ตอนที่ 424 ยังตัดสินแพ้ชนะไม่ได้

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 424 ยังตัดสินแพ้ชนะไม่ได้

ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกคนถามถึงเรื่องออกเรือนเช่นนี้ ซางซูชิงล้วนจะกระอักกระอ่วน แต่เหมิงซานหมิงกลับต่างออกไป นางรู้ดีว่าเหมิงซานหมิงห่วงใยนางด้วยใจจริง หาได้เป็นเช่นคนเหล่านั้นที่เอาแต่พร่ำพรูว่าห่วงใยทั้งที่ไม่ใช่กงการใดของตนเลย

ในมุมมองของนาง ยามนี้เหมิงซานหมิงยังคงเร่งเร้าให้ออกเรือนในฐานะของญาติผู้ใหญ่ แต่ระยะนี้เหมิงซานหมิงมักจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง นี่ทำให้นางจำเป็นต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “สตรีในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถตัดสินใจเรื่องวิวาห์ได้ด้วยตัวเอง? ท่านลุงเหมิง ท่านปล่อยให้ข้าได้เป็นคนที่ได้ตัดสินเรื่องวิวาห์ด้วยตัวเองเถิดเจ้าค่ะ!”

“สาวน้อยเอ๋ย!” เหมิงซานหมิงถอนหายใจเบาๆ ไม่กล่าวอันใดอีก

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว ท่ามกลางหมู่ศาลาพลับพลา เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งและนักเรียนรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งดูแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งหมดห้อมล้อมอยู่สองฝั่งซ้ายขวาของเซ่าผิงปอ กำลังพูดคุยกับเซ่าผิงปออยู่

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกลุ่มนี้ล้วนเป็นผู้ที่มีผลงานด้านการบริหารส่วนท้องถิ่นในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทุกๆ ปีเซ่าเผิงปอจะสละเวลามาพบปะเจ้าหน้าที่เหล่านี้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่การพบปะธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นการนำเทียบเชิญไปส่งมอบให้ทีละคนๆ ด้วยตัวเอง

เรื่องการยกย่องเยินยอย่อมไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง กับคนเหล่านี้ ต่อให้เงินทองในมือจะขัดสนเพียงใด เซ่าผิงปอก็ยังตกรางวัลให้อย่างไม่ตระหนี่เลย ซ้ำยังลงแรงช่วยแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ทางครอบครัวของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ด้วย

ส่วนนักเรียนรุ่นเยาว์อีกกลุ่มมาจาก ‘โรงเรียนยอดคลื่น’ เป็นโรงเรียนที่เซ่าผิงปอออกทุนสร้างด้วยตัวเอง ทุกๆ ปีเซ่าผิงปอจะทำการคัดเลือกเฟ้นหาเยาวชนจำนวนหนึ่งที่เหมาะสมให้เข้าศึกษา อาจารย์ในสถานศึกษาเขาก็ตั้งใจคัดเลือกแล้วเชิญมาจากทั่วสารทิศ

ในตอนนั้นสำนักเขามหายานคิดว่าเขาใช้เงินสิ้นเปลือง เซ่าเติงอวิ๋นก็ไม่เข้าใจแนวคิดนี้ของเขา ทำเช่นนี้แล้วจะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์ได้มากกว่าเดิมหรือ? ทั้งยังจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปคอยดูแลการเล่าเรียนของเหล่านักเรียนด้วย การที่เจ้าจัดตั้งสถานศึกษาที่แยกตัวเป็นเอกเทศขึ้นมามันหมายความว่าอย่างไร? ซ้ำยังมาดึงตัวแม่ทัพบางส่วนในบังคับบัญชาของเขาไปเป็นอาจารย์อีก

เซ่าผิงปออธิบายต่อบิดาว่า ทุกคนติดอยู่ในโลกที่โกลาหลวุ่นวายมานานจนหยาบกร้านไร้ปัญญา โลกอันโกลาหลวุ่นวายนี้ต้องการกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและแนวคิดใหม่ๆ เป็นอนาคตของมณฑลเป่ยโจว หรืออาจจะเป็นอนาคตของใต้หล้าด้วย เราสามารถมองเห็นความหวังได้จากคนเหล่านี้ และคนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นนักเรียนของข้า!

