ข้ายังกังวลใจอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าข้าส่งพวกจิงฉือไปเป็นกำลังหนุนได้ก็วางใจ ขณะที่จะกำชับเพิ่มอีกสองสามประโยคแล้วยอมให้เสี่ยวซุ่นจื่อหัวเราะที่ข้าขี้บ่น ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแต่ไกล เพียงฟังเสียงก็รู้ว่ายงอ๋องมา เขาน่าจะมาขออภัย ข้าย่อมต้องหาทางลงให้เขาสักทางจึงโบกมือให้เสี่ยวซุ่นจื่อถอยไปแล้วรอจนยงอ๋องเดินเข้ามา ทว่าสีหน้าของยงอ๋องกลับมีความเศร้าสร้อยอันยากจะพรรณนา หัวใจข้ากระตุกวูบหนึ่งก่อนถามขึ้นว่า “เหตุใดองค์ชายจึงเศร้าเสียใจเช่นนี้”
หลี่จื้อตอบอย่างขื่นขม “วันนี้น้องหญิงยืนยันว่าจะออกจากวังไปบำเพ็ญตนที่วัดอู๋เฉิน เสด็จพ่อกับพระสนมจ่างซุนห้ามปรามไม่ได้จึงจำต้องรับปาก แต่ไม่อนุญาตให้นางปลงผมออกบวช”
ข้าสะท้านอยู่ในอก พูดไม่ออกอีกแม้แต่ประโยคเดียว เมื่อเห็นแววตาร้อนแรงของยงอ๋อง ข้าจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ “องค์ชาย บุพเพสันนิวาสมิอาจฝืน องค์หญิงมุ่งมั่นแสวงหาพระธรรม บางทีนั่นอาจเป็นหนทางที่ทำให้นางสงบสุขก็เป็นได้”
หลี่จื้อถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่พูดแล้ว ขอเพียงน้องหญิงไม่โกนผม วันหน้าย่อมแก้ไขได้ ก้าวต่อไปพวกเราสมควรทำเช่นไรดีเล่า การแต่งงานระหว่างฉินชิงกับองค์หญิงจิ้งเจียงทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน”
ข้าหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายมิต้องกังวล สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้คือองค์ชายต้องดูแลตระกูลฉินให้ดี มิฉะนั้นหากพวกเขาไปเข้ากับฝั่งรัชทายาทคงแย่ ข้าคิดว่าแม่ทัพใหญ่ฉินคงไม่เขลาเช่นนั้น ตระกูลฉินยังมีคุณชายน้อยอีกหลายคน”
หลี่จื้อตาเป็นประกายแต่ไม่ตอบ ข้ารู้ว่าเรื่องเหล่านี้เขารู้ว่าสมควรทำเช่นไรมากกว่าข้าเสียอีก ตอนนี้เองข้าก็เห็นเงาลับๆ ล่อๆ ของจิงฉือ เมื่อคืนเขาคงหนีออกไปเที่ยวกระมัง ผู้ใดใช้ให้สวนเหมันต์ทำเขาอึดอัดแทบแย่กันเล่า เดิมทีข้าจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขา แต่คิดอีกทีหนึ่งก็เอ่ยว่า “แม่ทัพจิง ยังไม่มาคารวะองค์ชายอีก”
จิงฉือชะงักเท้าแล้วเดินเข้ามาคารวะองค์ชายตามระเบียบ ข้าหัวเราะก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “องค์ชายอยากให้ท่านแต่งกลอนสักบท ท่านคิดว่าอย่างไร”
จิงฉืออ้าปากหวอ ไม่รู้ว่าสมควรทำเช่นไรดี ยงอ๋องหัวเราะ “ได้ยินว่าท่านร่ำเรียนจนเขียนบทกวีได้แล้ว ข้าสนใจนัก เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะตั้งหัวข้อให้ จริงสิ เมื่อครู่ท่านจะไปทำอะไร”
จิงฉือตอบอย่างกระอักกระอ่วน “คืนวานผู้น้อยออกไปเล่นพนันมา ตอนนี้เพิ่งกลับจึงอยากไปนอน”
หลี่จื้อถลึงตาใส่เขา จากนั้นเอ่ยว่า “เอาเช่นนี้ ท่านใช้คำว่า ‘นอน’ เป็นหัวข้อก็แล้วกัน”
จิงฉือคิดอยู่นานกว่าจะเอ่ยออกมาได้หนึ่งวรรค “พระพุทธองค์นอนสบาย”
หลี่จื้อหัวเราะดังพรืดแล้วว่า “นี่น่าสนใจทีเดียว ดูท่าท่านคงจะไปดูพระนอนองค์นั้นที่วัดต้าฮว่ามาสินะ”
