บทที่ 417 พวกเจ้ามีคำขออะไรจากข้าไหม
บทที่ 417 พวกเจ้ามีคำขออะไรจากข้าไหม
เซี่ยเต๋าอวิ๋นยืนอยู่ข้างหน้าต่างในห้องส่วนตัว ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ทั้งสองคนที่กำลังแสดงกันอยู่ นางกล่าวว่า “การจับคู่ของเซียวและพิณใช้ได้กับเพลงนี้ แต่ขาดความชัดเจนที่เขาเคยคุยโวเอาไว้”
ขณะที่นางพูด ทำนองของพิณก็ค่อย ๆ ดังกระชั้นขึ้น ในขณะที่เซียวก็แผ่วไปในเบื้องหลัง ทว่าเสียงของเซียวไม่ได้จางหายไปโดยสมบูรณ์ แต่ยังคงคลอเคลียอยู่เหมือนก้อนเมฆที่ถูกลมพัดผ่านอย่างแผ่วเบา ทำให้ทำนองเพลงเร้าใจมากยิ่งขึ้น
“นี่…” ใบหน้าที่สวยงามของเซี่ยเต๋าอวิ๋นเต็มไปด้วยความตกใจ นางพึมพำกับตัวเอง “พิณและเซียวสามารถบรรเลงร่วมกันได้…เป็นการจับคู่อันไร้ที่ติอย่างแท้จริง!”
เสียงเพลงจากพิณดังขึ้นราวกับเพลงปลุกใจยามสงคราม อย่างไรก็ตาม เสียงของเซียวก็ยังคงอ่อนโยนและแผ่วพริ้ว
ท่วงทำนองดำเนินไปเรื่อย ๆ ก่อนที่พิณจะค่อย ๆ เงียบลง โดยที่เสียงเซียวกลับมาดังอีกครั้ง เครื่องดนตรีทั้งสองยังคงผลัดกันดังผลัดกันเบา ถี่ห่างและกระชั้นนิ่มนวล จนเกือบจะเหมือนกับว่ามีพิณ และเซียวหลายตัวถูกเล่นพร้อมกัน
แม้ว่าท่วงทำนองของพิณและเซียวจะซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ท่วงทำนองแต่ละท่อนก็งดงามและไหลลื่น
เซี่ยเต๋าอวิ๋นถอนหายใจด้วยความชื่นชม ไม่น่าแปลกใจในความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของชิวฮัวเล่ย เพลงนี้แม้แต่ในมุมมองของผู้ฟังก็ยังดูซับซ้อนมาก นางนึกไม่ออกว่าถ้าเป็นผู้บรรเลงซะเองจะยากขนาดไหน?
สีหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามค่อย ๆ จางหางไปจากฝูงชน พวกเขารู้สึกว่าเส้นเลือดสูบฉีดเมื่อเพลงถึงจุดสุดยอด พวกเขาลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ดั่งรู้สึกเหมือนอยู่ในสนามรบ ต่อสู้เพื่อครอบครัว ต่อสู้เพื่อประเทศ ต่อสู้เพื่อชะตากรรมของโลกนี้
ขณะที่เพลงดำเนินไป พิณและเซียวก็แลกเปลี่ยนกันเป็นครั้งสุดท้าย คลื่นแห่งความเศร้าโศกลึกลับปกคลุมไปทั่วห้องโถงและผู้ชมก็เริ่มหลั่งน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
ด้วยเสียงที่เร้าใจ เสียงพิณก็หยุดลงกะทันหัน และเสียงของเซียวก็จางหายไปเช่นกัน
ความเงียบสงัดปกคลุมหอสุขนิรันดร์ ซึ่งไม่มีใครอยากส่งเสียงออกมา ทุกคนกำลังดื่มด่ำกับบทเพลงที่เพิ่งจางหายไป
ชิวฮัวเล่ยตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ นางแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางคือคนที่บรรเลงท่วงทำนองที่ไพเราะเช่นนี้
นางลดเซียวลงเพื่อมองไปยังซูอัน
เดิมทีนางวางแผนที่จะช่วยเขาอย่างลับ ๆ แต่ใครจะรู้ว่า ชายคนนี้จะเป็นคนทำเรื่องน่าประหลาดใจให้นางได้แบบนี้?
