บทที่ 420 ขัดจังหวะ
บทที่ 420 ขัดจังหวะ
การแสดงของนางดูเหมือนจริงอย่างสมบูรณ์ ราวกับหญิงสาวที่กังวลเกี่ยวกับอนาคต แม้แต่หัวใจที่เย็นชาที่สุดก็ยังต้องละลายเมื่อเห็นน้ำตาของนาง
แต่น่าเสียดายที่ซูอันไม่ใช่แค่คนธรรมดา เขามักจะมองสิ่งต่าง ๆ ค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น “จากที่เจ้าพูดมา ดูเหมือนว่าเจ้าวางแผนที่จะมอบชีวิตทั้งหมดให้กับข้า?”
“ถ้านายน้อยรักและสงสารคนต้อยต่ำอย่างข้า และครอบครัวของคุณหนูฉู่ก็ไม่รังเกียจเช่นกัน ข้าก็…แน่นอน ข้าเต็มใจ…” ชิวฮัวเล่ยก้มศีรษะลงอย่างเขินอาย ลำคอขาวสะอาดของนางแดงเล็กน้อย
ซูอันถอนหายใจ ขณะที่กำลังมองผู้หญิงที่บอบบางและงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้คนนี้ “ถ้าหน้าตาอย่างเจ้านี้ถูกเรียกว่าต้อยต่ำ ข้าเกรงว่าทุกคนในโลกคงจะน่าเกลียดกันทุกคน”
จู่ ๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของชิวฮัวเล่ยก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะ “นายน้อยคงล้อเล่น ท่านห้ามพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าแม่นางฉู่เด็ดขาด! ฮัวเล่ยไม่อยากถูกเกลียดหลังจากมอบตัวให้กับท่าน”
นางหมกมุ่นอยู่กับการสวมบทบาทนี้โดยสมบูรณ์ ราวกับว่านางกำลังจะถวายตัวเป็นอนุภรรยาของซูอัน
“ไม่ต้องกังวลไป ชูเหยียนบอกข้าเองว่านางไม่รังเกียจ ถ้าข้าจะมองหาผู้หญิงคนอื่น” ซูอันพูดซ้ำ “เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป นางจะยอมรับเจ้าแน่นอน ในครอบครัวของข้า ข้าคือผู้ที่เป็นใหญ่ ไม่มีทางที่นางจะไม่เต็มใจเชื่อฟังข้า!”
ชิวฮัวเล่ยเย้ยหยันอยู่ข้างใน ใครจะเชื่อคำนี้ของเจ้ากัน?
“แต่มีอีกเรื่องที่น่าหนักใจ” ซูอันมีสีหน้าขัดแย้ง
“เรื่องอะไร?” ชิวฮัวเล่ยกล่าวด้วยความอยากรู้ อาจจะเป็นฮูหยินตระกูลฉู่?
อันที่จริง ถ้าข้าเป็นอ๋องฉู่ ข้าย่อมไม่ต้องการให้สามีของลูกสาวมีอนุภรรยา หากสิ่งนี้เกิดขึ้น ตระกูลฉู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
ซูอันมองประเมินนางตั้งแต่หัวจรดเท้า การจ้องมองอย่างตั้งใจของชายหนุ่ม ทำให้หัวใจของชิวฮัวเล่ยร้อนรน
“นายน้อยมองอะไร?”
“เจ้าสวยเกินไปจริง ๆ ใบหน้าแบบนี้ ร่างกายแบบนี้…หากจะเรียกว่าสวยงามจนแทบขาดใจก็ไม่เกินไป”
มุมริมฝีปากของชิวฮัวเล่ยหยักยกขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดชายคนนี้ก็สังเกตเห็นเสน่ห์ของข้าในที่สุด “ตราบใดที่นายน้อยพอใจ ข้าก็ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว ว่าแต่…ท่านยังไม่ได้พูดถึงประเด็นอื่นเลย”
“นี่ย่อมเป็นปัญหาแน่นอน…” ซูอันกล่าว “เจ้าสวยเกินไป และถือได้ว่าเป็นคณิกาที่โด่งดังที่สุดของเมืองจันทร์กระจ่าง หอสุขนิรันดร์จะยอมปล่อยตัวเจ้าได้ยังไง?”
