บทที่ 323 อภิมหาเศรษฐี (2)
วันนี้กั๋วจื่อเจียนและสำนักบัณฑิตชิงเหอต่างเลิกเรียนค่อนข้างเร็ว หนานเซียงกับอาจารย์หลูมีธุระต้องออกไปข้างนอกสามวัน หลายวันมานี้กู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนจึงไม่ต้องไปเรียนงานฝีมือ
เด็กน้อยสามคนรวมตัวกันอยู่ที่บ้าน
เมื่อคืนเสี่ยวจิ้งคงกลับมาจากวังหลวงก็หลับทันที ของขวัญที่ท่านย่าฝากมาให้จึงยังไม่ได้ถูกแจกจ่าย ตอนเช้าก่อนออกบ้านก็ลืมให้ เพิ่งนึกขึ้นได้เอาตอนนี้
เสี่ยวจิ้งคงหอบกล่องบุผ้าไหมออกมา ก่อนจะวิ่งตึงตังไปที่ห้องโถง “ท่านย่าฝากข้าเอามาให้น่ะ!”
ของที่ท่านย่าฝากมาส่วนใหญ่มักมีให้สำหรับทุกคน
แม่นางเหยานั่งรับลมอยู่ที่ห้องโถง มองเหล่าเด็กๆ เล่นสนุกกันด้วยรอยยิ้ม
นางรู้สึกว่าคืนวันเช่นนี้ช่างครื้นเครงและแสนงดงาม เป็นชีวิตที่เมื่อหลายปีก่อนไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึง
“ไอ้หยา เปิดไม่ออก!” เสี่ยวจิ้งคงออกแรงไม่พอ
“ข้าเอง!” กู้เสี่ยวซุ่นถลกแขนเสื้อขึ้น ก่อนเสียงแคร่กจะดังขึ้นพร้อมกล่องที่ถูกงัดเปิดออก
กล่องใบนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เอาเป็นว่าเสี่ยวจิ้งคงอุ้มไม่ไหว แต่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เพราะภายในบรรจุของไว้มากมาย
สามหัวกลมสุมรวมกัน มองดูของขวัญในกล่องบุผ้าตาค้าง
เสี่ยวจิ้งคงหยิบของขวัญออกมาทีละชิ้น “ไพฑูรย์ อันนี้ของท่านพี่เหยี่ยน! มีดพลอย อันนี้ของท่านพี่เสี่ยวซุ่น! เข็มเงิน ของเจียวเจียว! บาตรทอง ของข้า!”
นอกจากนั้นยังมีภาพปักอีกผืนหนึ่ง ดูก็รู้ว่าเป็นของแม่นางเหยา
“แต่ไม่มีของพี่เขยนิสัยเสีย” เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้าพลางเอ่ย “น่าสงสารยิ่งนัก!”
ทว่าเซียวลิ่วหลังผู้น่าสงสารกลับเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางห้าวหาญ พร้อมกับกล่องบุผ้าใหม่ที่ขนาดใหญ่กว่าของเสี่ยวจิ้งคงหนึ่งเท่าตัว เสียงตึงดังขึ้นยามถูกวางลงบนโต๊ะ
น้องชายทั้งสามตาเบิกโพลง มองกล่องใบหน้าก่อนจะหันไปมองเขา
“อะไรน่ะ” เสี่ยวจิ้งคงถาม
เซียวลิ่วหลังตอบเขาด้วยการกระทำ เขาเปิดกล่องออกแล้วค่อยๆ หยิบของภายในออกมาวางบนโต๊ะอย่างอ้อยอิ่ง ชิ้นแรกคือป้ายผ่านประตูตำหนักเหรินโซ่ว ชิ้นที่สองคือไข่มุกราตรีที่ส่องแสงยามค่ำคืน และชิ้นที่สามคือแท่นฝนหมึกที่ทำจากหยกอุ่นหมื่นปี แล้วก็ยังมี…
ท่วงท่าของเขาช่างสง่างาม ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป เกือบเจ็ดแปดนาทีได้กว่าจะหยิบสิ่งของภายในออกมาจนหมด
วางเรียงรายเต็มโต๊ะไปหมด!
เด็กชายทั้งสามจ้องตาเขม็ง
เสี่ยวจิ้งคงอ้าปากตาค้าง “ท่าน…ท่านย่าให้มาหรือ”
ของเยอะแยะเต็มไปหมดเลย!
