บทที่ 323 อภิมหาเศรษฐี (1)
บุรุษนอกวังไม่อาจเข้านอกออกในวังหลังได้สะดวก คนที่สามารถเข้าออกได้ต้องมีราชโองการหรือรับสั่งจากฮ่องเต้เท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าจวงไทเฮาเองก็มีอำนาจนั้นเช่นกัน
ราชครูจวงถูกฉินกงกงพาตัวมายังตำหนักเหรินโซ่ว ฉินกงกงเคร่งครัดตามกฎระเบียบ ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเอง ทำเอาคนคาดเดาไม่ออกว่าจวงไทเฮาเรียกตัวเขาเข้าวังด้วยจุดประสงค์ใด
คิดเสียว่าเป็นเรื่องดีก็แล้วกัน
ราชครูจวงไปยังห้องหนังสือของตำหนักปีกข้าง จวงไทเฮาพลิกตรวจบัญชีตลอดทั้งเช้า แต่เพราะภาระงานที่สะสมมานานหลายวัน จึงยังมีบางส่วนที่ตรวจไม่เสร็จสักที
“ไทเฮา” ราชครูเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม พลางประสานมือถวายบังคม
ทว่าจวงไทเฮากลับไม่แยแสเขา ยังคงพลิกเปิดสมุดบัญชีที่กองเป็นภูเขาอย่างไม่ช้าไม่เร็วนัก
ราชครูจวงนึกว่าไทเฮาไม่ได้ยิน จึงเดินก้าวเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไทเฮา”
“ข้าไม่ได้หูหนวก” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบไร้อารมณ์ ไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง วางสมุดบัญชีเล่มหนึ่งไว้บนกองบัญชีที่ไม่อาจนำทูลฮ่องเต้ได้
สีหน้าของราชครูจวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แต่พอนึกขึ้นถึงข่าวที่ได้ยินมาเมื่อเช้านี้…มือดีที่ฮ่องเต้โปรดปรานฆ่าตัวตาย ฮ่องเต้สงสัยว่าเป็นฝีมือของไทเฮา จึงวิ่งโร่มาอาละวาดกับไทเฮาถึงตำหนักเหรินโซ่ว คงเป็นเพราะเหตุนี้แน่นอนไทเฮาถึงได้อารมณ์ไม่ดีนัก
ราชครูจวงคาดการณ์เช่นนั้น
จวงไทเฮาตรวจบัญชีอีกเจ็ดแปดเล่ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ช่วงนี้เจ้ากำเริบเสิบสานยิ่งนัก”
“หืม”
จู่ๆ ถูกถามเช่นนั้นราชครูจวงก็มึนงงไปหมด เขามองจวงไทเฮาอย่างสงสัย “เหตุใดไทเฮาถึงพูดเช่นนั้น กระหม่อมทำอะไรผิดไปหรืออย่างไร”
จวงไทเฮาเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าล้ำเส้น คนบางคนมิใช่คนที่เจ้าจะแตะต้องได้”
ราชครูจวงสีหน้างุนงง “กระหม่อมไม่เข้าใจ”
“หากไม่เข้าใจก็ฟังข้า” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเยือกเย็น “ตระกูลจวงสืบเชื้อสายมานานหลายร้อยปี เป็นบัณฑิตจากรุ่นสู่รุ่น เป็นขุนนางอำมาตใหญ่โต จะเรียกว่าตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก็ไม่เกินจริง แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าให้ท้ายพวกเจ้าจนลืมเกียรติยศศักดิ์ของตน วางอำนาจบาตรใหญ่ พวกเจ้าคงคิดว่าไม่ว่าพวกเจ้าทำอะไร ข้าก็จะออกหน้ารับแทนพวกเจ้าสินะ ใช่แล้ว ข้าเป็นคนตระกูลจวง พวกเจ้าคือญาติฝั่งแม่ของข้า นับแต่วันที่ข้ารับตำแหน่ง ข้าก็ปกป้องพวกเจ้ามาตลอด แต่พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าข้าจะอยู่ปกป้องพวกเจ้าได้ถึงเมื่อไหร่”
ราชครูจวงสีหน้าพลันเปลี่ยน “ไทเฮา…”
ไทเฮาเอ่ยเสียงแข็งกร้าว “คันศรตึงไปย่อมหัก น้ำมากไปย่อมล้น พวกเจ้าเห็นข้าเป็นเหมือนดวงตะวันบนท้องฟ้า แต่กลับไม่รู้เลยว่าดวงตะวันยิ่งใหญ่นั้นกำลังพังทลายและสิ้นสลาย! ข้าเองก็แก่มากแล้ว มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี เจ้าเองก็แก่แล้วเช่นกัน ตระกูลจวงกำลังจะล่มจม ไร้ผู้สืบทอด ลูกหลานสายหลักใช้ไม่ได้เลยสักคน มีเพียงจวงอวี้เหิงที่พอทำเนา แต่แม้จะสมบูรณ์แบบสักเพียงได้ ก็ไม่อาจปกปิดรอยด่างพร้อยของตระกูลจวงได้ แม้แต่เด็กคนนั้นก็เกือบจะเสียผู้เสียคนเพราะเจ้าแล้ว!”