ชิวฮัวเล่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “นายน้อยไม่จำเป็นต้องกังวล ข้ามีสัญญาที่ชัดเจนกับหอสุขนิรันดร์ เราตกลงกันว่าถ้าต้องแยกทางกัน ตราบใดที่ข้าจ่ายเงินตามสัญญา พวกเขาจะไม่สร้างปัญหาให้ข้า ”
“แต่พวกเขาย่อมต้องการเงินก้อนโตสำหรับคณิกาอันดับหนึ่งอย่างเจ้าแน่นอน! เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นแค่ลูกเขยต่ำต้อยที่แต่งเข้าบ้านภรรยา ข้าไม่มีเงินเลยจริง ๆ …” เมื่อพูดถึงจุดอ่อนของตัวเอง ซูอันทำท่าเหมือนอับอายเต็มที่
ชิวฮัวเล่ยต้องหยุดตัวเองไม่ให้กลอกตา
เชื่อเจ้าข้าก็โง่เง่าเต่าตุ่นแล้ว!
จะมีใครในเมืองจันทร์กระจ่างที่ไม่รู้ว่าเจ้าชนะเงินเจ็ดล้านเหรียญจาก บ่อนโกยเงิน? หลังจากนั้น เจ้ายังชนะอีกล้านหรือมากกว่านั้นจากบ่อนการพนันอื่นระหว่างงานประลองระหว่างตระกูล นี่เจ้ายังกล้าอ้างอีกเหรอว่าไม่มีเงิน!?
—
ท่านยั่วยุชิวฮัวเล่ยสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 256!
—
อย่างไรก็ตาม นางไม่ปล่อยให้ความโกรธปรากฏบนสีหน้า และพูดด้วยท่าทางเขินอายแทน “นายน้อยไม่จำเป็นต้องกังวล ข้ายังมีเงินเก็บอยู่เล็กน้อย มันน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการปลดปล่อยตัวข้าเอง”
“งั้นก็เยี่ยมไปเลย!”
ซูอันหัวเราะลั่น แต่แอบขมวดคิ้วอยู่ในใจ
ผู้หญิงคนนี้ต้องการจะแต่งงานกับเขาเสียจนยอมเสียเงิน!
เจ้าเป็นคณิกาที่โด่งดังที่สุดภายในหอสุขนิรันดร์ เป็นสาวพรหมจารีนักล่าหัวใจที่มีชื่อเสียง! เพียงใช้นิ้วชี้เลือก เจ้าก็สามารถทำให้ผู้ชายเหยียบย่ำเปลวเพลิงเพื่อเจ้า! เจ้าจะยอมเป็นฝ่ายเสียเงินเสียเองเหรอ?
ใครจะเชื่อเจ้า!
เดี๋ยวนะ หรือว่านางตกหลุมรักในความอ่อนโยนของข้าโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่?
จิตใจของเขาหวั่นไหวฟุ้งซ่านไม่หยุด และชิวฮัวเล่ยก็เช่นกัน
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านางคนนี้แตกต่างจากผู้ชายคนอื่น ๆ เขาไม่ได้เป็นอะไรที่เหมือนกับหมูโง่ที่ดูฉลาดแค่ภายนอก
เมื่อเรียนรู้จากบทเรียนที่แล้ว นางก็ตระหนักว่านางรีบร้อนเกินไปเล็กน้อย และไม่กล้าที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลฉู่ต่อไป
นางนำบทสนทนากลับมาสู่ความโรแมนติกแทน “ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย ข้าสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง นายน้อยแต่งเพลงอย่าง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ ได้ยังไง?”
“โอ้ ข้า เอ่อ…ดูเหมือนจะเคยได้ยินใครบางคนเล่นมันอยู่ข้างหูของข้าในความฝันวันหนึ่ง จากนั้นข้าก็พยายามแกะทำนองจากความทรงจำลงในกระดาษแล้วหัดเล่นจนคล่อง” ซูอันพยายามหาข้อแก้ตัวมั่ว ๆ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการได้หน้า แต่ชายหนุ่มไม่กล้าอ้างว่าเขาเป็นคนแต่งเพลงนี้เลยจริง ๆ
เขาจำได้แค่ไม่กี่เพลงเท่านั้น ถ้ามีคนขอให้เขาแต่งเพลงอื่น เขาจะทำยังไง?
นี่คือเหตุผลที่เขาต้องกำจัดชื่อเสียงจอมปลอมนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวเลยเถิดไปมากกว่านี้
ชิวฮัวเล่ยถอนหายใจด้วยความชื่นชม “ข้าเคยอ่านหนังสือที่อ้างว่าพรสวรรค์ของบางคนมาจากสวรรค์ จริง ๆ ข้าไม่เคยเชื่อมาก่อนเลย แต่เมื่อข้าได้พบกับนายน้อย ข้าก็รู้ว่ามีคนแบบนี้อยู่ในโลกนี้จริง ๆ”
ซูอันเกือบจะกรีดร้อง
เขาไม่สามารถทนต่อการถูกยกย่องเช่นนี้ได้ เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “พูดถึงเรื่องนี้ เพลงแรกที่เจ้าเล่นสะท้อนอารมณ์ที่แท้จริงของเจ้าอย่างชัดเจน เจ้านึกถึงใครตอนที่บรรเลงเพลงนั้น?”
