ตอนที่ 271 ยิ้มเฉยไม่เอ่ยอะไร (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 271 ยิ้มเฉยไม่เอ่ยอะไร (1)

เขาดึงกรรไกรออกมา…

เผยอาวุธของเขา?

ขณะที่เทพจันทราหยิบกรรไกรสีทองออกมา ผู้อาวุโสหัวมังกรและผู้พิทักษ์มังกรทั้งหลายคนก็รีบตรงไปหาอ๋าวอี่

บรรดาสัมผัสเซียนรับรู้ที่พุ่งความสนใจไปที่สถานที่แห่งนั้น ก็ล้วนจับจ้องไปที่กรรไกรสีทองในมือของเทพจันทราทันที…

ไม่เพียงแต่ผู้เฝ้าชมที่ไม่เข้าใจเหล่านั้น แต่แม้กระทั่งหลี่ฉางโซ่วก็ยังรุ้สึกสับสนกับการกระทำของเทพจันทราอย่างกะทันหันเช่นกัน

เกิดอันใดขึ้น?

เป็นเพราะวังมังกรเต็มไปด้วยพิษร้ายแรงที่เรียกว่า ‘พิษเพลิงพิโรธพุ่งสามจั้ง’ หรือสหายนามเปี้ยนจวงผู้นี้ อยากถูกทำร้ายหรือไม่?

เมื่อเห็นแล้วก็ชักกระบี่ เมื่อเห็นแล้วก็ดึงกรรไกรขึ้นมาเลย

แต่อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วก็ไม่อาจปล่อยให้เทพจันทราอารมณ์เสียจนควบคุมตัวเองไม่ได้และลืมธรรมเนียมปฏิบัติไปจริงๆ

องค์เง็กเซียนกำลังดูแลงานอยู่ที่ด้านข้าง ซึ่งนั่นไม่เพียงเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีแห่งศาลสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงานของเทพจันทราอีกด้วย!

หลี่ฉางโซ่วรีบยื่นมือจับเทพจันทราเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “เทพจันทรา ที่นี่คือ คือวังมังกร!เรามาที่นี่เพื่ออะไรขอรับ!?!”

เทพจันทราตัวสั่นและรู้สึกตัวขึ้นมาในทันที แต่กรรไกรในมือของเขาถูกวางไว้อย่างชัดเจนและไม่อาจดึงกลับมาได้

ทันใดนั้น เทพจันทราก็มองเทพแห่งท้องทะเลด้วยสายตาอ้อนวอน

เขาควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี?

หลี่ฉางโซ่วก็อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน

ข้าควรขอให้เทพจันทราท่องโคลงกวีในทันที และอ่านออกเสียงตามบรรทัดออกมาดังๆ เช่น “ดูกรรไกรคู่นี้สิ ช่างคมและรวดเร็วยิ่ง”?

นั่นจะไม่เสียกิริยาหรอกหรือ?

ในชั่วพริบตานั้น หลี่ฉางโซ่วก็ผุดความคิดขึ้นมาในใจอย่างฉับพลัน

เขาคิดแผนรับมือขึ้นมาได้ในเวลาเพียงชั่วอึดใจ แล้วส่งข้อความเสียงไปแนะนำวิธีปกปิดเรื่องนี้ให้เทพจันทราในทันที

เทพจันทราจึงหยิบกรรไกรขึ้นมา… ทันใดนั้น ก็กางขากรรไกรออก แล้วพร้อมด้วยเสียงกริบๆๆ เพียงไม่กี่ครั้ง เทพจันทราก็ตัดผ้าสีแดงที่ชายแขนเสื้อชุดแต่งงานของเขาออกมาสองชิ้น ซึ่งมีพลังบุญที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่ง

เทพจันทราเหลือบมองเปี้ยนจวงจากหางตาของเขาแล้วหันไปมองอ๋าวอี่พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา

จากนั้น เขาก็กล่าวเบาๆ ว่า “ก่อนที่ข้าจะเข้าไป ข้าจะมอบของขวัญแสดงความยินดีชิ้นแรกให้กับบ่าวสาวคู่ใหม่ทั้งสองในนามของฝ่าบาท องค์เง็กเซียนแห่งศาลสวรรค์!”