หลังจากเล่าเรียนฝึกฝนบ่มเพาะมานานเจ็ดแปดปี ในที่สุดนักเรียนรุ่นแรกที่เข้าศึกษาก็จบออกมาแล้ว คนส่วนหนึ่งที่สันทัดด้านการทหารถูกเขาแนะนำให้เข้าร่วมกองทัพ ส่วนที่เหลือก็คือเหล่าคนหนุ่มกระฉับกระเฉงคึกคักที่อยู่ตรงหน้าเขาเหล่านี้

หลังจากพูดคุยกับกลุ่มเจ้าหน้าที่อยู่พักหนึ่ง เซ่าผิงปอก็ชี้นิ้วไปทางเจ้าหน้าที่เหล่านี้ จากนั้นอบรมกลุ่มนักเรียนที่อยู่ด้านข้างอย่างจริงจังว่า “แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือเท่าพวกเจ้า อีกทั้งวาทศิลป์ก็เทียบกับอาจารย์ในโรงเรียนไม่ได้ แต่คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง แล้วก็เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเจ้า หลังจากพวกเจ้าลงพื้นที่แล้ว พวกเจ้าจะได้รู้ว่าการปฏิบัติงานจริงมีปัญหามากมายที่แตกต่างไปจากสิ่งที่พวกเจ้าจินตนาการเอาไว้ ปัญหาที่จินตนาการเอาไว้และปัญหาที่ต้องเผชิญหน้าหาทางแก้ไขด้วยตัวเองนั้นมีความแตกต่างกันมากนัก”

“และในระหว่างนี้พวกเจ้าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย อุปสรรคหลายๆ อย่างนั้นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน เป็นสิ่งที่พวกเจ้าจะไม่มีทางได้พบเจอในโรงเรียน แต่ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะยืนหยัดอย่างหนักแน่น เรียนรู้ที่จะสังเกตหาปมเหตุของอุปสรรค เรียนรู้ที่จะคิดหาทางแก้ไขปัญหาและเรียนรู้ที่จะเอาชนะอุปสรรคให้ได้ รักษาความมั่นใจและความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้าแก้ไขอุปสรรคและปัญหาไว้เสมอ ต้องผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ ใช้ชีวิตให้สมกับคำว่า ‘ยอดคลื่น’ สองคำนี้!”

“ขอรับ!” กลุ่มเด็กหนุ่มขานรับ เสียงดังเปี่ยมความมั่นใจ

“ตอบรับเพียงลมปากหาได้มีประโยชน์ไม่ ข้าจะรอดูว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถสร้างผลงานให้ข้าเห็นได้!” เซ่าผิงปอแย้มยิ้ม ในวาจาแฝงนัยยะตักเตือนอย่างจริงจัง จากนั้นผายมือไปทางกลุ่มเจ้าหน้าที่ “ทุกท่าน เชิญมาร่วมมื้ออาหารกับข้าเถิด!”

กลุ่มเจ้าหน้าที่รีบติดตามไปอย่างเรียบร้อยมีมารยาท

ในช่วงเวลานี้ของทุกปี เซ่าผิงปอจะเชิญคนเหล่านี้มาร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัว ระหว่างงานเลี้ยงจะอนุญาตให้คนเหล่านี้เสนอความคิดเห็นได้ เขาต้องการใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจปัญหาบางส่วนในท้องที่ต่างๆ ของมณฑลเป่ยโจว

อีกทั้งครั้งนี้จะส่งตัวนักเรียนกลุ่มนี้แยกย้ายกันไปติดตามเจ้าหน้าที่ดีเด่นเหล่านี้ ให้พวกเขาแบ่งกันรับไปฝึกอบรม

กลุ่มคนหนุ่มต่างประสานมือคำนับส่ง

หลังออกมาจากศาลาแล้ว ยามที่เดินผ่านเข้าประตูลานเรือนไป จู่ๆ เซ่าผิงปอก็หยุดฝีเท้า เจ้าหน้าที่ที่ติดตามมาจึงหยุดเช่นกัน

ตรงประตูสวน มีบ่าวสองคนถือกล่องอาหารเดินออกมา

นี่กินเสร็จแล้วหรือ? เซ่าผิงปอเงยหน้ามองฟ้า จากนั้นเดินเข้าไปขวางบ่าวทั้งสองไว้ เอ่ยถามไปว่า “ใต้เท้ากินมื้อเที่ยงเสร็จแล้วหรือ?”

