ตอนที่ 423 ท่านหญิง กระหม่อมแก่แล้ว!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 423 ท่านหญิง กระหม่อมแก่แล้ว!

ทั้งสี่มองหน้ากัน แต่ละคนดูคล้ายไม่มีคำตอบ เชอปู้ฉือเอ่ยด้วยความฉงน “สำนักหยกสวรรค์กล้ายึดครองมณฑลหนานโจว แสดงว่าจะต้องได้รับการสนับสนุนจากสามสำนักใหญ่อย่างทางวังเหินเวหาแล้วแน่นอน ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย แต่ลำพังหนิวโหย่วเพียงคนเดียวจะต่อกรกับสำนักหยกสวรรค์ทั้งสำนักได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? กระทั่งตัวเขาเองก็ยังต้องไว้หน้าสำนักหยกสวรรค์ แล้วก็ยังต้องพึ่งพาสำนักหยกสวรรค์เพื่อตั้งตัวอยู่เลย มิเช่นนั้นเขาคงถูกคนอื่นสังหารไปนานแล้ว”

เฮ่าเจินส่ายหน้า “พวกเจ้าดูถูกเขาเกินไปแล้ว คนผู้นี้ลุ่มลึกมองการณ์ไกล เขาเตรียมแผนรับมือไว้นานแล้ว สำนักหยกสวรรค์คิดจะลงมือกับเขาคงไม่ง่ายถึงเพียงนั้น เขาเตรียมสิ่งที่สามารถใช้ควบคุมสำนักหยกสวรรค์เอาไว้นานแล้ว เพียงแต่ปกปิดเอาไว้ให้ผู้ใดทราบก็เท่านั้น”

ทั้งสี่ตกตะลึง เกาเจี้ยนโฮ่วรีบซักถาม “เขามีสิ่งใดที่ใช้ควบคุมได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? ในเมื่อคนนอกไม่ทราบ แล้วท่านอ๋องทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”

เฮ่าเจินโบกมือเอ่ยไปว่า “ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกพวกเจ้า หากแต่ไม่อาจบอกพวกเจ้าได้ เรื่องบางอย่างรู้ไปก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี”

….

ณ ค่ายทัพใหญ่ในเมืองหลวงที่กองทหารม้าประจำการอยู่ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นที่กลับจากเข้าเฝ้าช่วงเช้าไม่ได้กลับบ้าน หากแต่ตรงไปยังค่ายทหาร

ฉาหู่ติดตามอยู่ข้างกาย เข้าสู่กระโจมบัญชาการพร้อมกับฮูเหยียนอู๋เฮิ่น

ในกระโจมมีแม่ทัพสองนายกำลังยืนอยู่ตรงแผนที่ที่มีการปักเครื่องหมายเอาไว้ พลางชี้ไม้ชี้มือปรึกษาเรื่องบางอย่างอยู่ พอได้ยินเสียงจากด้านนอกว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่มาถึงแล้ว” ทั้งสองก็หันกลับไปมองทันที จากนั้นรีบมายืนเรียงแถวอย่างรวดเร็ว ประสานมือคารวะพลางเอ่ยว่า “คารวะท่านแม่ทัพ!”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นตอบ “อืม” คำหนึ่ง เดินไปหยุดอยู่หน้าแผนที่ จ้องมองแผนที่มณฑลหนานโจวในแคว้นเยี่ยนที่เลือกนำออกมาแขวนไว้โดยเฉพาะ บนแผนที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายวิเคราะห์รูปการณ์ของคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายปักสลับกันไปคล้ายฟันปลา เขาเอ่ยถามไป “ทำเครื่องหมายไว้หมดแล้วใช่หรือไม่?”