เสี่ยวจิ้งคง “ชิ้นไหนให้ข้าหรือ”
เซียวลิ่วหลังชูนิ้วเรียวยาวดุจแท่งหยกออกมาแล้วชี้วนไปรอบบรรดาของขวัญ จากนั้นก็หยิบโซ่คล้องทองคำแสนสะดุดตาขึ้นมา “ของข้า”
เสี่ยวจิ้งคงกลืนน้ำลาย
เขาหยิบแท่นฝนหมึกหยกอุ่นหมื่นปีขึ้นมา “ของข้า”
กู้เหยี่ยนเองก็กลืนน้ำลาย
จากนั้นก็หยิบมีดสั้นประดับพลอยขึ้นมา “ของข้าอีกเช่นกัน”
กู้เสี่ยวซุ่นกลืนน้ำลาย
“แล้วก็ของข้าอีกเช่นกัน”
“ของข้าอีกแล้ว”
“เอ่อ ดูเหมือนว่าจะเป็นของข้าหมดเลย” จู่ๆ ก็กลายเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในบ้าน!
เซียวลิ่วหลังอวดของกำนัลของตนเองเสร็จ ก็เก็บป้ายผ่านตำหนักเหรินโซ่วลงกล่องเป็นอันดับสุดท้าย จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปอย่างเย่อหยิ่ง!
ทุกคน “…”
จู่ๆ วันนี้ก็รู้สึกว่าวันนี้พี่เขยน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
กู้เจียวยังไม่รู้วีรกรรมซุกซนเป็นเด็กๆ ของสามีตัวเอง นางเพิ่งออกจากโรงหมอ นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปที่หอเซียนเล่อ
นางอยากรู้ว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังหอเซียนเล่อคือใครกันแน่
กู้เจียวรู้สึกว่าคนที่ลอบสังหารตนเองมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับคนที่อยู่หลังม่านของหอเซียนเล่อ ขณะเดียวกันนางก็สงสัยว่าหยวนถังมีผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นคนมีอิทธิพลที่ไม่ธรรมดาในเมืองหลวง
เอาเป็นว่าทุกอย่างล้วนแต่เกี่ยวข้องกับหอเซียนเล่อ
ป้ายหอเซียนเล่อที่กู้เจียวติดตัวมายังไม่ถูกม่อเชียนเสวี่ยยึดคืน นางใช้แผ่นป้ายนั้นเข้าไปในหอเซียนเล่อได้อย่างง่ายดาย
นางปลอมตัวเป็นท่านชายเศรษฐีเหมือนเช่นเคย สวมหน้ากากเงินครึ่งหน้า ปกปิดบานบนใบหน้าของนางได้พอดีราวกับทำขึ้นโดยเฉพาะ
ทว่าอุปสรรคเดียวที่มีก็คือหน้าอกที่ถูกรัดจนแน่น ช่วยไม่ได้สินะ นอกจากตัวสูงขึ้นแล้ว เจ้าสิ่งนี้ก็ใหญ่ตามขึ้นมาด้วย หากไม่รัดให้แน่นคงอำพรางรูปร่างของหญิงสาวไว้ไม่ได้
แต่ว่านี้อากาศร้อนชะมัด
กู้เจียวยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พลางก้าวเข้าไปกลางโถงใหญ่
นางไม่ได้มุ่งตรงไปหาแม่นางเมื่อคราวก่อนในทันที แต่ตั้งใจว่าจะเดินดูเงี่ยหูฟังเสียก่อน
คนเราล้วนแต่ชอบของสวยงามทั้งนั้น ต้องบอกเลยว่าหญิงสาวในหอเซียนเล่อแต่ละคนนั้นงามดั่งภาพวาด อาหารตาอันโอชะ
กู้เจียวเดินเตร่ไปทั่ว ทว่าทันใดนั้นดอกโบตั๋นดอกหนึ่งก็ตกลงบนบ่าของนาง
