ตอนที่ 272 ยิ้มเฉยไม่เอ่ยอะไร (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 272 ยิ้มเฉยไม่เอ่ยอะไร (2)

หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เขาก็เห็นว่า วิธีที่ดีที่สุดก็คือ แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่า มีองค์เง็กเซียนอยู่ที่นั่นและทำในสิ่งที่ต้องทำ เขาอยากเตือนเทพจันทราว่า อย่าทำให้ศาลสวรรค์ต้องขายหน้า และตอบรับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด

ในเวลาเดียวกันนั้น… ในหอที่อบอุ่น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็เริ่มถามถึงเหตุผลที่เทพจันทราหยิบกรรไกรออกมาเมื่อครู่นี้

แน่นอนว่า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ย่อมรู้ว่า เทพจันทราเดือดพล่านด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ก็ถูกหลี่ฉางโซวยับยั้งเอาไว้ได้ในทันที

หลี่ฉางโซ่วไม่กล้าปิดบังอะไรเขา เขาชี้แจงความจริงทุกเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดว่า เขาและอ๋าวอี่ ไปที่เมืองเทียนหยาในทะเลบูรพา รวมถึงเรื่องที่อ๋าวอี่ปลอมตัวเป็นสตรีเพื่อทำลายแผนการของสำนักบำเพ็ญประจิม

ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จึงเบิกบานใจยิ่งแล้วกล่าวว่า “ตามที่เจ้าคาดไว้”

“ฉางโซ่ว เจ้ามีความคิดอย่างไร? เหตุใดถึงมีความคิดแปลกๆ แต่น่าทึ่งมากมายเช่นนี้?”

ทันทีที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็ยังลังเลและคิดว่าเขาจะให้ผลงานกับท่านผู้นำของเขาได้อย่างไร…

มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในวังผลึกแก้ว!

จู่ๆ ก็มีพลังแรงกดดันมหาศาลกดทับลงมาที่วังผลึกแก้วโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า!

ปรมาจารย์หลายทั้งหมดที่นี่ในยามนี้ล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก และพวกเขายังกล่าวกันด้วยว่า ร่างทรงพลังผู้ไร้ใดเปรียบได้มาถึงแล้ว

บัดนี้ มีสิ่งมีชีวิตหลายแสนที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกของวังผลึกแก้ว ล้วนมองขึ้นไปที่ทะเล

นี่คือ… พลังแห่งสวรรค์!

ทันใดนั้น ก็มีลำแสงสีทองสี่สายพุ่งเข้าสู่ทะเลบูรพาและหายเข้าไปในวังมังกรทันที!

ลำแสงสีทองที่ใหญ่ที่สุดได้พุ่งตรงเข้าไปที่ศีรษะของเทพเฒ่าจันทรา ทันใดนั้น แสงเซียนที่เปล่งประกายรอบๆ เทพจันทราก็เพิ่มขึ้นและขอบเขตพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย!

จากนั้น ลำแสงสีทองอีกสองสายที่มีขนาดเท่ากัน ก็บินไปที่ห้องโถงอื่น และเข้าไปในร่างของเจียงซื่อเอ๋อร์และอ๋าวอี่!

อ๋าวอี่และเจียงซื่อเอ๋อร์ที่เพิ่งผูกผ้าสีแดงของ ‘เจ้าบ่าวและเจ้าสาว’ ให้กันและกัน จู่ๆ ก็ตกใจโดยไม่ทันระวังตัว

“บุญแห่งเต๋าสวรรค์มาจากที่ใดกัน”

เจียงซื่อเอ๋อร์ก็กระซิบออกมาด้วยความประหลาดใจในขณะที่อ๋าวอี่มองลงไปยังผ้าสีแดงผืนเล็กๆ บนหน้าอกของเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ในยามนั้น ในห้องโถงใหญ่ของวังมังกร สายตาของเหล่ามังกร แขกเหรื่อ และบรรดาสิ่งมีชีวิตต่างๆ ล้วนจับจ้องไปที่เทพจันทรา