จิงฉือรีบตอบ “พ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานกระหม่อมกับแม่ทัพจ่างซุนไปวัดต้าฮว่า เพราะดึกเกินจึงไม่ได้กลับ”
ข้าหัวเราะ “เอาละ ไม่ต้องอธิบายแล้ว แต่งกลอนต่อเถอะ หากท่านแต่งกลอนได้ ข้าจะละเว้นท่าน มิฉะนั้นข้าจะให้ท่านคัดตำราพิชัยสงครามทั้งวัน”
จิงฉือรีบร้อนตอบ “คิดออกแล้ว เรื่องวุ่นวายมลายในนิทรา ข้าเอาอย่างหลับใหลสุขอุรา” พอแต่งถึงตรงนี้ คิดเท่าไรก็แต่งวรรคสุดท้ายไม่ได้
หลี่จื้อหัวเราะ “วรรคที่สองนี่ถึงจะเหมือนกลอนขบขันอยู่บ้างแต่ก็พอใช้ได้ วรรคสุดท้ายว่าอย่างไร จิงฉือ หากท่านแต่งไม่ได้ ท่านเจียงคงต้องแพ้แล้ว”
จิงฉือเค้นสมองจนเวียนหัว ในใจคิดว่าหากท่านเจียงพ่ายแพ้ น่ากลัวว่าวันนี้เขาอย่าฝันจะได้นอน คิดมาคิดไปก็ยังคิดไม่ออก มีแต่เหงื่อออกมาท่วมศีรษะ หลี่จื้อยิ้มละไม “คิดไม่ออกก็ช่างเถิด ท่านเป็นแม่ทัพ ปราบใต้หล้ายังพอไหว แต่งกาพย์กลอนคงมิไหว”
บัดนั้นเองจิงฉือพลันบังเกิดปฏิภาณ นึกถึงตอนเจียงเจ๋อสอนหนังสือ ทุกครั้งเขามักจะเอ่ยคำว่าทหารกล้า สมรภูมิ จิงฉือจึงโพล่งออกมาว่า “ถึงเวลามิมีผู้ใดลงสมรภูมิ”
ข้ากับหลี่จื้อนิ่งอึ้ง ความจริงข้าไม่คาดคิดว่าจะชนะยงอ๋อง เพราะคิดไม่ถึงว่าจิงฉือจะแต่งกลอนบทหนึ่งออกมาได้จริง
หลี่จื้อทวนซ้ำ “พระพุทธองค์นอนสบาย เรื่องวุ่นวายมลายในนิทรา ข้าเอาอย่างหลับใหลสุขอุรา ถึงเวลามิมีผู้ใดลงสมรภูมิ ดีๆ วรรคสุดท้ายนี่ทำให้ก้อนกรวดกลายเป็นทองแล้วยังมีสีสันของการเป็นแม่ทัพ ข้ายอมแพ้อย่างเต็มใจ” กล่าวจบก็ปลดหยกห้อยส่งมาให้ข้า “สุยอวิ๋นสอนหนังสือครึ่งเดือนทำให้จิงฉือแต่งกลอนได้ หลี่จื้อนับถือ”
ข้ารับหยกมาพลางยิ้มเจื่อน ก่อนจะเอ่ยว่า “จิงฉือ หยกชิ้นนี้องค์ชายแพ้เดิมพันให้ข้า ข้าจะยืมดอกไม้ถวายพระยกให้ท่าน เพราะหากท่านแต่งกลอนไม่ได้ คนที่แพ้ย่อมเป็นข้า”
จิงฉือรับหยกห้อยไปอย่างนอบน้อมพลางตอบว่า “ขอบคุณท่านเจียงที่มอบให้”
ข้าหัวเราะพลางส่ายศีรษะ นี่จะให้ข้าพูดอันใดดีเล่า คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพผู้หยาบกระด้างคนนี้จะทำให้ข้าต้องมองเขาใหม่จริงๆ เดิมทีข้าคิดจะตั้งใจแพ้ยงอ๋องแล้วมอบเข็มขัดหยกป้องกันตัวเส้นนี้ให้เขา ดูท่าครั้งนี้จะทำไม่ได้เสียแล้ว
ณ ตรอกหย่งหนิง เจ้ากรมคลังเหลียงจิ่นเฉียนมองโคมไฟอันเปลี่ยวเหงา ในใจเต็มไปด้วยความหวั่นกลัว เขาคือจิ้งจอกเฒ่าผู้ล่องอยู่ในวงการขุนนางมานานปี จะมองสถานการณ์ดีร้ายไม่ออกได้เช่นไร นับตั้งแต่คดีกรมคลังลักลอบค้าของเถื่อนเปิดเผย เขาก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว ชุยยางได้รับคำสั่งมาตรวจสอบอะไรกัน เขารับบัญชารัชทายาทมาค้าของเถื่อนชัดๆ ส่วนตนก่อนหน้านี้ถูกกันอยู่วงนอก แม้หลังเกิดเรื่องไม่ถูกปลด แต่เมื่อเห็นรัชทายทวุ่นวายกับการลิดรอนอำนาจของตน เขาก็รู้แล้วว่าอนาคตของตนจะเป็นเช่นไร
