ตอนที่ 424 คดีทุจริตของทังชุ่นอิง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 424 คดีทุจริตของทังชุ่นอิง

ฟางจั๋วหรานไม่ได้ตอบเธอ มือข้างหนึ่งเข็นจักรยานไป อีกมือก็จูงมือเธอเข้าไปในป่าเล็กๆ ข้างทาง

ขณะหลินม่ายกำลังจะถามเขาว่าจะทำอะไร ก็เห็นท่านศาสตราจารย์ปล่อยมือ

ปล่อยให้จักรยานล้มลงกับพื้นดังตึง เขาประคองใบหน้าเล็กของเธอก่อนประทับจูบลงไปอย่างเอาแต่ใจ

หลินม่ายกะพริบตาสองสามครั้ง นี่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ในห้องครัวยังไม่หนำใจ ก็เลยมาต่อกันตอนนี้งั้นเหรอ?

……ตนเองก็ยังไม่สมใจอยากเหมือนกัน งั้นมาเลย มาสนุกกัน!

เธอพิงหลังกับต้นสนเล็กๆ ที่อ่อนแอต้นหนึ่ง จูบกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับฟางจั๋วหราน

การเคลื่อนไหวค่อนข้างดุเดือด เจ้าต้นสนเล็กๆ ที่อ่อนแอต้นนั้นจึงถูกพวกเขาทารุณจนสั่นไหวไปมาอย่างบ้าคลั่ง

เฉินเฟิงกำลังกลับบ้านจากไซต์ก่อสร้างโดยลำพัง เขาพลันระมัดระวังตัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณแล้วตรวจสอบความผิดปกติในบริเวณป่าละเมาะเล็กๆ นั้นทันที

เขานึกว่าในป่านั้นคงมีสัตว์เล็กๆ จำพวกเพียงพอนอยู่ ดังนั้นจึงชักมีดพกที่พกติดตัวออกมาเตรียมจะขว้างใส่เจ้าเพียงพอนที่โชคร้ายตัวนั้น เย็นนี้คงได้มีอาหารป่ากินแล้ว

ไม่ได้กินอาหารป่ามานานมากแล้ว ในที่สุดก็สามารถแก้ให้หายอยากเสียที

(ความเห็นนักเขียน: เป็นเพียงพล็อตนิยายเท่านั้น ทุกคนห้ามกินอาหารป่าเปิบพิสดารเด็ดขาดนะคะ!)

แต่ในตอนที่เขาเดินเข้าไปในป่าอย่างเงียบเชียบนั้น ก็ไม่ได้เจอกับเพียงพอนแต่อย่างใด

เห็นเพียงแค่ไอ้เจ้าศาสตราจารย์ฟางนั่นกำลังโอบกอดจุมพิตหลินม่ายอยู่

ภาพนั้นงดงามมาก จนเฉินเฟิงรู้สึกได้ว่าแม้แต่ตนเองอยู่ห่างออกมาหลายเมตรก็ยังเป็นส่วนเกิน

ในใจของเขาพลันเจ็บปวดรวดร้าว หันตัวกลับมาอย่างเงียบเชียบและจากไปอีกครั้งอย่างเงียบงันโดยไม่เห็นฝุ่นสักธุลีเดียว

เขาไม่รู้ว่าในอนาคตตนเองจะได้พบเจอกับความรักที่จะสลักไว้บนกระดูกจารึกไว้ในหัวใจหรือไม่

สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจได้ก็คือไม่ว่าในอนาคตเขาจะรักใคร จะคบหากับใคร เขาจะไม่มีวันลืมหญิงสาวที่เขาเคยแอบรักคนหนึ่งที่ชื่อหลินม่ายไป

……

เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายก็หวนนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นในป่า ใบหน้าพลันร้อนผ่าวขึ้นมา แม้จะใช้น้ำเย็นล้างหน้าก็ยังไม่อาจทำให้เย็นลงได้เลย

เธอนอนอยู่บนเตียงตอนกลางคืน ก็ยังละเมอยิ้มออกมาเป็นครั้งคราว ความรู้สึกของการตกอยู่ในห้วงความรักช่างหอมหวานจริงๆ

แม้ว่ากลางคืนเธอจะนอนหลับฝันหวาน วันต่อมาหลินม่ายก็ยังตื่นนอนในตอนหกโมงเช้า

หลังจากอาบน้ำให้สดชื่นแล้ว เธอก็นั่งเรียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะหนังสือ จนถึงเวลาเจ็ดโมงครึ่งจึงได้เอาซาลาเปาไส้ผักดองสองลูกที่ร้านเปาห่าวชือ พร้อมกับซื้อหนังสือพิมพ์ฉู่เป้าฉบับหนึ่งไปด้วยระหว่างทาง