ขณะที่เทพจันทรากำลังจะเอ่ยว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเขา จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของหลี่ฉางโซ่วที่กล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงเข้าในหู…

“โปรดสงบใจไว้ เมื่อพวกเขาถาม ท่านเพียงแค่เผยรอยยิ้มเฉยและไม่เอ่ยอะไร ปล่อยให้พวกเขาคิดเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ กันไปเอง”

แม้เทพจันทราจะไม่กระจ่างแจ้งนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็รู้ว่า นี่คือ เสนาบดีแห่งศาลสวรรค์ในอนาคต ซึ่งจะเป็นที่พึ่งขององค์เง็กเซียนได้ ดังนั้นเขาจึงทำตามคำแนะนำของหลี่ฉางโซ่วทันที

เทพจันทรายิ้มและหรี่ตาลงขณะที่จัดการอาหารและสุราของเขาเอง

ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสหัวมังกรหลายคนก็เข้ามาที่นี่เพื่อร่วมดื่มชนจอกสุราสังสรรค์กัน ในขณะนั้น พวกเขาล้วนถามถึงบุญแห่งสวรรค์

ทว่าเทพจันทราเพียงยิ้มเฉยและไม่เอ่ยอะไร

ผู้อาวุโสหัวมังกรเหล่านี้เข้าใจในทันทีว่า บุญนี้เป็นของขวัญแสดงความยินดีจากศาลสวรรค์ พวกเขาจึงแสดงความขอบคุณต่อเทพจันทรา และเผ่ามังกรก็ยิ่งชื่นชมศาลสวรรค์เพิ่มขึ้นไปอีกหลายระดับ

อ๋าวอี่รีบกลับมาเพื่อขอบคุณเทพจันทราสำหรับบุญทั้งสองส่วนนั้นและร่วมดื่มชนจอกสุราสังสรรค์กันพร้อมกับเอ่ยถามว่า บุญทั้งสองส่วนนั้นมาจากที่ใด

แต่เทพจันทราก็ยังคงยิ้มเฉยและไม่เอ่ยอะไร

บัดนั้น อ๋าวอี่ก็เข้าใจในทันทีว่า นั่นคือสิ่งที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักของเขาได้จัดเตรียมไว้ เขาจึงมองไปที่เทพจันทราและตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นักพรตเต๋าของหลี่ฉางโซวด้วยสายตาซาบซึ้ง

ในไม่ช้า ฉินหว่านก็รีบพาจักรพรรดิสวรรค์สองคนมาพูดคุยกับเทพจันทราและถามถึงบุญแห่งเต๋าสวรรค์…

ทว่าเทพจันทราก็ยังคงยิ้มเฉยและไม่เอ่ยอะไรต่อไป

ในห้องโถงใหญ่ แขกคนสำคัญทั้งหมดต่างกำลังพูดคุยกันว่า เหตุใดเต๋าสวรรค์จึงส่งบุญลงมา

ขณะนั้น ที่โต๊ะเดียวกันกับเทพจันทรา ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ก็ถือจอกสุราและร่วมดื่มชนจอกสังสรรค์กับเทพจันทราสองครั้ง

จากนั้นเขาก็ถามว่า “ท่านเทพจันทรา เทพแห่งท้องทะเลแนะนำให้ท่านทำเช่นนี้ใช่หรือไม่?”

แต่เทพจันทราก็ยังคงแย้มยิ้มเฉยและไม่เอ่ยอะไร

องค์เง็กเซียนเข้าใจบางอย่างในทันที แล้วก้มศีรษะลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

บุญแห่งพิธีการ

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสจากเผ่าทะเลผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงงงันว่า “มีบุญสี่ส่วนเพิ่งลงมาใช่หรือไม่? แล้วบุญส่วนที่สี่หายไปอยู่ที่ใดกัน?”

ผู้อาวุโสหัวมังกรกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “บุญนั้นตกเป็นของฝ่าบาทคู่บ่าวสาวใหม่ทั้งสองคนแล้ว”

ดูเหมือนว่า บรรดาเซียนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยังพอจะอธิบายได้

เวลานี้ หอที่อบอุ่นนั้น มีค่ายกลเวทของเผ่ามังกรให้การคุ้มครองอยู่ ดังนั้นผู้เป็นเซียนจินธรรมดาจึงไม่อาจสำรวจได้

และบรรดาปรมาจารย์ในสถานที่นั้น เช่น ผู้อาวุโสเผ่ามังกร เซียนใหญ่อู้หยุน และอื่นๆ ที่แผ่สัมผัสเซียนรับรู้ไปสำรวจในหอที่อบอุ่นนั้น แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

เขาทำได้เพียงสันนิษฐานว่าพลังบุญได้ไหลลงไปบนเตียงของคู่บ่าวสาวใหม่แล้ว… และแน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วย่อมได้รับบุญส่วนที่สี่เช่นกัน

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วกำลังอธิบายให้ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ฟังว่าบุญนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู ผู้ที่เพิ่งหัวเราะมาเป็นเวลานานเพราะเรื่องของเปี้ยนจวง ในขณะนี้ ก็ได้รับการยกย่องอีกครั้ง และยิ่งมองไปยังศิษย์น้องในอนาคตมากเท่าใด เขาก็ยิ่งชื่นชอบศิษย์น้องในอนาคตผู้นี้มากขึ้นเท่านั้น

พลังบุญเล็กน้อยนั้น…

ความจริงแล้ว มันไม่อาจกล่าวได้ว่า ‘เล็กน้อย’ เลย ในด้านของปริมาณนั้น มันเทียบเท่ากับบุญถวายเครื่องสักการะของสำนักเทพทะเลทักษิณเป็นเวลาสิบปี

หากไม่สั่งสมก้าวเล็กๆ ก็เดินทางไม่ถึงพันลี้ หากไม่สั่งสมแม่น้ำสายเล็กๆ ก็ไม่มีวันเกิดทะเลใหญ่[1] เช่นนั้น คนเราย่อมทำได้เพียงสร้างร่างทองแห่งบุญด้วยการค่อยๆ สะสมบุญไปทีละน้อย…

เมื่อเทียบกับบุญเล็กน้อยนี้ หลี่ฉางโซ่วก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะไม่มีอะไรผิดพลาดในอนาคต

หลี่ฉางโซ่วยังคงหันไปใช้กระจกผลึกแก้ว เขามองดูอ๋าวอี่ และเจียงซื่อเอ๋อร์ จากนั้น ก็ดูร่างจำแลงขององค์เง็กเซียน ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับเทพจันทรา แล้วตามด้วยสถานที่ที่กองทหารแห่งวังมังกรที่ประจำการอยู่ใกล้ๆ วังมังกร… โดยรวมแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามการเตรียมการของเขา

“ฉางโซ่ว เราไปที่ทะเลทักษิณกันดีหรือไม่”

ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูกล่าวต่อว่า “ข้าเพิ่งหยั่งรู้ได้ว่า มีไอสังหารรวมตัวกันอยู่ในทะเลทักษิณ เกรงว่าจะมีการต่อสู้ดุเดือดที่นั่น”

หลี่ฉางโซ่วคิดอย่างรอบคอบแล้วกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ให้เผ่ามังกรจัดการเรื่องในทะเลทักษิณเถิดขอรับ ศิษย์คิดว่า เราแค่เฝ้าคอยสังเกตสถานการณ์ที่นี่เงียบๆ ไปก่อน ย่อมจะเป็นการดีที่สุดขอรับ”

“ก็ได้” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่พยักหน้าเบาๆ แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบาย “เรียกหาข้าได้ทุกเมื่อที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือ”

“ขอบคุณสำหรับการทดสอบของท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ขอรับ”

หลี่ฉางโซ่วตอบและจับจ้องไปที่กระจกผลึกแก้ว

น่าเสียดายที่เขามองไม่เห็นทะเลทักษิณเลย

แม้พลังเวทของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะทรงพลังแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ไร้ขีดจำกัด เขาจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าติดตามอยู่ในบริเวณน่านน้ำทะเลใกล้กับวังมังกรทะเลบูรพาเท่านั้น