“นายน้อยซู เพลงนี้มีชื่อหรือไม่?”
ซูอันยืนขึ้นช้า ๆ “เพลงนี้ชื่อว่า ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ ข้าจะมอบเพลงนี้ให้เจ้าเป็นของขวัญด้วยความหวังว่าเจ้าจะปล่อยความเศร้าโศกลอยจากไป และแทนที่ด้วยความภาคภูมิใจและยิ้มได้เหมือนเพลงนี้”
“ท่านให้ข้าจริง ๆ เหรอ?” ชิวฮัวเล่ยไม่สามารถซ่อนความยินดีของนางได้ เพราะในหอคณิกา เพลงที่ดีเพลงหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะผลักดันผู้บรรเลงให้ได้รับตำแหน่งคณิกาอันดับหนึ่ง
แม้ว่านางจะเป็นที่รู้จักดีในเมืองจันทร์กระจ่าง แต่ยังมีคณิกาอีกหลายคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังเกินกว่านางมาก ด้วยเพลงนี้ ชื่อของนางอาจเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งอาณาจักร!
“แน่นอน ข้าให้เจ้า” ซูอันพูดด้วยรอยยิ้ม มันก็แค่เพลง ๆ หนึ่ง จำเป็นต้องดีใจขนาดนี้เลยเหรอ?
เพ่ยเหมียนหมานพ่นลมหายใจ “ผู้ชายคนนี้เวลาจีบผู้หญิงไม่เคยหวงแหนสิ่งใดเลย!”
ชูเหยียน เจ้าจำเป็นต้องมัดสามีคนนี้ไว้ให้แน่นจริง ๆ นะ!
อย่างไรก็ตาม นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายคนนี้จะมีทักษะทางดนตรีสูงขนาดนี้ ในอนาคตนางจะต้องให้เขาเขียนเพลงให้นางบ้างเช่นกัน!
เซี่ยเต๋าอวิ๋นก็เริ่มพึมพำกับตัวเอง “ต่อไป ซูอันจะโด่งดังไปทั่วอาณาจักรอย่างแน่นอน”
ใบหน้าของเซี่ยซิวเต็มไปด้วยความตกใจ “การแสดงครั้งนี้วิเศษขนาดนั้นเลยเหรอท่านพี่?”
เซี่ยเต๋าอวิ๋นกลอกตา “เจ้าเคยเล่นดนตรีมาบ้างใช่ไหม? เจ้าควรเข้าใจว่า ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ นี้ไม่เหมือนเพลงทั่วไปโดยสิ้นเชิง”
เซี่ยซิวอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แต่พวกเราอยู่ในโลกที่ความแข็งแกร่งในการบ่มเพาะเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่ง ไม่ว่าความสามารถทางด้านดนตรีจะลึกซึ้งเพียงใด มันก็ไม่อาจทำให้โด่งดังได้มากกว่าผู้บ่มเพาะที่เก่งกาจหรอกจริงไหม?”
เซี่ยเต๋าอวิ๋นเริ่มหงุดหงิด “ทำไมคำพูดของเจ้าฟังดูเหมือนพ่อมากขึ้นเรื่อย ๆ? ทั้งเจ้าและท่านพ่อไม่มีรสนิยมเอาซะเลย!”
นางลุกขึ้นและเดินออกไปด้วยความรำคาญ ชัยชนะและความพ่ายแพ้ได้รับการตัดสินแล้ว ไม่มีทางที่เซี่ยซิวจะถูกเลือก ดังนั้นนางคงไม่มีโอกาสได้พบกับชิวฮัวเล่ยในวันนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม การมาครั้งนี้ก็ไม่ได้สูญเปล่าซะทีเดียว ต้องขอบคุณที่ข้าได้มีโอกาสฟังเพลงนี้!