เธอกลับมาที่บ้านกินอาหารเช้าดื่มนมสดไปพลาง อ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง

สิ่งที่ตีพิมพ์บนพาดหัวข่าวหน้าแรกในหมวดปากท้องของประชาชนบนหนังสือพิมพ์ ก็คือเนื้อหาที่หนิวลี่ลี่ได้สัมภาษณ์เธอเมื่อวานนี้

เนื้อหานั้นทั้งไม่ได้ถูกตัดทอน หรือทำให้เกินจริง ทั้งหมดล้วนยึดตามความเป็นจริง

ในตอนท้ายของบทความเธอถามซ้ำๆ ว่า : ทำไมห้างสรรพสินค้าถึงต้องขับไล่บริษัทเอกชนในท้องถิ่นอย่างบริษัทเสื้อผ้า Unique Ltd. ในสถานการณ์ที่มีพื้นที่เพียงพอด้วย?

นี่เป็นคำสั่งที่หัวหน้าคนไหนสั่งมาหรือไม่?

การกดขี่บริษัทเอกชนในท้องถิ่นเพื่อบริษัทลงทุนจากต่างชาติ วิธีการเช่นนี้ถูกต้องแล้วหรือ?

ในบทความยังเน้นย้ำเป็นพิเศษ ว่าเจ้าของโรงงานของโรงงานเสื้อผ้าของ Unique นั้นก็คือหลินม่าย ซึ่งยังเป็นเจ้าของโรงงานไป๋เหอโถวซื่ออีกด้วย

สหายหลินม่ายได้ทำเพื่อช่วยเหลือผู้พิการ แบ่งเบาความกดดันของรัฐบาลและสังคม ไป๋เหอโถวซื่อได้รับสมัครพนักงานเป็นผู้พิการทั้งหมด

บริษัทเอกชนที่มีความตระหนักในภาระหน้าที่อันพึงกระทำต่อสังคมเช่นนี้ กลับถูกห้างสรรพสินค้าใหญ่กดขี่อย่างโหดเหี้ยม ศีลธรรมอยู่ที่ไหน ความยุติธรรมอยู่ที่ใดกัน?

หลินม่ายอ่านจบ ก็ยกนิ้วชื่นชมหนิวลี่ลี่อย่างเงียบๆ

บทความนี้ช่างเขียนได้อย่างฮึกเหิมเร่าร้อนและเดือดพล่านจริงๆ

เธออ่านหนังสือพิมพ์ต่อ มองหาบทความที่เกี่ยวกับการสัมภาษณ์กวนหย่งหัวของหนิวลี่ลี่

แต่ถึงอ่านหนังสือพิมพ์ทั้งหมดรวดเดียวไปสองรอบแล้ว แม้แต่โฆษณาก็ไม่ปล่อยผ่าน ก็ยังไม่พบบทความนั้นเลย

เธอวางแผนว่าจะรอหนิวลี่ลี่เลิกงงาน แล้วโทรไปถามดูสักหน่อย ว่าไม่ได้ตีพิมพ์เนื้อหาที่เธอไปสัมภาษณ์กวนหย่งหัวใช่หรือไม่

หากไม่ตีพิมพ์ เธอก็ต้องคิดวิธีอื่นเพื่อจะรับมือและสู้กับกวนหย่งหัว

ล่อให้เขากล่าวหาเธอต่อสาธารณชนว่า Unique ของเธอนั้นเลียนแบบซีม่านของเขา เธอจึงจะมีเหตุผลที่จะไปขึ้นศาลฟ้องร้องเขา ถึงจะสามารถทำลายชื่อเสียงของซีม่านได้

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็เปลี่ยนเป็นชุดออกไปข้างนอก เป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นมีริ้วริบบิ้นสีฟ้าอ่อนเข้าคู่กับกระโปรงยีนทรงเอยาวปานกลาง

จากนั้นก็ขี่รถไปที่โรงงานเสื้อผ้า และเปิดการประชุมแบบกะทันหัน

จุดประสงค์คือเพื่อจะถามถึงสภาพยอดขายของบูธในห้างต่างๆ ทั้งหมดเมื่อวานนี้

เหรินเป่าจูรายงานด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข “เมื่อวานแม้ว่าเสื้อผ้า Unique ทั้งหมดจะขึ้นราคาสูงมาก แต่เมื่อเทียบซีม่านแล้ว ก็ยังคงมีความได้เปรียบด้านราคาใหญ่หลวง บวกกับที่เราได้เพิ่มพนักงานแนะนำลูกค้า อีกทั้งกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น แจกผ้าเช็ดหน้านำเข้าให้ฟรีเพียงเข้ามาเยี่ยมชมบูธขายสินค้า ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก ยอดขายก็พุ่งกระฉูดค่ะ”

