ตอนที่ 399

My Disciples Are All Villains

เฉินเหลียงชูสามารถสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณของตัวเองที่กำลังไหลออกมาจากจุดตันเถียน จุดตันเถียนของตัวเขาแหลกสลายไปแล้วก็เพราะลูกศรพลังงาน ในตอนนี้เฉินเหลียงชูรู้สึกหวาดกลัวและเจ็บปวด หลังจากที่เฉินเหลียงชูพูดยอมแพ้ออกมา ตัวเขาก็ได้กระอักเลือดตาม เฉินเหลียงชูพยายามดิ้นรนอยู่บนพื้นก่อนที่จะพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง

ลู่โจวยกมือขึ้นและในตอนนั้นเองดาบพลังงานจำนวนหนึ่งก็ได้บินเข้าหาไปเฉินเหลียงชู

พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!

ดาบพลังงานทั้งหลายได้กระทบเข้ากับเส้นพลังลมปราณตามตัวของเฉินเหลียงชู และเพราะแบบนั้นความเจ็บปวดที่เฉินเหลียงชูกำลังเผชิญจึงลดลงในทันที ตัวเขาที่รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงได้เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าของตัวเอง ความเย่อหยิ่งและความโกรธเกรี้ยวของตัวเขาก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

ส่วนบี่เอี๊ยนที่ได้สำแดงพลังของมันเสร็จแล้วได้บินวนรอบหมู่บ้านก่อนที่จะร่อนลงมาหาลู่โจวอีกครั้ง

ในตอนนี้ผู้ที่เหลืออยู่เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธที่ไม่ได้มีพลังสูงส่งอะไร

ลู่โจวเหลือบมองไปที่บี่เอี๊ยน ตัวเขาคิดว่าเรื่องความฉลาดของมันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก บี่เอี๊ยนฉลาดมากพอจนเลือกจัดการเป้าหมายที่จะให้แต้มบุญกับตัวของลู่โจวให้ได้มากที่สุด แม้ว่าจะทำแบบนั้นแล้วแต่ลู่โจวก็ได้แต้มบุญมาจากการต่อสู้เพียงแค่ 200 แต้มเท่านั้น การจะหาแต้มบุญจากผู้ฝึกยุทธที่มีพลังต่ำกว่าขั้นศักดิ์สิทธิ์เป็นอะไรที่น้อยนิดมาก

ในขณะเดียวกันพ่อบ้านโจวและเฟิงปิงก็ได้แต่นอนอยู่บนพื้น พวกเขาทั้งคู่ไม่อาจที่จะต่อสู้ได้อีก

เฉินเหลียงชูลุกขึ้นนั่ง เมื่อตัวเขาขยี้ตาตัวเองก็ได้เห็นบี่เอี๊ยนสัตว์ขี่ที่ดูน่าเกรงขาม และเมื่อได้เห็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้หดตัวเองกลับไปตามสัญชาตญาณ

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าเริ่มทำธุรกิจที่น่ารื่นรมย์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เฉินเหลียงชูปาดเหงื่อออกจากใบหน้าก่อนที่จะตอบกลับมา “ผู้อาวุโส…ข้าก็แค่พยายามหาเลี้ยงชีพตัวเองก็เท่านั้น ข้าเพิ่งจะเริ่มทำได้ไม่นาน”

ลู่โจวไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเขา “บอกข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในเมืองแห่งนี้มาซะ”

ในระหว่างที่ฟังหยวนเอ๋อก็เหลือบไปเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งว่างอยู่ นางได้หยิบเก้าอี้ตัวนั้นก่อนที่จะวางไว้ที่ด้านหลังของลู่โจว

เฉินเหลียงชูไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นธรรมดาที่ตัวเขายังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ เฉินเหลียงชูกลืนน้ำลายก่อนที่จะถามออกมา “สถานการณ์ในเมืองอย่างงั้นหรอ?”

ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง ในตอนนี้ตัวเขากำลังรอฟังคำตอบของเฉินเหลียงชูอยู่

เฉินเหลียงชูได้ใช้ความคิดไปชั่วครู่ก่อนที่จะตอบกลับมา “ในตอนนี้เมืองทั้งเมืองกำลังวุ่นวาย…มันวุ่นวายมากก่อนที่ท่านจะมาถึง สมาชิกของสำนักอเวจีได้ต่อสู้กับทหารผู้คุ้มกันเมืองอย่างดุเดือด การต่อสู้นั้นมีผู้คนเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก”

“แล้วพวกชนเผ่าอื่นล่ะ?” ลู่โจวถามต่อไป

เฉินเหลียงชูที่ได้ยินแบบนั้นขมวดคิ้ว “มีผู้คนจำลั่วหลานและรั่วหลี่ที่มาจากดินแดนทางตะวันตกจำนวนมาก แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชนเผ่าอื่น”

ลู่โจวเข้าใจแล้วว่าเรื่องนี้เฉินเหลียงชูไม่ได้รู้อะไรมากนัก

“ชนเผ่าอื่นที่ว่ามีแค่ชนเผ่าเดียวอย่างงั้นหรอ?” ลู่โจวได้ถามต่อไป

“ที่หรงเป่ยมีดินแดนทั้ง 5 และที่รั่วหลี่เองก็มีดินแดนทั้ง 7…ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามที่จะแทรกซึมมาโดยตลอด ส่วนเรื่องเกี่ยวกับชนเผ่าอื่นๆ ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องการปรากฏตัวของพวกมันที่นี่” เฉินเหลียงชูได้ตอบกลับมาตามความเป็นจริง

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองพลางพยักหน้าไปด้วย ตัวเขาเริ่มเรียงลำดับความทรงจำที่จีเทียนเด๋ามี

นับตั้งแต่ที่จักรพรรดิหย่งชิงได้เอาชนะหรงซีและหรงเป่ยไป ดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ก็ได้ครอบครองดินแดนเพิ่มเติมมา ชนเผ่าอื่นๆ ที่อยู่ในหรงซีและหรงเป่ยต่างก็ต้องปรับตัว จากที่มีเมืองมากมายอยู่นับไม่ถ้วนท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้รวมตัวกันก่อนที่จะจัดตั้งกลายเป็นดินแดนแห่งใหม่ขึ้นมา ที่หรงซีมีเมืองทั้งหมดอยู่ 5 เมือง และที่หรงเป่ยมีเมืองทั้งหมด 7 เมืองถูกจัดตั้งขึ้น ทั้ง 12 เมืองที่ว่าต่างก็ต้องยอมจำนนให้กับดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ ในทุกๆ ปีพวกเขาต่างก็ต้องส่งส่วยให้กับดินแดนหยาน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินของมีค่าหรือองค์หญิงก็แล้วแต่ ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นการเสียสละเพื่อมิตรภาพ แต่ถึงแบบนั้นทั้ง 12 เมืองก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ ทั้งหมดมักจะหาเรื่องล่วงล้ำเขตแดนของดินแดนหยานอยู่เสมอ นั่นเป็นเรื่องที่องค์ชายสี่หลิวปิงจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดการปัญหาเหล่านี้ องค์ชายหลิวปิงที่อยู่พรมแดนได้ใช้กำลังทหารเข้ายับยั้งเมืองต่างๆ จนทำให้คนทั่วทั้งดินแดนหยานต่างก็มีความสงบสุขจนมาถึงตอนนี้

“แล้วองค์ชายสี่หลิวปิงอยู่ที่ไหนกัน?” ลู่โจวได้ถามออกไป

เฉินเหลียงชูที่ได้ฟังคำถามนั้นตกใจ ตัวเขามองไปที่ลู่โจวอย่างสงสัยก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสี่นำทหารไปกว่า 300,000 และผู้ฝึกยุทธอีก 5,000 คนไป กำลังพลทั้งหมดถูกแบ่งออกมาเพื่อที่จะปกป้องเมืองทั้งสิบของมณฑลเหลียงเอาไว้….ข้าไม่รู้เลยว่าตอนนี้องค์ชายสี่อยู่ที่เมืองไหนกันแน่ ในตอนนี้เมืองทั้ง 5 ของมณฑลเหลียงได้รับการปกป้องจากเขตแดนพลังแล้ว ส่วนอีก 5 เมืองที่เหลือยังไม่ได้รับพลังเขตแดน…ยังไงซะองค์ชายสี่ก็คงไม่ตกอยู่ในอันตรายแน่”

ลู่โจวรู้ว่าสิ่งที่เฉินเหลียงชูพูดออกมาเป็นความจริง ในเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนี้เขาไม่กล้าที่จะพูดโกหกแน่ “บอกให้คนของเจ้าสืบค้นเรื่องนี้มาซะ ถ้าหากเจ้าทำได้ดี ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้าไป”