ในขณะนั้น ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกำลังซ่อนตัวอยู่ในอ่าวแห่งหนึ่งใต้ทะเลทักษิณพร้อมกับร่างสีดำจำนวนมาก

นางแต่งกายด้วยชุดสวมกระโปรงสีโลหิต เส้นผมยาวของนางพลิ้วไสวไปในน้ำทะเล รูปร่างทรงเสน่ห์ของนางเปล่งประกาย ทว่าสิ่งมีชีวิตนับหมื่นที่อยู่เบื้องหลังของนางยังคงคุกเข่าและไม่กล้าเงยหน้ามองไปที่ราชินีเช่นนาง

ทันใดนั้น ลำแสงสีทองก็สาดประกายไปในทะเล และจู่ๆ ‘ฟองอากาศ’ ที่ยาวเรียวก็ปรากฏขึ้นในน้ำทะเล จักรวาลภายในถูกเปิดออก แล้วสัตว์อสูรที่ดุร้ายที่ถูกห่อหุ้มด้วยลำแสงสีทองก็บินออกมาจากรอยแตกแยกในนั้น

มันคือแมลงที่ดุร้ายยาวสามฉื่อ ร่างของมันเปล่งแสงสีทองไปทั่วร่าง และมีปีกบางๆ หกปีกที่ดูเหมือนใบมีดอยู่ทางด้านหลัง

ดูจากรูปร่างแล้ว มันน่าจะเป็น…จั๊กจั่นสีทอง

แบบเพี้ยนๆ แค่กๆ แบบกลายพันธุ์ ในขณะนั้น จักจั่นทองหกปีกบินไปยังจุดที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยฉื่อข้างหน้า ผู้บำเพ็ญเหวินจิง และลำแสงกระบี่ปีกบางที่ด้านหลังของมันก็เปล่งรัศมีที่เฉียบคมออกมาจนเกือบจะบาดใบหน้าของผู้บำเพ็ญเหวินจิง ผู้บำเพ็ญเหวินจิงจึงพ่นลมหายใจและไม่ใส่ใจต่อ “สหายร่วมงาน” คนนี้

ทันใดนั้น จักจั่นสีทองก็กลายเป็นนักพรตเต๋าหนุ่มรูปงามที่มีรอยยิ้มอ่อนโยน เขาพยักหน้าเบาๆ ให้กับผู้บำเพ็ญเหวินจิงและกล่าวอย่างสงบว่า “สหายเต๋า เจ้าเตรียมการเป็นอย่างไรหรือ?”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกล่าวตอบว่า “เตรียมกองกำลังพร้อมแล้ว”

จินฉานผู้นี้พยักหน้าและกล่าวว่า “จากการเตรียมการของรองเจ้าสำนักทั้งสอง ข้าจะโจมตีพร้อมกับสหายเต๋าหลังจากนี้”

“เหอะ มาดึงข้าลงไปอีก!”

ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกล่าวอย่างไม่พอใจ แต่นักพรตเต๋าจินฉานยิ้มสงบขณะยืนอยู่ในทะเลโดยไม่เอ่ยอะไรอีก

เขารู้ว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ค่อยเป็นมิตรนัก

………………………………………………………………..

นิยายเรื่องนี้เข้าร่วมโปร FIC Goes SIXTH

เปิดตี้ฉลองครบรอบ 6 ปี

อัปเพิ่ม +1

เพิ่มตอนจากปกติ เวลา 16.00 น. ตลอดช่วงแคมเปญ

15-28 ส.ค. 65 เท่านั้น!

ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

Ink Stone

[1] มาจากนักปรัชญาสวินจื่อในยุคชุนชิวจั้นกั๋วที่ให้คำสอนถึงพรแสวงดีกว่าพรสวรรค์ซึ่งคนเราย่อมจะพัฒนาได้เพราะความพากเพียร