เหรินเป่าจูยื่นรายงานยอดขายของเมื่อวานนี้ให้หลินม่าย

หลินม่ายอ่านทั้งหมดจบอย่างรวดเร็ว ปริมาณยอดขายของเมื่อวานแทบจะกลับไปสู่ช่วงพีคที่สุด

เธอพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และถามเกี่ยวกับสภาพการผลิตอีกเล็กน้อย

เถาจืออวิ๋นและโฮ่วซินอี้ต่างรายงานว่าคุณภาพและปริมาณการผลิตนั้นล้วนไม่มีปัญหา

หลินม่ายประกาศสิ้นสุดการประชุม แล้วจึงเรียกเหรินเป่าจูไปที่ห้องทำงานของตนเพียงลำพัง และถามหล่อนว่าการตรวจสอบคดียักยอกเงินบริษัทที่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของทังชุ่นอิงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

เหรินเป่าจูพยักหน้าตอบ “น้ำลดตอผุดค่ะ ทังชุ่นอิงได้ยักยอกเงินบริษัทไปจริงๆ รวมแล้วเป็นจำนวนกว่าหนึ่งพันหยวน”

หลินม่ายค่อนข้างประหลาดใจ “แคชเชียร์ไช่บอกว่าเงินที่หล่อนยักยอกไปมีค่อนข้างน้อยไม่ใช่เหรอ ทำไมจึงตรวจสอบออกมาได้ถึงหนึ่งพันกว่าหยวนล่ะ?”

เหรินเป่าจูพูด “ที่แคชเชียร์ไช่เห็นนั้นเป็นเพียงผิวเผิน ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดจึงจะตรวจพบว่าฝ่ายบัญชีทังได้ยักยอกไปมากน้อยเท่าไหร่น่ะค่ะ”

หล่อนเห็นหลินม่ายเอาแต่ครุ่นคิดนิ่งเงียบอยู่ตลอด จึงถามขึ้น “จะจัดการลงโทษฝ่ายบัญชีทังยังไงดีคะ? ควรจะส่งหล่อนไปสถานีตำรวจหรือว่า…”

ที่หลินม่ายใคร่ครวญอยู่ก็คือปัญหานี้เช่นกัน

ในยุคนี้ การปราบปรามอาชญากรรมต่างๆ มีการพิจารณาโทษค่อนข้างหนัก

เงินหนึ่งพันกว่าหยวนนั้นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แม้จำคุกไม่ถึงสิบปี แต่ก็ยาวนานเจ็ดถึงแปดปี

ทว่าต่อให้โทษหนักแค่ไหน มันก็เป็นเพราะทังชุ่นอิงรนหาที่เอง ไม่ควรค่าแก่การเห็นใจ แต่ก็น่าสงสารลูกที่ป่วยไข้ของหล่อนเช่นกัน

หลินม่ายนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พาตัวทังชุ่นอิงเข้ามาในห้องทำงานของฉัน”

ผ่านไปไม่กี่นาที เหรินเป่าจูก็พาทังชุ่นอิงมา

ในเวลาเพียงคืนเดียว ทังชุ่นอิงก็ดูซีดเซียวเหลือแสนราวกับแก่ไปอีก10ปี

เมื่อเธอเข้ามาข้างก็คุกเข่าลงทันที ก้มหัวคำนับให้หลินม่ายไม่หยุด พร้อมกับเอ่ยร่ำไห้ทั้งน้ำตา “หัวหน้าโรงงานหลิน ฉันสำนึกผิดแล้วค่ะ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ อย่าส่งฉันไปที่สถานีตำรวจเลย หากฉันติดคุก น้องชายของฉันก็จะเป็นทหารไม่ได้ และลูกชายของฉันเองก็ไม่มีคนดูแล ฮือๆๆ”

หลินม่ายนั่งนิ่งไม่ไหวติง พูดอย่างเย็นชา “ คุณรีบลุกขึ้นมา แล้วนั่งพูดให้ดีๆ ถ้ายังก้มหัวคำนับอีก ฉันจะให้เจ้าหน้าที่รปภ.ของโรงงานส่งคุณไปที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้!”