แม่ทัพคนหนึ่งตอบว่า “ทำเครื่องหมายสถานการณ์การรบทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบตามข้อมูลที่รวบรวมส่งมาจากทางหนานโจวแล้วขอรับ ต่อให้มีผิดพลาดก็น่าจะไม่มากนักขอรับ”

นี่คือเรื่องที่ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นสั่งการเอาไว้ก่อนหน้านี้

สำหรับคนในสายงานอื่นๆ ศึกในมณฑลหนานโจวของแคว้นเยี่ยนเป็นเพียงศึกตัดสินแพ้ชนะหรือไม่ก็เป็นเพียงการศึกแย่งชิงผลประโยชน์เท่านั้น แต่เหล่าแม่ทัพที่ต้องนำทัพออกศึกกลับมองต่างออกไป กองทัพหกแสนปะทะกองทัพแปดแสน อีกทั้งฝ่ายหลังก็มีเสบียงคลังสนับสนุนเต็มที่ แต่กลับแตกพ่ายกระจัดกระจายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน!

ปิดฉากการต่อสู้ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเชื่อว่าไม่ได้มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ประหลาดใจ เหล่าแม่ทัพของแคว้นต่างๆ จะต้องรู้สึกตกใจกันถ้วนหน้าแน่นอน ขอเพียงสถานการณ์เอื้ออำนวย เกรงว่าคงจับตามองศึกครั้งนี้อย่างใกล้ชิดกันทั้งสิ้น คงคิดหาทางรวบรวมข้อมูลของศึกในครั้งนี้เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าศึกครั้งนี้ใช้กลยุทธ์แบบใดกันแน่

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกวาดตามองแผนที่พลางเอ่ยถาม “พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับศึกครั้งนี้?”

แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยว่า “เป็นตัวอย่างการรบแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เป้าหมายมิใช่เพื่อทำลายทัพศัตรู นี่ช่วยลดทอดความเดือดร้อนต่อชีวิตประชาชนในหนานโจวไปได้มาก ลำพังแค่จุดนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความดีความชอบและความมีคุณธรรมแล้ว นี่คือศึกตรึงกำลังที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ใช้วิธีตรึงกำลังเพื่อสลายกองทัพศัตรู ไพร่พลเกือบหนึ่งล้านสี่แสนคนเข้าโรมรันกัน ซับซ้อนแต่ไม่วุ่นวาย หากไร้ซึ่งทักษะการบัญชาการทัพที่ยอดเยี่ยมก็อาจจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ ศึกนี้ค่อนข้างมีคุณค่า สามารถนำเป็นตัวอย่างสำหรับศึกษาเรียนรู้ได้ จากข้อสรุปของพวกเรา ศึกนี้น่าจะมิใช่ฝีมือของเฟิ่งหลิงปอขอรับ”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกวาดสายตามองแผนที่กลับไปกลับมา เอ่ยเนิบๆ ว่า “น่าจะเป็นเหมิงซานหมิง!”

สองแม่ทัพสบตากันเล็กน้อย พวกเขาวิเคราะห์สถานการณ์ศึกทั้งหมดอยู่นานพักใหญ่ถึงจะได้ข้อสรุปออกมา ไม่คิดเลยว่าท่านแม่ทัพจะให้คำตอบได้ในทันที

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยื่นมือออกไปหยิบข้อมูลที่เรียบเรียงไว้แล้วมาจากมือของแม่ทัพ จากนั้นก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย กระทั่งสองแม่ทัพถอยออกไปจากกระโจมแล้ว เขาก็เดินวนไปวนมาอยู่หน้าแผนที่ พลิกอ่านสถานการณ์ศึกที่ผ่านการเรียบเรียงมาทีละหน้า พลางเงยหน้าดูรูปแบบการรุกคืบของกำลังทหารบนแผนที่เป็นครั้งคราว

ฉาหู่ที่อยู่ด้านข้างนิ่งเงียบ จ้องมองแผนที่อยู่พักใหญ่เช่นกัน แต่เพราะไม่สันทัดทางด้านนี้ อีกทั้งรูปการณ์การรบของทั้งสองฝ่ายที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ก็ซับซ้อนเกินไป เขามองดูจนปวดหัว จึงเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน

พออ่านข้อมูลในมือจบ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นก็ยืนนิ่งอยู่หน้าแผนที่ มองวิเคราะห์อย่างจริงจังอยู่นานสองนาน มองอยู่เช่นนี้เกือบสองชั่วยาม

มีคนจากด้านนอกเข้ามาถามว่าต้องการรับอาหารหรือไม่ แต่ก็ถูกฉาหู่โบกมือไล่ให้ถอยออกไป