เขารู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่งจนอยากจะนำสมุดบัญชีที่ลอบบันทึกไว้ไปร้องเรียนรัชทายาท แต่เมื่อนึกเทียบสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้าแผ่นดินขุนนางกับบิดาบุตร เขาก็ท้อใจหมดหวัง สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือระหว่างที่เขาครุ่นคิดไม่ตกว่าเหตุใดรัชทายาทจึงคิดกำจัดตน เขาก็บังเอิญนึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นหน้าน้องภรรยาของตนมาหลายวันแล้ว เขาฉุกใจคิดจึงรีบไปตรวจดูสมุดบัญชีที่ตนลอบบันทึกไว้ พบว่าสัญลักษณ์ลับที่ตนทำไว้ด้านในหายเกลี้ยงไม่เหลือร่องรอย ยามนั้นเขารู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นสาดบนร่างกลางหน้าหนาวแล้วเข้าไปอยู่ในห้องน้ำแข็ง เมื่อคิดว่าหลังตนเองตาย ภรรยาและบุตรชายบุตรสาวล้วนยากหนีพ้นภัย เขาก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ผืนดินใต้แผ่นฟ้า มีตรงไหนมิใช่ของจักรพรรดิ ตนจะหนีไปได้ถึงที่ใดเล่า
ยังไม่ทันคิดหาทางออกได้ มือสังหารของสำนักเฟิงอี้ก็ปรากฏตัวข้างกายตน คนผู้นี้เป็นสตรีหน้าตางดงามสวมอาภรณ์สีม่วงแต่รอบกายมีแต่ไอสังหารน่าขนลุก เมื่อเห็นลูกชายคนเล็กสุดแสนรักของตนที่สตรีนางนี้อุ้มอยู่ เขาก็ยอมแพ้ เขาส่งมอบอำนาจทั้งหมดในมือตามคำสั่งของนาง ตอนนี้เขาเป็นคนไร้ประโยชน์ถูกรัชทายาทกักตัวอยู่ในบ้าน คิดว่าผ่านไปอีกไม่นาน หลังเรื่องราวสงบ ตนไม่ถูกยัดเยียดความผิดข้อหาลอบค้าอาวุธของกองทัพ ถูกริบทรัพย์ประหารชีวิตก็คงถูกปลดเป็นสามัญชน หลังจากนั้นตายระหว่างทาง ความจริงแล้วเขาตายได้ ชีวิตนี้เขาลิ้มรสยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทองของสวยงามมาจนหมดแล้ว ความตายของตนเป็นเรื่องเล็ก แต่ครอบครัวของตนเล่าควรทำเช่นไร ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเดือน เส้นผมของเขาก็ขาวโพลนดุจเกล็ดน้ำแข็ง หน้าตาที่เดิมทีอิ่มเอิบสมบูรณ์กลับกลายเป็นซูบเซียวแก่ชรา
เขากำลังเค้นสมองคิด ทันใดนั้นประตูห้องหนังสือก็ถูกผลักเปิดเบาๆ คนชุดดำผู้หนึ่งเดินเข้ามา เหลียงจิ่นเฉียนเห็นเข้ากลับดูเหมือนไม่ตกใจ เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้ามาเอาชีวิตข้าหรือ ข้ารออยู่นานแล้ว ความจริงแม่นางคนนั้นก็อยู่ที่เรือนด้านหลังตลอด ให้นางสังหารข้าจะไม่สะดวกกว่าหรือ”
คนชุดดำผู้นั้นปิดประตูแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าตาย ครอบครัวย่อมโชคร้ายไปด้วย เจ้าไม่คิดขัดขืนหรือ”
เหลียงจิ่นเฉียนฉุกใจคิด เสียงนี้นุ่มนวลน่าฟังไม่เหมือนคนธรรมดา เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ใบหน้าของคนผู้นั้น คนผู้นั้นพันผ้าสีดำปิดบังใบหน้า เผยออกมาเพียงดวงตาเย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูกคู่หนึ่ง
เขาเอ่ยแช่มช้า “เหตุไฉนข้าจะมิรู้ แต่ยามนี้ร่วงลงมาติดกลางตาข่าย ไร้กำลังดิ้นรน”