ทังชุ่นอิงพลันตกใจจนไม่กล้าก้มหัวต่อไปอีก รีบลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามหลินม่าย มองมายังเธออย่างหวาดวิตก

หลินม่ายพูดอย่างเย็นชา “ตอนนี้คุณเพิ่งมาคิดว่าตัวเองติดคุกไม่ได้เพราะจะกระทบการเป็นทหารของน้องชายคุณ และลูกของคุณจะไม่มีคนดูแล แต่ทำไมตอนที่คุณยักยอกเงินของบริษัทไม่นึกถึงผลที่จะตามมาเหล่านี้ล่ะคะ”

ทังชุ่นอิงพูดด้วยความหวั่นกลัว “ อาการป่วยของลูกฉันย่ำแย่ลง ฉัน…ฉันจนปัญญาแล้วจริงๆ ฉันไม่มีความสามารถจะหาเงินมารักษาแกได้มากมายขนาดนั้น”

หลินม่ายพูดอย่างจริงจัง “อาการป่วยของลูกคุณแย่ลงไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะใช้อ้างเพื่อกระทำทุจริตได้ คุณขอความช่วยเหลือจากโรงงานหรือยืมเงินจากเพื่อนร่วมงานก็ได้ หนทางมากมายขนาดนี้ แต่คุณกลับทำการทุจริต!”

ทังชุ่นอิงพูดด้วยความหวั่นกลัว “ฉันกลัวว่าวิธีการพวกนั้นจะไม่ได้ผล…”

หลินม่ายแค่นหัวเราะเย็นชา “ คุณไม่แม้แต่จะลองดูด้วยซ้ำ ทำไมถึงรู้ว่าจะไม่ได้ผลล่ะ? ตอนที่คุณมาทำงานที่โรงงานของฉัน ต้องเจอกับการปฏิเสธมากมายหลายครั้งแต่คุณกลับไม่ยอมแพ้ แต่เพื่อรักษาอาการป่วยของลูกคุณ กลับไม่มีความกล้าจะขอความช่วยเหลือ มันย้อนแย้งกันเกินไป! ที่น่าตลกยิ่งกว่าก็คือ คุณไม่กล้ายืมเงินคนอื่น แต่กลับกล้ายักยอกเงินบริษัท! พูดให้ชัดเจนก็คือหากยืมเงินของคนอื่นก็ต้องคืน แต่ถ้ายักยอกเงินบริษัท ขอแค่ไม่ถูกจับได้ก็ไม่ต้องคืนแล้ว คุณอยากจะรักษาอาการป่วยของลูกโดยที่ไม่อยากคืนเงิน ดังนั้นจึงยักยอกเงินของบริษัทสินะคะ!”

หลินม่ายพูดเข้าเป้าตรงเผง ทังชุ่นอิงเหงื่อเย็นไหลพราก สีหน้าซีดเผือด

หลินม่ายพูดต่อ “ เรื่องนี้ฉันคงจะไม่สามารถปล่อยไปแบบนี้ได้ ดังนั้นคุณจงตั้งใจทำงานไปก่อน ห้ามยักยอกเงินไปอีกแม้แต่เฟินเดียว ไม่เช่นนั้นฉันจะให้เจ้าหน้าที่รปภ.ของโรงงานจับคุณไปส่งสถานีตำรวจทันที”

ทังชุ่นอิงถามอย่างอ่อนแรง “หัวหน้าโรงงานหลิน คุณ…คุณจะลงโทษฉันยังไงเหรอคะ?”

หลินม่ายพูดอย่างโหดเหี้ยม “ คุณต้องชดใช้เงินที่ยักยอกไปทั้งหมด ซึ่งมันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ส่วนยังต้องได้รับบทลงโทษอะไรอีกนั้น รอฉันคิดเสร็จแล้วจะบอกอีกที”

ทังชุ่นอิงร้องไห้ออกมาด้วยความร้อนใจ “หัวหน้าโรงงานหลิน ฉันไม่มีเงินจะชดใช้หรอกนะคะ…”

หลินม่ายรำคาญเล็กน้อย “คุณทำงานไปก่อน เรื่องบทลงโทษค่อยว่ากันทีหลัง!”

ทังชุ่นอิงได้แต่เดินจากไปอย่างละล้าละลัง

เหรินเป่าจูถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมไม่ไล่ฝ่ายบัญชีทังออกไปเลย แล้วยังให้หล่อนทำงานต่อไปล่ะคะ?”

หลินม่ายพูด “ระหว่างที่เร่งรีบ คงหาคนมาแทนฝ่ายบัญชีทังไม่ได้ รอให้หาคนได้แล้ว แน่นอนว่าจะไล่หล่อนออก”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พี่หมอค้างคาขนาดนั้นเลยเหรอคะ กินดุมากเลยค่ะ

เออ ทำไมตอนทำไม่คิดนะ มาคิดตอนโดนจับได้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนอกจากยอมรับผลกรรม

ไหหม่า(海馬)