“เฮ้อ!” จู่ๆ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นก็ถอนหายใจเบาๆ艾琳小說

ฉาหู่เดินเข้ามาหา เอ่ยถามว่า “ทำไมหรือขอรับ?”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นชี้ไปที่แผนที่ เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ทันทีที่เปิดศึก ไพร่พลทั้งหกแสนนายล้วนทิ้งเสบียงกรังและสัมภาระทั้งหมด บุกเข้าโจมตีโดยไม่เผื่อทางหนีทีไล่ไวเลย หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแม้เพียงน้อยนิด ก็มีโอกาสที่จะย่อยยับกันทั้งกองทัพได้ เหมิงซานหมิงคนนี้กล้าได้กล้าเสียจริงๆ ใช้ทหารชั้นยอดกลุ่มหนึ่งตามไล่ล่าผู้บัญชาการทัพฝ่ายศัตรู สร้างผลกระทบไปทั่วทั้งกองทัพฝ่ายศัตรู กองกำลังส่วนที่เหลือก็อ้อมวนตลบหลังไปซ้ำๆ ถ่วงรั้งกำลังพลส่วนใหญ่ของกองทัพศัตรูจากสถานการณ์ศึกโดยรวม ทำงานประสานกับกองทหารจู่โจมชั้นยอดเหล่านั้น ทำให้กองทัพศัตรูแปดแสนนายเต้นไปมาอยู่บนฝ่ามือ ฉีกกระชากทัพใหญ่แปดแสนนายออกเป็นชิ้นๆ เหมิงซานหมิงคนนี้เป็นยอดฝีมือจริงๆ ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก หากเผชิญหน้ากันในสนามรบ เขาจะต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้าแน่นอน! น่าเสียดาย เกรงว่าชีวิตคนผู้นี้คงไม่ยืนยาวแล้ว!”

ฉาหู่แปลกใจเล็กน้อย “ไยจึงเอ่ยเช่นนี้ขอรับ ต่อให้เขาบาดเจ็บล้มป่วยร้ายแรง ขอเพียงไม่ถึงขั้นไร้หนทางเยียวยา มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายขนาดนั้นอยู่ข้างกาย คงไม่ถึงกับจะรักษาเขาไม่ได้หรือเปล่าขอรับ?”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเอ่ยว่า “ในท้องพระโรงเช้านี้มีการหารือเรื่องสถานการณ์ของมณฑลหนานโจวในแคว้นเยี่ยน ตามรายงานข่าวที่ราชสำนักได้รับมา กองกำลังของซางเฉาจงถูกแบ่งแยกกระจัดกระจายออกไปเป็นหย่อมๆ ไม่อาจกลับมารวมตัวกันได้ง่ายๆ เมื่อมองจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ทางสำนักหยกสวรรค์คงต้องการแย่งชิงอำนาจทางการทหารของซางเฉาจง แล้วก็ให้การสนับสนุนเฟิ่งหลิงปอ มีความเป็นไปได้สูงที่ซางเฉาจงจะถูกสำนักหยกสวรรค์ควบคุมเอาไว้แล้ว ส่วนเหมิงซานหมิงก็ภักดีต่อพ่อลูกสกุลซางทั้งสองรุ่น”

ฉาหู่ถาม “ท่านแม่ทัพกำลังจะบอกว่าสำนักหยกสวรรค์คิดจะสังหารซางเฉาจงและเหมิงซานหมิงหรือขอรับ?”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกล่าวว่า “หากเขาไม่ใช่ผู้บัญชาการศึกนี้ บางทีเขาอาจจะยังพอมีทางรอด จุดสำคัญคือการบัญชาการศึกในครั้งนี้ของเขายอดเยี่ยมเกินไป เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงไม่ปล่อยเขาไว้”