อ๋าวอี่และปรมาจารย์มังกรคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ เขาพลันถอนหายใจอย่างโล่งอก

เมื่อดูสีหน้าของเทพจันทราในยามนี้ พวกเขาก็ยังนึกว่าเทพจันทราจะใช้กรรไกรแทงคนด้วยซ้ำ…

ในขณะนั้น เทพจันทราใช้พลังบุญสร้างอักขระตัวใหญ่สี่ตัวขึ้นเป็นคำว่า ‘เจ้าบ่าว’ และ ‘เจ้าสาว’ ลงบนผ้าสีแดงสองผืนนั้น

จากนั้นเขาก็มอบผ้าสีแดงสองผืนที่บรรจุพลังแห่งบุญเอาไว้ให้กับอ๋าวอี่

ตามคำแนะนำของหลี่ฉางโซ่ว เทพจันทราก็แย้มยิ้มและกล่าวว่า “ฝ่าบาทอ๋าวอี่ ท่านและองค์หญิงเจียงซื่อเอ๋อร์ สามารถใส่ได้คนละผืน เมื่อใส่มันแล้ว ท่านทั้งสองคนจะต้องให้เกียรติกันและคิดถึงกัน พวกท่านจงคลุมมันไว้บนหน้าอกตรงจุดหัวใจของพวกท่าน นอกชุดแต่งงาน เช่นนี้แล้ว พวกท่านจะมีโชคดี ซึ่งนั้น ย่อมหมายถึงการครองคู่กันอย่างหวานชื่น เคารพซึ่งกันและกันและเต็มไปด้วยความรักที่สวยงาม ส่วนของขวัญแสดงความยินดีอื่นๆ จะมอบให้ในภายหลัง ตามกฎของเผ่ามังกร!”

เช่นนั้น มันกลายเป็นของขวัญนี่เอง นึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นเสียอีก…

บัดนั้น แขกเกือบครึ่งในห้องโถงก็ได้ถอนความสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปแล้วและจู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกเบื่อหน่าย

“ขอบคุณเทพจันทรา ขอบคุณเทพจันทราขอรับ!”

อ๋าวอี่ถือผ้าสีแดงสองผืนเอาไว้ แล้วแขนเสื้อชุดเสื้อคลุมแต่งงานของเทพจันทราก็เปล่งแสงเซียนเป็นประกายออกมาก่อนที่ผ้าผืนนั้นจะกลับคืนสู่สภาพเดิมเดิม

หลี่ฉางโซ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวว่า “พี่อี่ ไยเจ้าไม่ใส่มันให้เจียงซื่อเอ๋อร์ในตอนนี้ด้วยเล่า?”

“ได้สิ ย่อมดีแน่นอน!

รบกวนพี่ชายไปกับเทพจันทราและแขกคนอื่นๆ ของศาลสวรรค์ก่อน ส่วนข้าจะไปหาซื่อซือเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

อ๋าวอี่เบิกบานใจยิ่ง เขาแอบมองไปที่เปี้ยนจวง ซึ่งดูกระวนการวาย ก่อนจะรีบเอาผ้าสีแดงทั้งสองผืนไปที่ห้องโถงใหญ่ที่เจียงซื่อเอ๋อร์อยู่แล้ว

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสเผ่ามังกรก็ก้าวออกไปข้างหน้า และเข้ารับช่วงต่อแทนอ๋าวอี่ เขายิ้มและเชิญคนจากศาลสวรรค์ทั้งเก้าคนให้เข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่

เหล่าปรมาจารย์เผ่ามังกรได้ให้การต้อนรับบรรดาทหารของศาลสวรรค์คนอื่นๆ ที่มาด้วยเช่นกัน โดยได้เชิญพวกเขาไปทานอาหารที่ห้องโถงด้านข้าง…

ตามกฎการแต่งงานของเผ่ามังกร แขกที่ได้รับเทียบเชิญจะไม่ต้องนำของขวัญแสดงความยินดีมาด้วย และยังไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ เมื่อมาร่วมงาน ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นเอาเงินมาลงขันกันให้งานเลี้ยงหรือไม่?

คิดว่าเผ่ามังกรของพวกเขาจะจ่ายเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับแขกของพวกเขาไม่ได้หรือ?

นั่นถือเป็นการดูถูกเผ่ามังกร!

ทว่าความจริงแล้ว ของขวัญแสดงความยินดีก็เป็นการอวยพรในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน หากแขกนำของขวัญมาให้ พวกเขาก็สามารถนำของขวัญออกมามอบให้กับคู่บ่าวสาวทั้งสองคนด้วยตนเองก่อนที่งานแต่งงานจะเริ่มต้นขึ้นได้

ขั้นตอนหลักของการแต่งงานของเผ่ามังกรนั้นคล้ายกับพิธีแต่งงานของมนุษย์ในดินแดนเทวะทักษิณ แต่ซับซ้อนและมีรายละเอียดมากกว่า

เมื่อหลี่ฉางโซ่เร่งคิดวิธีแก้ปัญหาเพื่อรักษาอาชีพของเทพจันทราได้… จึงถือว่า เขาช่วยเหลือสหายเฒ่าของเขาได้ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ

หลี่ฉางโซ่วแอบมองไปที่องค์เง็กเซียนซึ่งปลอมตัวมาเป็นแม่ทัพสวรรค์ในยามนี้ และคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างในใจ…

เป็นไปได้หรือไม่ว่า การขาดทหารและแม่ทัพใหญ่แห่งศาลสวรรค์ได้มาถึงขั้นที่พวกเขาต้องให้ฝ่าบาท องค์เง็กเซียน จำแลงกายเพื่อมาเป็นแขกรับเชิญผู้ทรงเกียรติที่นี่?

แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น

ไม่ว่าศาลสวรรค์จะขาดชื่อเสียงไปมากเพียงใด แต่ก็ยังควรมีปรมาจารย์เซียนจินอยู่สองสามคน…ใช่หรือไม?

ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนในขณะนี้ กำลัง ‘แสดง’ ตัวเป็นเพียงแม่ทัพเซียนเทียน หากวิเคราะห์ดูอย่างมีเหตุผล องค์เง็กเซียนอาจอยากร่วมสนุกหรือเพิ่มความสามารถในการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง

แล้วข้าควรจัดการอย่างไร?

คณะศาลสวรรค์ทั้งเก้าคนล้วนถูกจัดให้นั่งข้างๆ ผู้ฝึกบำเพ็ญแห่งเกาะเต่าทอง

เมื่อเทพจันทราเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ผู้คนมากมายก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับให้ในขณะที่เหล่าปรมาจารย์เผ่ามังกรส่วนใหญ่ยังคงนั่งนิ่งอยู่

ราชามังกรแห่งทะเลบูรพานั่งบนบัลลังก์ของเขาและพยักหน้าให้เทพจันทราด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นว่าดื่มไม่ได้และหลับตาลงเพื่อพักผ่อน

สิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วประหลาดใจก็คือ การกระทำของผู้ฝึกบำเพ็ญแห่งเกาะเต่าทอง

บรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยจำได้ว่า มีผู้อาวุโสสามคนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าได้ร่วมกันจัดตั้งศาลสวรรค์ขึ้น และเมื่อเทพจันทราเดินเข้ามาใกล้พวกเขา พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนและทักทายเทพจันทรา

จากนั้น ฉินหว่าน หนึ่งในสิบจักรพรรดิสวรรค์ ก็เข้ามาพูดคุยและแลกเปลี่ยนคำทักทายเทพจันทราเล็กน้อย

ไม่ว่าผู้ใดจะเข้าไปคุยกับเขา เทพจันทราก็จะแสดงความชำนาญระดับมืออาชีพของเขาและยังคงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาพร้อมกับตอบรับคำทักทายอย่างราบรื่นโดยไม่เปิดเผยข้อบกพร่องใดๆ ในขณะที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วนั่งลงกับเทพจันทราและคนอื่นๆ ในคณะศาลสวรรค์

ทันทีที่หลี่ฉางโซ่วนั่งลง เขาก็ส่งข้อความเสียงไปถามเทพจันทราว่าในยามนี้ มีอันใดเกิดขึ้น

เทพจันทรามีสีหน้ากระดากเล็กน้อย ขณะที่ถอนหายใจเบาๆ และชี้แจงออกมาไม่กี่คำ

เขาชี้แจงว่า ขณะนี้ รูปปั้นดินเหนียวของเปี้ยนจวงยังคอยรังควานรูปปั้นดินเหนียวของอ๋าวอี่อยู่ ในช่วงเวลานับสิบปีที่ผ่านมา เทพจันทราได้พยายามต่อสู้กับเรื่องนั้นและตัดด้ายแดงของรูปปั้นดินเหนียวเปี้ยนจวงออกอย่างบ้าคลั่ง ครั้นเมื่อเห็นเจ้าของรูปปั้นตัวจริง เขาจึงอดจะแสดงปฏิกิริยาเช่นนั้นออกไปไม่ได้…

บัดนี้ ด้ายแดงยังคงห้อยอยู่สิบสองปีโดยไม่ขาดเลย…

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกในทันที เปี้ยนจวงผู้นี้ ช่างสร้างปัญหามากมายจริงๆ

หลี่ฉางโซ่วยังคงนั่งและจมอยู่ภวังค์แห่งความคิดลึกซึ้ง

เขากำลังคิดถึงการที่ร่างจำแลงกายขององค์เง็กเซียนมาถึงที่นี่ในครั้งนี้

เมื่อมองดูพฤติกรรมของผู้ที่นั่งโต๊ะเดียวกับเทพจันทรา หลี่ฉางโซ่วคิดว่า พวกเขาก็ไม่รู้ว่า ในขณะนี้ ร่างจำแลงกายขององค์เง็กเซียนกำลังนั่งอยู่เคียงข้างพวกเขา

ดูเหมือนว่า ร่างจำแลงกายขององค์เง็กเซียนจะเข้ามาแทนที่แม่ทัพสวรรค์ผู้มีบทบาทในศาลสวรรค์ หลังจากนั่งลงแล้ว เขาก็ยังดื่มและพูดคุยกับคนอื่นๆ โดยไร้ความผิดปกติใดๆ หากไม่เป็นเพราะปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเตือนเขา หลี่ฉางโซ่วก็คงไม่อาจแยกแยะได้

แล้วข้าจะจัดการกับองค์เง็กเซียนได้อย่างไร?

…………………………………………………………………