“นายน้อยไม่จำเป็นต้องกังวลเลย นั่นเป็นเพียงงานศิลป์ ฮัวเล่ยไม่เคยคิดถึงชายอื่นมาก่อน นายน้อย…เป็นคนแรก”
ชิวฮัวเล่ยก้มศีรษะอย่างเขินอายขณะที่พูด ขนตาของนางกระพือเล็กน้อย หากเป็นผู้ชายทั่วไปคงคลั่งไคล้อย่างไม่รู้จบ
ซูอันหัวเราะคิกคัก การฟังนางพูดไปเรื่อย ๆ โดยไม่คิดอะไรนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเผลอไปจริงจังกับคำพูดของนาง อาจทำให้ตัวเองเจ็บปวดทีหลังได้ นางคงจะหัวเราะเขาลับหลังถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
“นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อแม่ของเจ้าในอดีตหรือเปล่า?”
ปัก!
จอกสุราของชิวฮัวเล่ยหลุดออกจากมือของนาง และตกลงไปบนโต๊ะ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหายไปในทันที
ความเงียบยังคงอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน ก่อนที่ชิวฮัวเล่ยจะถอนหายใจ “หากข้าปฏิเสธ นายน้อยคงจะไม่เชื่อข้า”
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาทั้งสอง? พ่อแม่ของเจ้าเสียไปแล้วจริง ๆ เหรอ?” ซูอันถามด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้เขาถามเรื่องบางอย่างของ ชิวฮัวเล่ยจากเล้งส่วงเยว่มาบ้างแล้ว แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่นางไม่รู้และตอบไม่ได้
ชิวฮัวเล่ยสูดหายใจเข้าลึก รอยยิ้มอันแสนหวานของนางไม่มีให้เห็นอีกแล้ว และเสียงของนางก็เย็นชาที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา “ข้าไม่อยากพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา!”
นางรู้สึกเสียใจกับคำพูดที่หลุดปากออกไป นี่ข้าคงทำให้เขาขุ่นเคืองไปซะแล้ว
นางมาไกลถึงเพียงนี้แล้วแต่กลับลงเอยด้วยการทำลายทุกอย่างในตอนสุดท้ายช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริง ๆ
เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่สามารถละทิ้งสิ่งที่ผ่านมาได้
แต่แล้ว เสียงหัวเราะของซูอันกลับทำให้นางตกตะลึง “ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้ารู้หรือเปล่าว่าสีหน้าของเจ้าตอนนี้ดูสมจริงและสวยกว่าปกติมาก”
ชิวฮัวเล่ยมองเขาอย่างซับซ้อน “นายน้อยไม่เหมือนกับในข่าวลือจริง ๆ”
ซูอันยื่นมือออกไปหานาง “มาแนะนำตัวกันอีกครั้ง ข้าชื่อซูอัน เรียกข้าว่าอาซูก็ได้”
ชิวฮัวเล่ยจ้องมองอย่างว่างเปล่า แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าการทักทายแบบนี้เป็นแบบไหน แต่นางก็ยื่นมือออกไปหาโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองจับมือกันเบา ๆ “ข้าชื่อชิวฮัวเล่ย เรียกข้าว่าฮัวเล่ยก็ได้”
นางรู้สึกประหลาดใจกับตัวเองกับการที่นางยินดีที่จะสัมผัสมือชายผู้นี้ หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพราะการแสดงออกที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาของเขา? หรือบางทีอาจเป็นเพราะเสี้ยววินาทีที่อารมณ์ของนางอ่อนไหว?
ทั้งสองนั่งเงียบ ๆ ดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบนี้
แต่แล้วทันใดนั้น เสียงของความวุ่นวายก็มาจากด้านนอก และตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันป่าเถื่อน
ชิวฮัวเล่ยขมวดคิ้ว นางเคาะที่ผนังห้องโดยสาร และถามคนเรือข้างนอกว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณหนู มีโจร…อา!”
ก่อนที่คนเรือจะพูดจบ เสียงน้ำที่แตกกระจายก็ดังขึ้นขัด เห็นได้ชัดว่าคนภายเรือตกลงไปในน้ำแล้วเรียบร้อย
ทันใดนั้น เรือลำเล็กก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับว่ามีคนจำนวนมากกระโดดขึ้นมาบนเรือ
“เรือลำนี้มีกลิ่นหอมมาก ใครจะไปรู้ อาจมีสาวสวยอยู่ข้างใน?”
“ถ้ามีผู้หญิงจริง ๆ ใครจะเป็นคนแรก?”
“ทำไมไม่ทำพร้อมกันไปเลยล่ะ?”
เสียงที่หยาบคายและกักขฬะดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