นี่เป็นกฎดั้งเดิมของหอเซียนเล่อ คนได้ดอกไม้คือคนที่สาวงามถูกใจ และได้รับสิทธิพิเศษให้เป็นแขกหลังม่านของนาง
คราวนี้เป็นแม่นางชุดเหลืองคนหนึ่ง หน้าผากมน คิ้วเรียวโก่ง ใบหน้างดงาม ผิวพรรณนวลเนียน ไม่เหมือนหญิงงามดาษดื่นทั่วไป
หญิงสาวในหอเซียนเล่อมิได้แต่ความงาม พวกนางแต่ละคนแตกฉานด้านดนตรี หมากรุก ศิลปะ หรือไม่ก็กาพย์กลอน แม้กระทั่งคนที่ช่ำชองด้านการเขียนเรียงความปากู่เหวินและคำนวณตัวเลขก็มี หากได้เป็นที่หมายปองของพวกนางแล้วก็นับว่าเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง
กู้เจียวมองดอกโบตั๋นในมือ ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เวลาเพียงชั่ววินาที เด็กรับใช้ของแม่นางชุดเหลืองก็ลงมาจากชั้นสองพร้อมทั้งคำนับให้กู้เจียวอย่างนอบน้อม “ท่านชาย แม่นางของข้าเรียนเชิญเจ้าค่ะ”
แม่นางผู้นั้นอยู่บนชั้นสอง แต่หลังจากที่นางโยนดอกไม่ให้เขา ก็ไม่มีใครบนชั้นสองกล้าโยนดอกไม้มาให้เขาอีก รู้หรือไม่ว่าคราวก่อนกู้เจียวเกือบถูกดอกไม้ทับตายเข้าให้แล้ว
กู้เจียวไม่ได้คิดว่าเสน่ห์ของตัวเองนั้นลดลง แต่คงเป็นเพราะว่าแม่นางคนนี้คนมีตำแหน่งไม่ธรรมดาในหอเซียนเล่อ
ดี
เช่นนั้นก็นางก็แล้วกัน
กู้เจียวเดินตามสาวใช้ขึ้นไปยังชั้นสอง
แม่นางชุดเหลืองยกพัดกลมของเหล่าสาวงามปิดใบหน้าส่วนล่างตั้งแต่ดวงตาลงมา พลางส่งยิ้มหวานเชื่อมให้กู้เจียว จากนั้นก็หันหลังเยื้องย่างเข้าห้องไป
แม้แต่ยามก้าวเดินก็ให้ความรู้สึกดั่งนางฟ้านางสวรรค์
“ท่านชาย เชิญเจ้าค่ะ” สาวใช้พากู้เจียวมาถึงหน้าห้องของแม่นางชุดเหลือง
ห้องห้องนี้ตั้งอยู่ริมสุดทางเดิน ใหญ่กว่าห้องอื่นประมาณหนึ่งบานประตู คงเป็นคนมีตำแหน่งอย่างที่คิดไว้จริงๆ สินะ
กู้เจียวพยักหน้าก่อนจะก้าวเข้าไป
แม่นางชุดเหลืองนั่งอยู่ริมหน้าต่าง หันหลังดีดฉินให้กู้เจียวฟังหนึ่งเพลง เสียงเพลงอ่อนหวานชวนเคลิ้ม ราวกับกำลังร่ำไห้ ราวกับกำลังตัดพ้อ ไพเราะจับใจ
บทเพลงจบลง นางใช้พับจีบปิดใบหน้าของตัวเองพลางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียว ก่อนจะคำนับให้อย่างสง่างามและอ่อนช้อย “คำนับท่านชายเจ้าค่ะ ขอถามได้หรือไม่ว่าท่านชายนามว่าอะไร”
แน่นอนว่ากู้เจียวไม่มีทางพูดกับนาง นางหยิบสมุดเล่มน้อยขึ้นมาแล้วเขียนคำตอบของตัวเองลงไป ทันใดนั้นเอง เงาร่างของคนสวมผ้าคลุมหน้าสีฟ้าอ่อนก็พุ่งพรวดเข้ามา ก่อนจะผลักกู้เจียวไว้ด้านหลังตัวเองแล้วง้างมือตบบ้องหูของแม่นางชุดเหลือง!