คนผู้นั้นดึงผ้าปิดหน้าลงแผ่วเบา เผยใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เย็นเยือกดุจน้ำแข็งออกมา เขายิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “ความตายบ้างเบาดั่งขนนก บ้างหนักดุจเขาไท่ซาน หากเจ้าตายตามแผนของรัชทายาท ไม่เพียงจะลากครอบครัวมาเกี่ยวด้วย แต่ยังทำให้คนชั่วได้ประโยชน์ แต่หากเจ้ายอมฆ่าตัวตาย ข้ารับประกันได้ว่าครอบครัวของเจ้าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุข วันหน้าหากลูกหลานของเจ้ามีใจสู้ก็ยังสร้างชื่อเสียงได้อีกครั้ง”
เหลียงจิ่นเฉียนดวงตาเป็นประกาย ฆ่าตัวตายหรือ หากตนฆ่าตัวตาย บางทีคนเหล่านั้นอาจไม่สร้างความลำบากให้ครอบครัวตน แต่เรื่องนี้จะรับประกันได้อย่างไรเล่า เขาไม่กล้าเชื่อถือเกียรติของรัชทายาทจริงๆ ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนของรัชทายาท หากข้าฆ่าตัวตาย รัชทายาทจะปล่อยคนในครอบครัวข้าไปจริงหรือ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคลางแคลง
คนผู้นั้นหัวเราะเสียงแผ่วแล้วตอบว่า “คำสัญญาของรัชทายาทคงรับประกันมิได้ แต่คำสัญญาของยงอ๋อง เจ้าเชื่อถือหรือไม่”
เหลียงจิ่นเฉียนตกตะลึง “เจ้าเป็นคนของยงอ๋อง”
คนผู้นั้นเอ่ยเสียงราบเรียบ “ยงอ๋องทราบว่าเจ้าทำงานให้รัชทายาทมาไม่น้อย แต่วันนี้รัชทายาทเตรียมทอดทิ้งเจ้าแล้ว ครอบครัว บุตรชาย บุตรสาวของเจ้าคงจะได้ลงสุสานตามกันไป หากเจ้ายอมฆ่าตัวตาย ครอบครัวของเจ้า ยงอ๋องจะจัดการให้พวกเขาพำนักอยู่ที่โยวโจว องค์ชายเป็นผู้รักษาสัจจะ ไม่หลอกลวงเจ้าเป็นอันขาด”
เหลียงจิ่นเฉียนขบคิดร้อยตลบในที่สุดก็ตอบว่า “ข้าเชื่อความจริงใจของยงอ๋อง หากข้าติดตามท่านอ๋องตั้งแต่แรกก็คงไม่มีจุดจบเช่นวันนนี้” กล่าวจบก็หยิบสมุดที่มีรอยหมึกใหม่เล่มหนึ่งออกมา “ข้าเคยบันทึกรายการเงินที่รัชทายาทยักยอกจากกรมคลังไว้แต่ถูกเอาไปแล้ว เล่มนี้เป็นเล่มที่ข้าอาศัยความทรงจำเขียนขึ้นมาในช่วงหลายวันนี้ หวังว่าจะมีประโยชน์กับยงอ๋อง”
คนผู้นั้นรับสมุดไปแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์ชายจะขอบคุณความใส่ใจของเจ้า นี่คือหงอนกระเรียนแดง เจ้าจะไม่ทุกข์ทรมานแน่นอน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากร่ำลากับครอบครัว แต่ข้ามิอาจเสี่ยง ดังนั้นต้องลำบากเจ้าแล้ว หากเจ้ามีคำสั่งเสียใดก็เขียนไว้ได้”
เหลียงจิ่นเฉียนขยับยิ้ม เขาหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายสั้นๆ ฉบับหนึ่ง ไม่แม้แต่จะปิดผนึกก็ส่งให้คนผู้นั้นทั้งแบบนั้น แล้วเอ่ยว่า “ราชสำนักของเรายามมีขุนนางใหญ่ได้รับโทษตาย จักรพรรดิก็มักจะประทานหงอนกระเรียนแดงให้ ยงอ๋องวางอุบายได้เหนือผู้อื่นจริงๆ โปรดบอกองค์ชายว่ากระหม่อมเชื่อในคำสัญญาของเขา” กล่าวจบก็ดื่มคำเดียวจนหมด เพียงครู่เดียวโลหิตก็ไหลออกจากเจ็ดทวารจนสิ้นใจ
คนผู้นั้นเปิดกระดาษออกดู บนนั้นเขียนตัวอักษรบรรจงไว้สองบรรทัด
‘อย่าละโมบทรัพย์จนเสื่อมเกียรติ อย่ารักอำนาจจนวางวาย’
คำสั่งเสียของเหลียงจิ่นเฉียน
ปีเจี่ยซวี[1] รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสี่ วันที่สองเดือนหก
[1]เจี่ยซวี ปีสุนัข ปีที่ 11 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า
ตอนต่อไป