“ไทเฮา!”
ราชครูจวงสะบัดแขนเสื้อ คุกเข่าลงอย่างหวาดกลัวด้วยใจร้อนรน แน่นอนว่าแววตาของยังคงไม่เข้าใจเลยสักนิด
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดไทเฮาถึงได้พูดแบบนั้น ทั้งยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดไทเฮาถึงได้พาลเดือดดาลตนเช่นนี้
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ไทเฮายังมีชีวิตอยู่ได้อีกเป็นสิบปี ต่อให้นางไม่อยู่แล้ว องค์ชายหนิงอ๋องก็อายุเหมาะสม แค่มีเขาสืบทอดบัลลังก์ แล้วเกียรติยศของตระกูลจวงที่สั่งสมมากว่าร้อยปีจะดับสูญได้อย่างไร
ทว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่กล้าพูดออกไป
“ไทเฮาอย่าได้ตรัสเช่นนั้น ท่านยังอายุยืนเป็นร้อยปี”
“เหอะ ร้อยปีอย่างนั้นรึ หากข้าไม่ได้เซียวลิ่วหลังกับเจียวเหนียงตระกูลกู้ช่วยไว้ ป่านนี้คงนอนดินกลบหน้าแล้วกระมัง”
ราชครูจวงราวกับบรรลุธรรมในทันใด เขามองจวงไทเฮาด้วยสายตาตกตะลึง “ไทเฮา…กำลังกล่าวโทษที่ข้ากดขี่เซียวลิ่วหลังอย่างนั้นหรือ เขาเป็นคนของฝ่าบาท! กระหม่อมจะยอมให้เขาเป็นใหญ่ในฮั่นหลินได้อย่างไร!”
จวงไทเฮาฟาดสมุดบัญชีในมือลงกับโต๊ะ “เขาเป็นคนของใคร ต้องให้เจ้าบอกข้าด้วยรึ!”
เสียงแข็งกร้าวของจวงไทเฮาทำเอาราชครูจวงตื่นกลัว หลายปีมาแล้วที่เขาไม่ได้เห็นจวงไทเฮาเดือดดาลเช่นนี้
เหงื่อเย็นผุดซึมไปทั่วหน้าผากของเขา เขายกมือขึ้นประสานพลางก้มหน้าลง “กระหม่อมมิบังอาจ”
จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเยือกเย็น “ข้าคุยกับเจ้าเรื่องแผ่นดิน เรื่องการเมือง เรื่องตระกูล แต่เจ้ากลับฟังแต่เรื่องส่วนตัว! ที่ข้าอดทนลำบากตรากตรำมาตลอดคงสูญเปล่าสินะ ช่างเถิด! ข้าไม่อยากพูดแล้ว! แต่ในฐานะที่เป็นพี่น้องกัน ข้าขอบอกอะไรเจ้าไว้อย่างหนึ่ง แม้นอำนาจสูงส่งเพียงใด แต่หากถึงเวลาแล้วไซร้ก็ย่อมต้องถอย!”
ราชครูจวงกำหมัดแน่น สองตาลุกเป็นไฟพลางเอ่ย “ถึงเวลาแล้วก็ต้องถอยอย่างนั้นหรือ! แล้วจะให้ความพยายามของคนในตระกูลไม่รู้กี่รุ่นต้องสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ! ที่ตระกูลจวงผงาดอยู่ในราชสำนัก มีอำนาจบารมี ที่แคว้นเจาขยายแผ่นดินยิ่งใหญ่ได้ก็มิใช่เพราะคุณูปการของคนตระกูลจวงเช่นข้าหรอกหรือ”
แววตาของจวงไทเฮาเย็นชาเหลือเกิน รังสีดุดันดั่งน้ำหลากไหลทะลักเข้ามา “คุณูปการเป็นของตระกูลฉิน แผ่นดินเป็นของตระกูลฉิน พูดจาเนรคุณเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร ราชครูจวง เจ้าคิดจะก่อกบฏหรือ!”
ราชครูจวงตื่นตระหนก ชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับพลางเอ่ย “กระหม่อมพูดจาเพลี่ยงพล้ำไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮาเบนสายตาแสนเย็นชาไปทางอื่น “ข้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เจ้าออกไปเถิด”
“…พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา!”