บ่าวคนหนึ่งตอบว่า “ใต้เท้าหมกมุ่นอยู่กับแผนที่ แม้แต่มื้อเช้าก็ไม่รับ บ่าวเพิ่งเอาเข้าไปส่งก็ถูกไล่กลับมาอีกแล้วขอรับ”

แผนที่หรือ? เซ่าผิงปอขมวดคิ้ว เขาทราบว่าระยะนี้เซ่าเติงอวิ๋นคอยรวบรวมข้อมูลสถานการณ์ศึกที่มณฑลหนานโจวอยู่ตลอด เขาพอจะเข้าใจถึงความสนใจของบิดา ทว่าแม้แต่ข้าวปลาก็ยังไม่กิน นี่มันออกจะเกินไปหน่อยแล้ว

เขาหันกลับไปโบกมือส่งสัญญาณให้เซ่าซานเสิ่งเล็กน้อย

“ใต้เท้าทุกท่านโปรดตามข้ามา” เซ่าซานเสิ่งผายมือเชิญ นำกลุ่มเจ้าหน้าที่ไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงก่อน

“พวกเจ้าตามข้ามา” ส่วนเซ่าผิงปอพาบ่าวสองคนที่หิ้วกล่องอาหารเข้าไปในเรือน

พอมาถึงประตูห้องใหญ่ เซ่าผิงปอเห็นเซ่าเติงอวิ๋นที่อยู่ภายในห้องกำลังยืนครุ่นคิดอยู่หน้าแผนที่อย่างที่บ่าวสองคนนั้นว่ามาจริงๆ มีการปักธงลงบนแผนที่เป็นครั้งคราว คล้ายกำลังจำลองการรบอยู่

เซ่าผิงปอเอากล่องอาหารมาจากมือบ่าว สั่งให้บ่าวถอยออกไปก่อน เดินเข้าไปเพียงคนเดียว นำกล่องอาหารไปวางไว้บนโต๊ะแล้วเปิดออก หลังจากหยิบสำรับกับข้าวออกมาจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็รอจนเซ่าเติงอวิ๋นละสายตาจากแผนที่หันมาสังเกตเห็นเขา จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไป กินให้อิ่มท้องก่อนเถิด ยังมีเวลาให้ค่อยๆ ศึกษาดู”

เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของผู้บัญชาการทัพได้ กองทัพแปดแสนคนถูกตีแตกพ่ายภายในเวลาไม่กี่วัน ตอนที่ทราบข่าวเขาก็ตกใจอยู่เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบิดาที่มีฐานะเป็นแม่ทัพเลย บิดาเขาย่อมต้องการทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในศึกนี้กันแน่

ประกอบกับนี่คือศึกแรกหลังจากเหมิงซานหมิงออกจากหุบเขา ในฐานะลูกน้องเก่าของเหมิงซานหมิง เขาย่อมต้องให้ความสนใจอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

เซ่าเติงอวิ๋นหันไปมองแผนที่อีกครั้ง รำพึงรำพันว่า “แม่ทัพเหมิงยังคงเป็นแม่ทัพเหมิงคนเดิม ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน ศึกนี้ช่างน่าตกตะลึงจริงๆ ทำให้ข้าได้เปิดโลกนัก!”

เซ่าผิงปอกลับมองในอีกมุมหนึ่ง “สิ่งสำคัญในศึกครั้งนี้คือทั้งๆ ที่เป็นศึกขนาดใหญ่ มีไพร่พลเข้าร่วมรบนับล้าน แต่กลับไม่เกิดความเสียหายอันใดต่อการใช้ชีวิตในมณฑลหนานโจวเลย ประชาชนในหนานโจวไม่ได้รับผลกระทบใดๆ นี่เท่ากับเป็นการช่วยให้ซางเฉาจงสามารถฮุบหนานโจวมาได้ทั้งมณฑล อย่างน้อยก็ช่วยลดระยะเวลาในการฟื้นฟูให้ซางเฉาจงไปได้หลายปีทีเดียว สมแล้วที่เหมิงซานหมิงคนนี้ได้รับสมญานามว่ายอดขุนพล!”

ในใจเขาก็ค่อนข้างอึดอัดกับเรื่องนี้เช่นกัน เพราะนี่เท่ากับว่าทางหนิวโหย่วเต้ากำลังจะย่นระยะเข้ามาทัดเทียมกับทางมณฑลเป่ยโจวอย่างรวดเร็ว แล้วจะให้เขาดีใจได้อย่างไร

เซ่าเติงอวิ๋นส่ายหน้า “เกรงว่าหนานโจวคงไม่มีธุระของซางเฉาจงแล้ว ครั้งนี้ซางเฉาจงและแม่ทัพเหมิงเผชิญปัญหาใหญ่แล้ว”

เซ่าผิงปอตะลึงงัน “หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

ถึงแม้เขาจะให้ความสนใจทางมณฑลหนานโจวอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ตอนนี้ความสนใจหลักๆ อยู่กับทางมณฑลเป่ยโจวของตน