เรื่องราวเกิดขึ้นเร็วนัก แม้แต่เจ้าตัวอย่างกู้เจียวยังมึนงงไปหมด
นางไม่ได้ออกแรงสู้ยามถูกผลักไปข้างหลัง เพราะนางสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดร้ายกับนาง เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลงมือไม้ลงมือกับแม่นางชุดเหลืองรุนแรงถึงเพียงนั้น
แม่นางชุดเหลืองถูกตบจนหน้าหัน รอยฝ่ามือปรากฏขึ้นบนดวงแก้มในทันใด
นางกุมใบหน้าของตัวเองไว้ มองแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่บุกเข้ามาอย่างไม่เชื่อสายตาทั้งยังโกรธจนพูดไม่ออก “ม่อเชียนเสวี่ย! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
“เจ้าต่างหากที่บ้าไปแล้ว! กล้าดีอย่างไรถึงได้แตะต้องคนที่ข้าหมายตา!” ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ย พลางปลดถุงบุหงาที่เอวแล้วโยนลงบนพื้นอย่างไม่แยแส “แถมยังใช้กลิ่นปลุกเสกอีกรึ! ฮวาซีเหยา เจ้าช่างใจกล้าดีแท้!”
แม่นางชุดเหลืองที่ถูกเรียกว่าฮวาซีเหยาดวงตาไหววูบ เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาอย่างไม่รู้ตัว
นางค่อยๆ ก้าวถอยไปข้างหลัง
ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “เหอะ! เห็นแก่ผู้คุมหรอกนะ คราวนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่หากกล้าดีมายุ่มย่ามกับคนที่ข้าหมายตาอีก ข้าจะกรีดหน้าเจ้าให้เสียโฉม!”
นางพูดจบก็คว้าของมือของกู้เจียว แล้วลากกู้เจียวออกจากห้องของฮวาซีเหยา
ยามทอดสายตามองแผ่นหลังของม่อเชียนเสวี่ย ในแววตาของฮวาซีเหยาก็เผยมาดร้ายขึ้นมา
ม่อเชียนเสวี่ยลากกู้เจียวไปจนถึงชั้นสาม
ชั้นสามยังคงเงียบสงบและโหวงเหวงเช่นเคย
กู้เจียวสะกิดไหล่บางของนาง ใช้ถามตาเชิงถามว่านางอาศัยอยู่บนชั้นนี้เพียงคนเดียวหรือ
ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ยังมีผู้คุมอีกคน”
ผู้คุมอย่างนั้นหรือ
หรือว่าจะเป็นเถ้าแก่ของหอเซียนเล่อ
ม่อเชียนเสวี่ยลากกู้เจียวเข้ามาในห้องของตัวเอง ก่อนมองกู้เจียวหัวจรดเท้าด้วยสายตาคาดโทษ “นางผู้หญิงคนนั้นจับตรงไหนบ้าง!”
กู้เจียวส่ายหน้ารัว
ม่อเชียนเสวี่ยขมวดคิ้ว “ไม่ได้จับจริงรึ”
กู้เจียวพยักหน้า
สีหน้าของม่อเชียนเสวี่ยดูผ่อนคลายลง พลางมองไปที่เก้าอี้ข้างโต๊ะไม้ฉลุ “นั่งลงสิเจ้าคะ”
กู้เจียวนั้งลง
“ตักน้ำมา” ม่อเชียวเสวี่ยสั่งการ
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตักน้ำเย็นมาหนึ่งกะละมัง
ม่อเชียนเสวี่ยบิดผ้าคนหนูด้วยตัวเอง ก่อนจะเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้กู้เจียว
กู้เจียวถดคอหนีตามสัญชาตญาณ
มือของม่อเชียนเสวี่ยค้างกลางอากาศ “ห้ามหนี!”
กู้เจียวได้แต่ร้องในใจ
ม่อเซียนเสวี่ยบรรจงซับเหงื่อบนหน้าผากของกู้เจียว เช็ดเหงื่อไปด้วยบ่นพึมพำไปด้วย “เจ้าโง่หรืออย่างไร มาถึงแล้วเหตุใดถึงไม่ตรงมายังชั้นสาม ไม่มีใครขวางเจ้าไว้สักหน่อย!”
ก็…ก็ข้าไม่อยากมาหาเจ้านี่นา
ม่อเชียนเสวี่ยขยี้จมูกไปมา เอ่ยอธิบายด้วยใบหน้าเรียบเฉย “คราวก่อนไม่ได้บอกเจ้า เมื่อวานเป็นวันเกิดของข้า ก็เลยไปเที่ยวที่ทะเลสาบ จึงไม่ได้อยู่ที่หอเซียนเล่อ”
เอ่อ… ไม่ต้องอธิบายกับข้าก็ได้กระมัง