ราชครูจวงลุกยืนขึ้น
ลมร้อนยามเดือนหกพัดผ่าน ทว่าแผ่นหลังกลับชื้นเหงื่อเย็นเสียอย่างนั้น
หลังจากราชครูจวงออกไป ฉินกงกงก็ยกน้ำชาถ้วยหนึ่งเข้ามา
เขารออยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือ ย่อมได้ยินบทสนทนาข้างใน เขาวางชาร้อนที่เพิ่งชงใหม่ข้างมือจวงไทเฮา ก่อนจะเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “นึกไม่ถึงเลยว่าไทเฮาจะคิดการณ์ไกลเพื่อตระกูลจวง ข้านั้นความคิดตื้นเขินยิ่งนัก คิดว่าไทเฮาเรียกราชครูจวงเข้ามาเพื่อระบายอารมณ์แทนเซียวซิวจ้วนเสียอีก”
จวงไทเฮาหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาพลางส่งเสียงฮึดฮัด
คิดการณ์ไกลอะไรกันเล่า
พูดให้สวยหรูไปก็เท่านั้น
“หากข้าพูดเรื่องหนึ่งกับเขา ต่อให้เป็นเรื่องเล็กแค่ไหนก็เป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่หากข้าพูดกับเขาหลายเรื่อง เรื่องของลิ่วหลังก็คงกลายเป็นเรื่องเล็ก ในเมื่อเป็นเรื่องเล็กแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”
ฉินกงกงสีหน้าครุ่นคิด “เอ่อ…ข้าช่างโง่เขลานัก”
จวงไทเฮาอารมณ์ดียิ่งนัก ยามภาพของใครคนหนึ่งที่เข้ามาฟ้องตนก่อนจะกลิ้งตกบันไดอย่างแสนน่าขันแวบเข้ามาในหัวของนาง โชคดีที่ฉินกงกงเป็นคนมีความอดทนอยู่บ้าง “ข้าได้ยินมาว่าไม่นานมานี้เจ้าเลี้ยงตะพาบน้อยตัวหนึ่ง”
ฉินกงกงยิ้มขวยเขิน “ไทเฮาช่างรู้ข่าวไวยิ่งนัก”
จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ใช่เพราะข่าวมีสายข่าวหรอก แต่วันก่อนตะพาบตัวนั้นปีนขึ้นมาริมเท้าข้า ข้าเหลือบดู ถึงเห็นว่าไม่เหมือนตัวที่เจ้าเลี้ยงไว้เมื่อก่อน”
ฉินกงกงไม่มีงานอดิเรกใด แต่ชอบเลี้ยงจำพวกเต่า โบราณว่าไว้ เต่าร้อยปีตะพาบหมื่นปี แต่เจ้าตัวนี้คือตะพาบ ตะพาบอายุยืนกว่าเต่า เขาคิดอยากเลี้ยงตะพาบมาโดยตลอด ไม่แน่ว่าตัวเองอาจอายุยืนได้ร้อยปีเหมือนกัน
จวงไทเฮาเสียงเรียบ “ตัวนั้นก็เลี้ยงได้ดีนี่ คืนนี้เอาไปตุ๋นน้ำแกงสักหน่อย”
“เอ๊ะ” ฉินกงกงสีหน้าพลันเปลี่ยน
“ทำไม ทำใจไม่ได้รึ” ไทเฮาเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ช่วงนี้ข้าดวงชงกับพวกเต่าพวกตะพาบนัก เจ้าสำนักบอกว่ากินสักตัวจะได้สะเดาะเคราะห์ แต่หากไม่กินก็เอาออกไปเลี้ยงที่อื่น นับแต่นี้ไปตำหนักเหรินโซ่วห้ามเลี้ยงเต่าหรือตะพาบอีกเด็ดขาด”
ฉินกงกงเอ่ยเสียงตัดพ้อ “เช่น…เช่นนั้นข้าจะเอาไปให้เต๋อเฉวียนตุ๋นน้ำแกงพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ใดอยากกินของพรรค์นั้นกัน” จวงไทเฮาเอ่ยเปรียบเปรยให้เขาฟังต่างหาก
ฉินกงกงโล่งอกในทันใด “อ๋อ…เซียวซิวจ้วนก็คือตะพาบน้อยตัวนั้น…”
แววตาที่เย็นชามาตลอดของจวงไทเฮาเป็นประกายขึ้นมา!
หาว่าเขาเป็นตะพาบหรือ!
ข้าว่าเจ้าต่างหากที่เป็นตะพาบเฒ่า!
“แค่กแค่ก” ฉินกงกงเอ่ยแก้เก้อ “ข้าต่างหากที่ปากพล่อย ข้าไม่รู้จักพูด ข้าต่างหากที่เป็นตะพาบ…เพียงแต่…” เขากลับเข้าประเด็น “แผนการนี้ของท่านช่างแยบยลนัก”
จวงไทเฮาแค่นหัวเราะ
แยบยลหรือ
คำที่นางเอ่ยออกไปล้วนแต่เป็นความจริงในใจทั้งสิ้น มิใช่ว่าตระกูลจวงไม่กล้าถอย แต่ถอยไม่ได้แล้วต่างหาก
วังวนนี้พวกเขาไม่อาจหลุดพ้นได้อีกต่อไป