เซ่าเติงอวิ๋นเอื้อมมือไปหยิบแท่งไม้ที่วางอยู่ด้านข้างพลางชี้ลงบนแผนที่ กล่าวอธิบายการเคลื่อนพลของกองทัพเซ่าผิงปอ จากนั้นก็เอ่ยสรุปว่า “ไพร่พลของซางเฉาจงเคลื่อนพลอย่างผิดปกตินัก จุดนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการกระจายไพร่พลของซางเฉาจงออกไปเพื่อจะควบคุม ตัวซางเฉาจงเองไม่มีทางทำเช่นนี้แน่ น่าจะเป็นทางสำนักหยกสวรรค์ที่พอเสร็จงานก็คิดถีบหัวส่ง สำนักหยกสวรรค์ไม่ยอมรับซางเฉาจง แล้วจะยอมรับแม่ทัพเหมิงได้หรือ?”

เซ่าผิงปอเข้าใจแล้ว หลังจากจ้องมองแผนที่อยู่พักหนึ่ง เขาก็คาดเดาเจตนาของสำนักหยกสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังรู้สึกยินดีก็ขมวดคิ้วใคร่ครวญไปด้วย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “สำนักหยกสวรรค์ไม่แน่ว่าจะได้สมหวัง”

เซ่าเติงอวิ๋นร้องโอ้ เขาทราบถึงความสามารถของบุตรชายตนดี ในเมื่อบุตรชายตนบอกว่าไม่แน่ เช่นนั้นย่อมมีสาเหตุเป็นแน่ เขาเหลือบมองพลางเอ่ยถาม “เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “เรื่องอื่นข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้จักหนิวโหย่วเต้าดี เว้นเสียแต่สำนักหยกสวรรค์จะควบคุมหนิวโหย่วเต้าเอาไว้แล้ว แต่ข้าคิดว่ายากจะทำได้ เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์อาจจะคุมตัวหนิวโหย่เต้าไว้ไม่ได้ เพราะหากควบคุมไว้ได้ พวกเขาคงลงมือไปนานแล้ว ไม่รอมาจนถึงตอนนี้ สำนักหยกสวรรค์ดูเหมือนจะทรงพลัง แต่ความจริงถูกหนิวโหย่วเต้าหลอกใช้ประโยชน์มาตลอด ใช้ประโยชน์เพื่อปกป้องความปลอดภัยของเขา คนเในสำนักหยกสวรรค์เหล่านั้นให้ตีรันฟันแทงก็พอไหว แต่ในด้านมันสมองและกลยุทธ์ไม่มีทางสู้หนิวโหย่วเต้าได้ ข้าไม่เชื่อว่าหนิวโหย่วเต้าจะตกไปอยู่ในกำมือของศัตรูที่เขาเตรียมการเฝ้าระวังมาตลอดได้ง่ายๆ”

เซ่าเติงอวิ๋นถาม “สถานการณ์ใหญ่โตนาดนี้ ลำพังหนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียวจะพลิกสถานการณ์ได้หรือ?”

เซ่าผิงปอส่ายหน้าเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านประเมินเขาต่ำไปแล้ว ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะพลิกสถานการณ์อย่างไร แต่สำนักหยกสวรรค์ทำแบบนี้ก็เท่ากับไปทำลายผลประโยชน์ของเขาอย่างร้ายแรงแล้ว ตอนนี้ซางเฉาจงคือหัวใจสำคัญของผลประโยชน์ของเขา ทันทีที่อำนาจของซางเฉาจงถูกลิดรอนไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมาในช่วงเวลาหลายปีมานี้ก็จะสูญเปล่าไปจนหมด เขาไม่มีทางนิ่งเฉยดูดาย จะต้องลงมือแทรกแซงแน่นอน”

“ท่านพ่อ ท่านรอดูเถิดขอรับ อย่างแรกคือข้าไม่เชื่อว่าหนิวโหย่วเต้าจะตกไปอยู่ในกำมือสำนักหยกสวรรค์ และขอเพียงเขาไม่ได้ตกอยู่ในกำมือของสำนักหยกสวรรค์ ก็แปลว่าเขาเตรียมแผนป้องกันไว้นานแล้ว…” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็ชะงักไป จ้องมองแผนที่ด้วยสายตาวูบไหว คล้ายกำลังพึมพำกับตัวเองว่า “ในเมื่อเตรียมแผนป้องกันแล้ว ไฉนยังนั่งเฉยปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เหตุใดไม่ลงมือแทรกแซงก่อนจะเกิดเรื่อง ทำไมต้องรอจนถึงจุดที่จัดการได้ยากแล้วค่อยจัดการ? เขาไม่ใช่คนที่จะยอมนั่งรอความตาย…”

มุมปากเขาพลันกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย กันฟัดเอ่ย “มีความเป็นไปได้สูงที่ไอ้สารเลวตัวนี้จะกำลังจงใจโอนอ่อนผ่อนตาม มีความเป็นไปได้สูงว่าเขากำลังหลอกใช้กองกำลังของสำนักหยกสวรรค์ช่วยยึดหนานโจวให้ซางเฉาจง! ยังตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ แต่คาดว่าพวกโง่เง่าอย่างสำนักหยกสวรรค์คงกำลังดีใจกันอยู่กระมัง? แค่กๆ…แค่กๆ…”

….

ณ วังหลวงแคว้นเยี่ยน ภายในตำหนักหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในวังหลังมีผ้าแพรแขวนประดับ เป็นแพรขาวที่สื่อถึงความอาลัย

พระสนมโจวกุ้ยเฟยนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้ายังงดงามจับใจ แต่ดวงตาสองข้างกลับบวมแดงจากการร้องไห้มานาน

ตอนแรกที่ได้รับข่าวว่าบิดาพ่ายศึก นางก็รู้ทันทีว่าตระกูลโจวเดือดร้อนแล้ว เมื่อความผิดร้ายแรงนี้ถูกประกาศลงมา ตัวนางยังคิดจะได้เป็นกุ้ยเฟยอยู่ในวังอย่างสงบสุขอีกหรือ? เกรงว่าต่อให้ไม่ถึงตายก็คงถูกส่งเข้าวังเย็น

ผู้ใดจะคิดว่าบิดากลับทำการ ‘ปลิดชีพตนหลังพ่ายศึก’ รักษาชื่อเสียงในฐานะผู้ภักดีและปกป้องตระกูลโจวทั้งตระกูลไว้ ปกป้องพระสนมกุ้ยเฟยอย่างนางไว้ นางไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าบิดาของตนต้องใช้ความกล้าหาญมากเพียงใดในยามที่ลงมือปลิดชีพตัวเอง กระทั่งมดปลวกยังรักชีวิตตัวเอง นับประสาอะไรกับคนเล่า!

เรือนส่วนที่นางพำนักพลันเงียบเหงาอ้างว้างลง เหล่าคนที่เรียกขานกันว่าพี่สาวน้องสาวเหล่านั้น ที่ในอดีตพอทราบว่าบิดานางเป็นขุนนางใหญ่ที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัย รู้ว่าทางบ้านของนางมีอำนาจแข็งแกร่งพึ่งพาได้จึงมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ยามนี้แต่ละคนต่างหลีกลี้หนีห่าง สิทธิพิเศษที่เคยมีล้วนสลายหายไปในชั่วพริบตาดั่งภาพมายา

ภายในศาลบรรพชนมีตะเกียงน้ำมันนับพันดวง ตะเกียงส่องสว่าง ป้ายวิญญาณบรรพชนสกุลซางตั้งเรียงกันเป็นชั้นๆ ป้ายวิญญาณของซางซ่งปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งแคว้นอู่ถูกจัดไว้ด้านบนสุดของป้ายวิญญาณบรรพชนราชวงศ์แคว้นเยี่ยน ทั้งยังเป็นป้ายที่ใหญ่สะดุดตาที่สุดด้วย

ด้านล่างชั้นวางป้ายวิญญาณ ซางเจี้ยนสยงสวมชุดขาวสะอาดสะอ้าน คุกเข่าอยู่ท่ามกลางแสงตะเกียงสว่างไสว เงยหน้ามองป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทั้งหลาย สีหน้าละอายใจ น้ำตาคลอหน่วย เขาเอ่ยพึมพำ กล่าวโทษตัวเองว่าต้องเสียแผ่นดินอีกผืนไปในยุคสมัยของเขาอีกแล้ว!

ด้านนอกศาลบรรพชน ผู้ดูแลหลวงเถียนอวี้และหัวหน้าผู้ดูแลราชยานก่าเหมี่ยวสุ่ยมาถึงแล้ว

ขันทีคนหนึ่งที่อยู่หน้าประตูรีบเข้าไปด้านในทันที เยื้องย่างแผ่วเบาเข้าไปข้างกายซางเจี้ยนสยงที่คุกเข่าอยู่ จากนั้นคุกเข่าลงหมอบรายงานว่า “ฝ่าบาท ผู้ดูแลหลวงมาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับทางหนานโจวจริงๆ จึงมาขอพระบัญชาจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

…………………………………………………………