เฉินเหลียงชูดีใจมากที่ได้ยินแบบนั้น ตัวเขาได้โค้งคำนับให้อย่างเร่งรีบก่อนที่จะพูดตอบกลับมา “ข้าจะรับใช้ท่านอย่างเต็มที่เองผู้อาวุโส”

ค่ำคืนนั้นเฉินเหลียงชูก็ได้พักอยู่ที่หมู่บ้านของตนต่อไป ตัวเขาไม่ได้จากไปไหนไกล เฉินเหลียงชูพักอยู่ที่ห้องถัดจากลู่โจวไปเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น ค่ำคืนนี้มันเป็นคืนอันแสนโหดร้ายสำหรับตัวเขา หลังจากสูญเสียพลังวรยุทธของตัวเองไป เฉินเหลียงชูก็ต้องหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าจะมีลูกน้องคนไหนหักหลังตัวเขาไหม ในมณฑลเหลียงแห่งนี้ผู้คนทั้งหลายต่างก็จ้องแต่หาผลประโยชน์ ในที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเหตุผลอยู่เลย

เฉินเหลียงชูต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแม้ว่าตัวเขาจะไม่มีพลังวรยุทธแล้วก็ตาม ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่าตัวเขามีวิธีการฟื้นฟูพลังวรยุทธของตัวเองอยู่ แม้ว่ามันจะเป็นงานที่ยากลำบากแต่มันก็ยังมีหวังอยู่ ยังไงซะตัวเขาก็ยังมีชื่ออยู่ในบัญชีขาว ด้วยชื่อเสียงที่ตัวเขามีจะต้องมีวิธีการมากมายที่จะหาทางฟื้นฟูจุดตันเถียนของตัวเขาได้แน่ หนึ่งในวิธีการอันมากมายนั้นก็คือการใช้ดอกแมกโนเลียดำ ไม่ว่าจะยังไงเรื่องนั้นก็ต้องปล่อยมันไว้ก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการปกป้องชีวิตของตัวเอง เพราะแบบนั้นเฉินเหลียงชูจึงเลือกพักให้ใกล้กับลู่โจวมากที่สุด

เช้าวันรุ่งขึ้น

เฉินเหลียงชูได้ส่งคนของตัวเองออกไปรวบรวมข้อมูลจากเมืองทั้ง 10 ในทันที ตัวเขาได้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับงานนี้

เมื่อถึงช่วยบ่ายเฉินเหลียงชูก็ได้เข้ามาหาลู่โจวด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโส ข้าได้ให้คนของข้าไปสืบเรื่องที่ท่านอยากรู้มาแล้ว…องค์ชายสี่น่าจะอยู่ที่เมืองม่อ เมืองทางตอนเหนือของมณฑลเหลียง”

เฉินเหลียงชูไม่กล้าที่จะจากไปโดยที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบ ตัวเขาได้แต่รอเสียงตอบรับที่อยู่จากภายในห้อง

“แล้วมีข่าวอะไรเกี่ยวกับสำนักอเวจีไหม?”

“ข้าได้ยินมาว่ายู่เฉิงไห่ เจ้าสำนักอเวจีและสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของเขาก็ไปที่เมืองม่อเช่นกัน” เฉินเหลียงชูที่พูดจบถอนหายใจก่อนที่จะพูดต่อ “สำนักอเวจีกำลังทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความวุ่นวาย ยู่เฉิงไห่เป็นศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า พลังวรยุทธที่ตัวเขามีเป็นอะไรที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว ด้วยการเคลื่อนไหวด้วยตัวเองของยู่เฉิงไห่ องค์ชายสี่ที่อยู่พร้อมกับทหารฝีมือดีก็คงจะไม่มีทางสู้ได้แน่”

“ตรวจสอบต่อไปซะ”

“ครับผู้อาวุโส”

อีกวันได้ผ่านพ้นไป

ในวันที่สามเฉินเหลียงชูก็เดินมาหาลู่โจวอยู่ที่หน้าประตูเช่นเคย “ท่านผู้อาวุโส มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มณฑลเหลียง สำนักอเวจีได้ต่อสู้กับองค์ชายสี่ ทั้งสองฝ่ายต่างก็พบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เมืองทั้งห้าที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากเขตแดนพลังถูกสำนักอเวจียึดไปในชั่วข้ามคืน ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะมาที่นี่ในเร็วๆ นี้…”

“ตรวจสอบต่อไป”