ฉาหู่แปลกใจ “รบชนะแล้วยังมีความผิดอยู่อีกหรือขอรับ?”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเอ่ยด้วยความหดหู่อย่างยิ่ง “จิตใจมนุษย์ต่ำช้า แม้แต่พยัคฆ์ร้ายก็ยังกลืนกินได้ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มียอดขุนพลที่ต่อสู้เพื่อแว่นแคว้นมากน้อยเพียงใดที่ไม่ได้สิ้นใจตายในสนามรบ แต่กลับต้องตายด้วยน้ำมือคนต่ำช้า? มากไปก็ไม่ได้ น้อยไปก็ไม่ดี! คนในราชสำนักเหล่านั้นวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว กำลังของสำนักหยกสวรรค์มีจำกัด จากนี้จะเข้าสู่ช่วงวางกำลังป้องกัน ซางเฉาจงไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของเขา ด้วยเหตุนี้ถึงได้ถอดถอนอำนาจทางการทหารของซางเฉาจง เช่นนี้แล้ว พวกเขาจะไม่เด็ดปีกที่ช่วยพยุงซางเฉาจงทิ้งได้หรือ?”

“ถึงอย่างไรซางเฉาจงก็เป็นบุตรเขยของเฟิ่งหลิงปอและหลานเขยของเผิงโย่วไจ้ หากซางเฉาจงถ่อมตัวว่าง่าย เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบที่จะตามมาแล้ว บางทีสำนักหยกสวรรค์อาจจะเลือกเก็บชีวิตซางเฉาจงเอาไว้ แต่เหมิงซานหมิงต้องตายแน่นอน หากว่าเลือกสังหารซางเฉาจง เหมิงซานหมิงก็ยังต้องตายอยู่ดี เพราะไม่มีทางที่จะปล่อยให้เหมิงซานหมิงไปเข้าร่วมกับฝ่ายอื่นเพื่อหาโอกาสกลับมาล้างแค้นได้ ครั้งนี้เกรงว่าเหมิงซางหมิงคงยากจะพ้นเคราะห์ได้!”

ฉาหู่เข้าใจแล้ว อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าพลางจุ๊ปากออกมา

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยกมือไพล่หลังพลางเอ่ยว่า “คนที่จะเป็นแม่ทัพจะต้องรู้จักแยกแยะจังหวะเวลา ชัยภูมิและกำลังคนให้ชัดเจนได้ แล้วสิ่งใดคือจังหวะเวลา?”

เขาชูนิ้วหนึ่งขึ้นมา ชี้ขึ้นไปด้านบน “แม่ทัพคนหนึ่งที่รู้จักเพียงการสู้รบแต่ไม่รู้จักจังหวะเวลา ต่อให้สู้รบเก่งแค่ไหนแล้วจะมีประโยชน์อะไร? แต่ไหนแต่ไรมาคนที่สามารถโจมตีคุกคามถึงชีวิตได้หาใช่ฝ่ายศัตรูไม่ หากแต่เป็นคนที่อยู่เบื้องบนเหล่านั้นต่างหาก หากเบื้องบนไม่ต้องการเก็บเจ้าไว้ ต่อให้เจ้าจะต่อสู้เก่งอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ แม่ทัพที่สามารถยืนหยัดอยู่ในราชสำนักได้อย่างแท้จริงล้วนมิใช่ขุนพลที่มีจิตใจเรียบง่ายบริสุทธิ์ เหมิงซานหมิงติดตามซางเจี้ยนปั๋ว ทุ่มเทชีวิตต่อสู้ แต่บทลงเอยในตอนสุดท้ายกลับกลายเป็นคนพิการที่ต้องเร้นตัวไปแอบซ่อนกบดาน ครานี้มาติดตามซางเฉาจงบุตรชายของซางเจี้ยนปั๋ว ชีวิตยิ่งอันตรายกว่าเดิม แบบนี้หากไม่เรียกว่าไม่รู้จักจังหวะเวลาแล้วคืออะไร?”

พอได้ฟังเขาเอ่ยมาเช่นนี้ ฉาหู่ก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาอยู่หลายครั้ง พบว่าในแง่หนึ่งแล้ว คำพูดนี้ก็คล้ายจะกำลังบอกว่าตัวเขาเองว่าไม่ได้มีจิตใจที่เรียบง่ายบริสุทธิ์อีกต่อไป เพราะท่านแม่ทัพผู้นี้ก็เป็นขุนพลที่ยืนหยัดอยู่ในราชสำนักได้มิใช่หรือ?