นางมีคำถามมากมายที่อยากจะถามซูอัน แต่หอสุขนิรันดร์ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการพูดคุย นอกจากนี้ จะเป็นการดีที่สุดถ้านางไม่เปิดเผยตัวตนของตัวเองในตอนนี้ นางเริ่มคาดหวังที่จะได้พูดคุยกับซูอันในโอกาสต่อไป
เซี่ยซิวลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตามพี่สาวของตัวเองออกไป มันไม่มีเหตุผลอะไรแล้วที่จะอยู่ที่นี่ต่อ และที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่พวกมิจฉาชีพปะปนอยู่จำนวนมาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวของเขา จะไม่มีใครสามารถชดเชยได้
ชิวฮัวเล่ยยืนขึ้นและพูดกับฝูงชนว่า “ผู้น้อยรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย คงต้องกล่าวลาแล้วตอนนี้ ทุกท่านโปรดทำตัวตามสบาย”
พูดจบนางก็หันหลังเดินออกไปช้า ๆ โดยไม่สนใจคำวิงวอนของฝูงชนที่ให้อยู่ต่อ ในไม่ช้าสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในห้องโถงก็คือกลิ่นหอมที่นางทิ้งไว้
ซูอันจ้องมองอย่างว่างเปล่า นี่ข้าพยายามมาจนถึงตอนนี้ เพื่อจะจบลงแบบนี้เนี่ยนะ?
นางจากไปดื้อ ๆ แบบนี้เลยเหรอ?
—
ท่านยั่วยุฉู่ฮงไฉสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 233!
—
—
ท่านยั่วยุฉู่อวี้เฉิงสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 233!
—
—
ท่านยั่วยุหวางหยวนหลงสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 233!
—
ซูอันตกใจที่เห็นคะแนนความโกรธแค้นหลั่งไหลเข้ามาอย่างฉับพลัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เมื่อมองไปรอบ ๆ ห้องโถง ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นชายคนอื่น ๆ จ้องมาที่เขาด้วยสายตาอาฆาต
ฉู่อวี้เฉิงเดินไปหาเขา “ยินดีด้วย อาซู”
“ยินดีเรื่องอะไร?” ซูอันตกตะลึง
“เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือว่าเจ้ากำลังแสดงละคร? แม่นางชิวได้ลาจากไปแล้ว ซึ่งหมายความว่านางได้ตัดสินใจแล้ว นางจะเลือกใครได้อีกนอกจากเจ้า!”
ใบหน้าของฉู่ฮงไฉมืดยิ่งกว่าถ่าน เจ้าได้สิ่งที่ทุกคนต้องการไปแล้ว แต่กลับยังแกล้งทำตัวไร้เดียงสา ข้าจะทนได้ยังไงไหว?
—
ท่านยั่วยุฉู่ฮงไฉสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 345!
—
ราวกับหัวใจถูกแผดเผา ทำไมวันนี้เขาถึงพาตัวไอ้ตัวร้ายนี่มาด้วย?
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่ได้พาซูอันมา แม่นางชิวก็คงจะเลือกคนอื่นอยู่ดี
เขาถอนหายใจ ข้าว่าพี่อวี้เฉิงพูดความจริง อย่างน้อยซูอันก็เป็นคนในตระกูล
ว่าแต่ทำไมข้าถึงยังอยากรู้สึกอยากจะร้องไห้มากขนาดนี้?
“นางเลือกข้าเหรอ?” ซูอันตกตะลึงชั่วครู่จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่า ๆ ข้าไม่ได้บอกพวกเจ้าไปแล้วก่อนหน้านี้เหรอ? ผู้หญิงทุกคนจะต้านทานเสน่ห์ของข้าได้ยังไง? ฮ่า ๆๆ!”
