้ง และพบว่าสตรีผู้นั้นมองมาทางสวีฉางหลินด้วยท่าทางอันสนิทสนม สายตาของทั้งคู่ราวกับมีประกายไฟเกิดขึ้น

โจวกุ้ยหลานกระสับกระส่ายขึ้นทันใด ก่อนหน้านี้นางมิเคยคิดมาก่อนว่าสวีฉางหลินจะหลงรักสตรีอื่น แต่วินาทีนี้นางสัมผัสได้ว่า บางที……บางที ตัวสวีฉางหลินในอดีตอาจจะยังมิเคยได้พบกับสตรีที่เขาเฝ้ารอมานับพันปี……

“เจ้าจะไปที่ใด?” โจวกุ้ยหลานก็มิรู้ว่าเหตุใดนางจึงต้องสนทนากับสตรีคนนั้น เพียงแต่ว่านางมิอยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกสวีฉางหลินกีดกันออกมาจากโลกของเขา

สตรีนางนั้นได้ยินคำถามของโจวกุ้ยหลานก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เดิมทีโจวกุ้ยหลานคิดว่านางจะมิเอ่ยปากตอบแล้ว แต่นางกลับกล่าวอย่างใจเย็นว่า “หมู่บ้านต้าสือ”

“แม่นาง พวกเราเป็นคนจากหมู่บ้านต้าสือ เจ้าจะไปที่นั่นทำอะไรกัน?” บนรถนั้นมีสตรีนางหนึ่งเอ่ยโต้ตอบ

สตรีนางนั้นหันไปพยักหน้า แล้วก้าวขาขึ้นไปบนเกวียน

เหล่าสตรีในหมู่บ้านมิเคยเห็นคนเช่นนี้มาก่อนจึงทำให้ประหลาดใจยิ่งนัก และพากันคิดในใจว่าสตรีนางนี้ช่างหน้าตางดงามเหลือเกิน

ฝ่ามือของโจวกุ้ยหลานมีเหงื่อไหลซึม สวีฉางหลินที่มีปฏิกิริยากับร่างกายของนางเป็นที่สุด บัดนี้มิรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่สายตาจึงมิได้มองมาที่โจวกุ้ยหลานเลย

โจวกุ้ยหลานกัดฟันพยายามบังคับความรู้สึกอันไร้เหตุผลที่ดูกระวนกระวายอย่างมิเคยเป็นมาก่อน

เมื่อเหล่าหม่าโถวเกวียนเห็นว่าจำนวนคนบนรถมีมากพอควร เขาจึงได้รีบขับเกวียนมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านต้าสือ

ในตอนแรก เหล่าสตรีต่างพากันเอ่ยถามสนทนากับสตรีชุดดำคนนั้น แต่นางกลับนิ่งเงียบมิเอ่ยตอบ ต่อมาจึงมิมีใครเอ่ยถามอีก และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป

สวีฉางหลินมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา แววตาได้แต่มองไปข้างหน้า และสตรีนางนั้นก็เอาแต่จ้องมองสวีฉางหลิน

โจวกุ้ยหลานก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมานางนั่งอยู่เงียบ ๆ

ในมิช้าเกวียนก็ขับมาถึงหมู่บ้านต้าสือ ทุกคนพากันลงจากเกวียนและจ่ายเงินค่าเดินทาง โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินมุ่งหน้าไปทางภูเขาด้วยกัน

สตรีชุดดำนางนั้นยังคงเดินตามพวกเขาขึ้นไปบนภูเขา

โจวกุ้ยหลานอยากจะเอ่ยถามเหลือเกิน ว่าสตรีนางนี้มาจากที่ใดกัน และมีธุระอันใดมาที่นี่ แต่สติสัมปชัญญะบอกกับนางว่า มิสามารถเอ่ยถามได้

เมื่อสวีฉางหลินและโจวกุ้ยหลานเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู โจวกุ้ยหลานก็อดมิได้อีกต่อไป นางหันหลังกลับต้องการจะเอ่ยถามสตรีนางนั้นว่ามีธุระอันใดกับพวกนางหรือไม่ แต่สตรีนางนั้นเอ่ยปากถามสวีฉางหลินขึ้นก่อนว่า “พวกเจ้าต้องการผู้คุ้มกันหรือไม่?”

“พวกข้ามิ……”

“ต้องการ” น้ำเสียงของสวีฉางหลินดูเย็นชา ทำให้โจวกุ้ยหลานสำลักประโยคนั้นอยู่ในลำคอ

โจวกุ้ยหลานอธิบายมิถูกถึงความรู้สึกในใจ นางหรี่ตามองดูสวีฉางหลินแล้วเอ่ยปากว่า “พวกเรามิได้มีเงินมากนัก”

“ข้ามิต้องการเงิน เพียงขออาหารสามมื้อ” สตรีนางนั้นเอ่ยตอบ

โจวกุ้ยหลานหันไปทางสวีฉางหลิน สวีฉางหลินเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “นามของเจ้า”

“เสี่ยวจิ่ว”

สตรีนางนั้นมิสนใจท่าทีของโจวกุ้ยหลานแล้วรีบเอ่ยขึ้น

ในใจของโจวกุ้ยหลานราวกับถูกตีด้วยกลอง ความรู้สึกอันไร้เรี่ยวแรงช่างสุดพรรณนา

ในครั้งนี้ สวีฉางหลินกลับมิสนใจนางและเดินหันหลังเข้าไปในเรือน สตรีนางนั้นก็เดิน ๆ ตามเขาไปด้วยเช่นกัน

โจวกุ้ยหลานมองเห็นทั้งสองคนเดินเข้าไปด้วยกันในเรือน ท่าทางของสตรีนางนั้นช่างเย็นยะเยือกอย่างสุดพรรณนา สวีฉางหลินเองก็เช่นกัน