เฉินเหลียงชูได้คำนับก่อนที่จะจากไปเช่นเคย

ในวันที่สี่ก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง เฉินเหลียงชูรีบไปที่หน้าประตูของลู่โจว ครั้งนี้มันดูต่างออกไปกว่าครั้งก่อนๆ “ผู้อาวุโสได้โปรดออกจากเมืองของมณฑลเหลียงตั้งแต่ตอนนี้ด้วย…เขตแดนพลังของเมืองได้ตกอยู่ในการควบคุมของผู้ทรยศแล้ว…ในตอนนี้สำนักอเวจีได้บุกผ่านประตูเมืองได้แล้ว”

ทันทีที่เฉินเหลียงชูพูดจบ ในตอนนั้นก็มีเสียงดังที่คล้ายกับฟ้าร้องดังก้องไปทั่วเมือง นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธอีกหลายคนลอยไปลอยมาอยู่บนอากาศ

มีควันลอยสูงขึ้น ในตอนนั้นเองเสียงของการต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ทหารของเมืองแห่งนี้กำลังถูกไล่ต้อนกลับไป

มีพลังอวตารทศภพปรากฏขึ้นอยู่ตามท้องถนน แม้ว่ามันจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับพลังอวตารร้อยวิถี แต่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเอง พลังอวตารทศภพก็เปรียบได้กับพลังสูงสุดแล้ว ต่อหน้าทหารและผู้ฝึกยุทธระดับล่างพลังอวตารทศภพก็เป็นเหมือนกับเครื่องจักรสังหารอันทรงพลัง

สำนักอเวจีเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธเหล่านี้

การโจมตีของสำนักอเวจีนั้นรุนแรงและเด็ดขาด

เฉินเหลียงชูที่รู้ข่าวเช่นนั้นถึงกับอยู่ไม่สุข ที่ใบหน้าของเขามันเต็มไปด้วยเหงื่อ…

พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!

มีผู้ฝึกยุทธกว่าหลายสิบคนปรากฏตัวขึ้นเหนือหมู่บ้าน

“ข้ามีชื่อว่ายู่ฮง ข้าเป็นยอดฝีมืออันดับที่สองของโถงมังกรฟ้าแห่งสำนักอเวจี ใครก็ตามที่ติดตามพวกเราจะได้อยู่อย่างสุขสบาย ส่วนคนที่ต่อต้านพวกมันจะต้องตาย ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก้าวไปข้างหน้าซะ!” มันเป็นสิ่งที่สำนักอเวจีทำมาอย่างช้านานแล้ว นอกจากจะเป็นการลดความสูญเสียที่จะเกิดจากการต่อสู้ วิธีนี้จะทำให้พวกเขาได้สมาชิกใหม่มาด้วย

เฉินเหลียงชูไม่คาดคิดว่าสำนักอเวจีจะมาถึงที่นี่ได้รวดเร็วแบบนี้ ในตอนนี้ตัวเขาได้สูญเสียพลังวรยุทธไปแล้ว ตัวเขาไม่มีทางเลยที่จะปกป้องตัวเองได้ เฉินเหลียงชูรู้สึกกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมา ตัวเขาได้แต่มองไปที่ห้องของลู่โจว

ยู่ฮงมองไปที่เฉินเหลียงชูก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าบาดเจ็บอย่างงั้นหรอ?”

“ถะ…ถูกต้อง…” แม้ว่าเฉินเหลียงชูต้องการที่จะชี้ไปยังห้องของลู่โจว แต่ตัวเขาก็ไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น

“พาเขาไปซะ!”

ผู้ฝึกยุทธสองคนได้บินลงมาจากท้องฟ้าก่อนที่จะจับตัวของเฉินเหลียงชูไปในทันที

เอี๊ยด!

ประตูที่อยู่ด้านหน้าเฉินเหลียงชูถูกเปิด

ลู่โจวได้ปรากฏตัวออกมาโดยที่เอามือไขว้หลัง ตัวเขาได้มองไปที่ยู่ฮงยอดฝีมืออันดับสองจากโถงมังกรฟ้าที่กำลังบินอยู่บนอากาศ

ยู่ฮงที่สังเกตเห็นลู่โจวได้ประเมินพลังของตัวเขาในทันที ตัวเขาได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเราจะไม่ปล่อยให้ใครก็ตามต่อต้านสำนักอเวจีแน่”

ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้วิ่งออกมาจากห้อง นางได้ชี้ไปที่ยู่ฮงก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าเจ้าพูดกับอาจารย์ของข้าก็ระวังคำพูดของเจ้าไว้ซะ!”