ฉู่ฮงไฉ ฉู่อวี้เฉิง และหวางหยวนหลงต่างพากันอ้าปากค้าง
ขณะที่พวกเขายังคงอ้าปากค้าง หญิงสาวที่บอบบางและน่ารักก็รีบวิ่งเข้ามาหา “นายน้อยซู คุณหนูของเราได้เชิญท่านไปพบกับนาง”
“ได้ ข้าจะรีบไป!” ซูอันพยักหน้าให้กับหญิงสาวก่อนที่จะประสานมือคำนับผู้คนรอบตัว “ถึงแม้ว่าพี่น้องควรมีสุขร่วมเสพ แต่คราวนี้คนงามล่มเมืองกำลังเรียกหา ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
ฉู่อวี้เฉิงเกือบพูดไม่ออก เขาโบกมืออย่างรวดเร็ว “ในเมื่อแม่นางชิวเรียกหาเจ้า ก็ไปซะ!”
ฉู่ฮงไฉหมองเศร้าจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
ซูอันหันหลังและเดินตามสาวใช้ไป แต่พอชายหนุ่มก้าวตามไปได้สองสามก้าว ก็ได้รีบสาวเท้ากลับมาหาพี่น้องตระกูลฉู่ ก่อนที่จะเอ่ยถามอย่างอาย ๆ ว่า “คืนหนึ่งสำหรับคณิกาอันดับหนึ่งนี่ราคาเท่าไหร่เหรอ? ข้าไม่มีประสบการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับสถานที่แบบนี้และข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าเลยจริง ๆ!”
ทุกคนจ้องมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง
ซูอันพูดด้วยรอยยิ้มเขินอาย “พี่ฮัวบอกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของข้าในคืนนี้ หอสุขนิรันดร์จะเป็นคนรับผิดชอบเอง แต่ว่ารวมกับค่ำคืนของคณิกาอันดับหนึ่งด้วยไหม? ข้าลืมเอาเงินมาด้วย…”
“หุบปาก!”
ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ที่ได้ยินประโยคคำถามนี้เช่นกัน รู้สึกแทบจะหน้ามืด ความอดทนของพวกเขาก็ขาดผึงทันที
ใครจะสามารถตีราคาแม่นางชิวได้บ้าง?
ถ้าเงินเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้ได้เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับนาง ผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วนของเมืองจันทร์กระจ่างคงขายทรัพย์สมบัติของตระกูลไปหมดแล้ว!
ข้าคงไม่เสียโอกาสไปเพราะเรื่องนี้หรอกใช่ไหม? ซูอันเม้มปาก อย่างไรก็ตาม การยืมเงินจากคนที่เขารู้จักนั้นค่อนข้างน่าอายจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับสายตาที่เคียดแค้นนับร้อยคู่ ชายหนุ่มก็รีบเดินตามสาวใช้ขึ้นบันไดไป แต่เมื่อไปได้ครึ่งทาง เขาก็หันกลับมาและปรบมือเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน “พวกเจ้ามีคำขออะไรจากข้าไหม?”
เขาถามเสียงดัง
ในห้องส่วนตัว เพ่ยเหมียนหมานกลับมานั่งที่นั่งของนางแล้ว นางกำลังจิบชาอย่างสบายใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงของเขา นางก็หรี่ตาลงอย่างสงสัย คน ๆ นี้จะทำอะไรอีก?
ฝูงชนต่างตกตะลึง “เราจะไปต้องการอะไรจากเจ้า!?” ใครบางคนตะโกนอย่างไม่พอใจ
หากมีบางอย่างที่เราต้องการ คืออยากให้เจ้าไปให้พ้น ๆ จากสายตาของเราซะ แค่มองหน้าเจ้า ข้าก็อยากจะกระอักเลือดแล้ว!
“ไม่มีอะไรจริง ๆ เหรอ?” ซูอันยิ้มอย่างซุกซน “ตัวอย่างเช่น พวกเจ้าไม่อยากให้ข้า…อ่อนโยนต่อเทพธิดาของพวกเจ้าเหรอ?”