“น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก!” ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นที่เดินกลับไปกลับมาเล็กน้อยหันกลับไปมองแผนที่ ส่ายหน้ารำพึงออกมาอีกครั้ง

….

ภายศาลาว่าการของเมืองแห่งหนึ่งที่เพิ่งยึดมาได้ เฟิ่งหลิงปอที่สะสางงานราชการเสร็จสิ้นมุ่งหน้าไปยังเรือนด้านหลัง

เผิงอวี้หลานที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับเหล่าหญิงสูงศักดิ์กลุ่มหนึ่งอยู่ที่หน้าประตูเรือนหันมาต้อนรับเฟิ่งหลิงปอที่เดินเข้ามา เอ่ยถามไปว่า “เสร็จงานแล้วหรือ?”

เฟิ่งหลิงปอตอบอืมคำหนึ่ง เอ่ยไปว่า “ท่านพ่อละ?”

“ท่านพ่อกำลังรอท่านอยู่” เผิงอวี้หลานตอบกลับประโยคหนึ่ง จากนั้นกระซิบเตือนว่า “งานใหญ่กำหนดเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้ท่านพ่อจะพาคนกลับไปก่อน กลับไปที่มหานครหนานโจวก่อน…หนิวโหย่วเต้าหนีไปแล้ว ทำให้สำนักหยกสวรรค์สูญเสียผลกำไรจากการค้าสุราไปมหาศาล ส่วยที่ต้องมอบให้สามสำนักใหญ่จะลดน้อยลงไม่ได้ คาดว่าคงจะกลับไปรีดเค้นเอาจากพวกคหบดีในมหานครหนานโจวมาเพื่อให้เพียงพอสำหรับจ่ายส่วยในปีนี้ไปก่อน”

เฟิ่งหลิงปอพยักหน้าเล็กน้อย สื่อว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นสาวเท้าเดินเข้าสู่ส่วนลึกของเรือนหลัง เผิงโย่วไจ้ที่กำลังหารือเรื่องงานอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เหลือบเห็นเฟิ่งหลิงปอเดินเข้ามา จึงโบกมือให้คนรอบข้างถอยออกไป

หลังจากเฟิ่งหลิงปอเดินเข้ามาคารวะเรียบร้อยแล้ว เผิงโย่วไจ้ถึงเอ่ยถามว่า “เรื่องที่เหลือคงไม่มีปัญหาอันใดกระมัง?”

เฟิ่งหลิงปอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อวางใจได้ขอรับ ทุกอย่างราบรื่นดี!”

เผิงโย่วไจ้พยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างสบายๆ ว่า “ทางเหมิงซานหมิงเล่า?”

เฟิ่งหลิงปอลดเสียงลง “เพิ่งส่งคนไปถ่ายทอดคำพูดต่อเหมิงซานหมิงมาขอรับ ใช้ข้ออ้างว่าเป็นเพราะเขาเชี่ยวชาญการศึก จึงต้องการขอความร่วมมือให้เขาช่วยชี้แนะในการเก็บกวาดงานบางอย่างให้เสร็จสิ้น ให้เขารั้งอยู่ก่อน ส่วนพวกซางเฉาจงก็ให้พวกเขาติดตามท่านพ่อกลับไปก่อนในวันพรุ่งนี้ เพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน!”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยด้วยแววตาเย็นชา “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน อย่าปล่อยให้เหลือร่องรอยอันใดไว้ มิเช่นนั้นเจ้าคงรู้ถึงผลที่จะตามมา”

เฟิ่งหลิงปอย่อมต้องทราบถึงผลที่จะตามมาดี หากปล่อยให้ซางเฉาจงทราบเรื่องแล้วอาละวาดขึ้นมา เช่นนั้นก็จะต้องจัดการซางเฉาจงไปพร้อมกันด้วย และทางนี้ก็จะอธิบายกับบุตรสาวตนได้ยากเช่นกัน อีกทั้งเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างต่ำช้าน่าละอาย สำนักหยกสวรรค์ย่อมไม่อยากให้โลกภายนอกทราบเรื่องที่ว่าพอเสร็จศึกหมดประโยชน์ก็สังหารคนทิ้งเด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่อคนผู้นั้นคือบุคคลที่มีอิทธิพลต่อกองทัพทั้งหมดในแคว้นเยี่ยนอย่างเหมิงซานหมิง หากมีชื่อเสียงฉาวโฉ่แพร่ออกไปคงไม่ดีแน่ จะเกิดผลกระทบรุนแรงเกินไป ทำให้แม่ทัพนายกองทั้งระดับบนระดับล่างในหนานโจวนึกหวาดกลัวขึ้นมา จะให้พวกเขามองสำนักหยกสวรรค์กันอย่างไร? นี่จะส่งผลเสียต่อความภักดีเอาได้

“ไม่มีทางหลงเหลือร่องรอยไว้แน่นอนขอรับ กองกำลังของโจวโส่วเสียนยังไม่ถูกกวาดล้างจนสิ้น อีกทั้งไม่มีผู้ใดทราบว่ายังมีหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ที่ไหนบ้างหรือไม่ หากโผล่ออกมาโจมตีระหว่างทางก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง” เฟิ่งหลิงปอเอ่ยเสียงเบา

…….

ณ คฤหาสน์หลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากศาลาว่าการไปไม่ไกล ภายในสวนเล็กๆ ที่เงียบสงัด มีเสียงนกร้องแว่วมาจากบนต้นไม้เป็นครั้งคราว

ภายในสวน เหมิงซานหมิงนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเงียบๆ แม่ทัพคนหนึ่งที่เฟิ่งหลิงปอส่งมาถ่ายทอดคำสั่งให้เขาทราบอย่างนอบน้อม พร้อมกับประคองเอกสารปิดผนึกฉบับหนึ่งยื่นส่งให้ด้วยสองมือ จากนั้นก็ขอตัวอำลาไป

เหมิงซานหมิงเปิดเอกสารอ่านดู หลัวอันที่เข็นรถอยู่ด้านหลังพึมพำว่า “นับว่าเฟิ่งหลิงปอยังรู้จักประเมินตนอยู่ รู้ดีว่าจำเป็นต้องได้รับคำชี้แนะจากแม่ทัพเหมิง”

“ท่านหญิง!” แม่ทัพที่เพิ่งเดินพ้นประตูสวนบังเอิญพบซางซูชิงที่มุ่งหน้ามาพอดี จึงประสานมือคำนับอย่างให้เกียรติ

เหมิงซานหมิงสอดเอกสารในมือเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเงียบๆ

หลังจากซางซูชิงเข้ามาแล้วคารวะเสร็จก็ถามด้วยความแปลกใจว่า “ท่านลุงเหมิง คนของเฟิ่งหลิงปอมาทำไมหรือเจ้าคะ?”

หลัวอันกำลังจะอ้าปากพูด ผลคือถูกเหมิงซานหมิงชิงเอ่ยออกไปก่อน “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ เพียงมาสอบถามสารทุกข์สุกดิบ คงต้องการมาวางท่าเท่านั้น”

หลัวอันพลันเงียบไป ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหมิงซานหมิงถึงไม่ยอมบอกความจริง แต่ในเมื่อเหมิงซานหมิงกล่าวไปเช่นนี้ เขาไม่ได้สะดวกจะว่าอะไรให้มากความอีก

ซางซูชิงเข้ามาแทนที่หลัวอัน เข็นรถเข็นเดินเล่นภายในสวน

นภาสูงเมฆาไพศาล เหมิงซานหมิงเงยหน้ามองเงียบๆ อยู่พักหนึ่งก็เอ่ยถาม “ยังไม่มีข่าวจากทางเต้าเหยี่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ยังไม่มีเลย!” ซางซูชิงส่ายหน้า

เหมิงซานหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ทอดถอนใจออกมาเบาๆ “ท่านหญิง กระหม่อมแก่แล้ว อยากจะเห็นท่านวันที่ท่านได้เป็นฝั่งเป็นฝาจริงๆ น่ะพ่ะย่ะค่ะ!”

………………………………………………….