จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นผู้ที่ใจอ่อนง่าย
ใดๆ ในโลกล้วนมีสองด้าน เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ผู้โหดเหี้ยม ปกครองราษฎรด้วยความรักและความสงบสุข เขาจึงไม่อาจทำใจให้แข็งเหมือนเหล็กกล้าได้
เขามองดูเฉินเหม่ยเหรินเข้าไปในห้องด้วยสายตาเย็นชา แต่ไม่ได้เอ่ยเตือนสิ่งใด
สถานการณ์เช่นนี้การเอ่ยเตือนนับว่าผิด หรือไม่เอ่ยเตือนก็นับว่าผิดเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ผิด ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะทำสิ่งใด
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ไม่เอ่ยออกมาเสียยังจะดีกว่า เขาจึงทำเพียงยืนมองอยู่ข้างๆ พร้อมกับอาซื่อ
อวี้จิ่นตระหนักดีถึงการหวังดีแต่กลับไม่มีผลดี
เมื่อครู่ตนและเจียงซื่อเพิ่งจะได้รับความเชื่อถือและความสนใจจากผู้คนมากมาย บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องถ่อมตน
เฉินเหม่ยเหรินเข้าไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังไม่กลับออกมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปจึงได้ก้าวขาเดินเข้าไปด้านในด้วยตนเอง
นางกำนัลทั้งหลายจึงได้ออกมาต้อนรับ ทั้งห้องโถงจึงว่างเปล่ามีเพียงเสียงไอเล็กน้อยที่แสดงถึงความเจ็บปวด
เสียงไอนั้นเป็นเสียงไอของเด็กหญิงสาวผู้อ่อนโยน
“เสด็จพ่อเพคะ เป็นท่านหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นความหมายให้คนอื่นรออยู่ในห้องโถง โดยมีพานไห่และฮองเฮาเข้าไปด้านในพร้อมกัน
ภายในห้องมีผ้าม่านหลายผืน เนื่องจากไม่ได้เปิดหน้าต่าง จึงทำให้กลิ่นยารุนแรงคละคลุ้ง
เด็กหญิงคนหนึ่งพยายามจะลุกขึ้นนั่งพิงไปที่หัวเตียง เมื่อเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จเข้ามาก็พยายามจะลุกจากเตียงเพื่อคารวะ
นางกำนัลรับใช้ที่อยู่ข้างเตียงกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น จึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา
“ยังไม่รีบพยุงองค์หญิงนอนพักผ่อนอีก!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วขึ้น
นางกำนัลจึงรีบลุกขึ้นแล้วพยุงองค์หญิงสิบสี่เอาไว้ให้นอนลง
จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงได้เห็นรูปร่างหน้าตาขององค์หญิงสิบสี่
เด็กหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้อายุประมาณสิบห้าสิบหกปีวัยแรกแย้ม แต่ที่ใบหน้าของนางดูผอมซูบ ไร้ซึ่งความสดชื่นดุจเด็กหญิงวัยแรกแย้มแต่อย่างใด
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารนาง
“อาการหนักเพียงนี้ เชิญหมอหลวงมาให้การรักษาแล้วหรือไม่”
“เชิญแล้วเพคะ” ดวงตาขององค์หญิงสิบสี่เป็นประกายก่อนจะพยายามอย่างยิ่งในการกล่าวออกมาว่า “หม่อมฉันอกตัญญูยิ่งนัก ที่ให้เสด็จพ่อและฮองเฮาต้องเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ว่าแต่เมื่อครู่เสด็จแม่ได้เดินทางออกไปต้อนรับท่านทั้งสอง เหตุใดจึงไม่เห็นเสด็จแม่เล่าเพคะ”
เนื่องจากนางกำลังป่วยหนัก ในใจของนางมีเพียงมารดาผู้ให้กำเนิด หาใช่ฮ่องเต้และฮองเฮาที่นานๆ จะปรากฏกายขึ้นครั้งหนึ่งนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำสีหน้าสงบนิ่งก่อนจะกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องเอ่ยถามเสด็จแม่ของเจ้า ฮองเฮา อยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงสิบสี่ก่อน ข้าจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนนางยังดีๆ อยู่ เหตุใดจึงได้ป่วยหนักเช่นนี้ได้”
“เชิญฝ่าบาทวางใจได้เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก้าวขาออกไปด้านนอก บ่าวรับใช้รีบเข้ามากระซิบว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและคนอื่นๆ ได้ตรวจสอบดูภายในห้องพบว่าหน้าต่างทางตะวันตกเปิดอยู่ คาดว่าเฉินเหม่ยเหรินจะกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างพ่ะย่ะค่ะ…”
“หนีหรือ นางจะหนีไปที่ใดได้” จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินตรงเข้าไปทางห้องตะวันตกแล้วจ้องมองไปยังหน้าต่างนั้นด้วยสายตาเยือกเย็น
ด้วยความสงสาร เขาจึงยอมให้สองแม่ลูกได้มาเอ่ยลากันเป็นครั้งสุดท้าย แต่คาดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้จะใจกล้านัก
แสงอาทิตย์ส่องเจิดจ้าที่นอกหน้าต่าง ใบกล้วยสีเขียวปลิวไสวไปมาอย่างเชื่องช้า
นางคงจะหนีไปไม่พ้น ที่ด้านนอกมียามอยู่มากมาย หรือนางจะซ่อนตัวอยู่ในสวนหลังเรือนกัน
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นก็สามารถค้นหาจนเจอได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอามือไขว้หลังรอฟังรายงาน ทว่ากลับได้ยินข่าวร้าย
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เฉินเหม่ยเหรินผูกคอจบชีวิตลงที่บนต้นไม้ด้านหลังเรือนพ่ะย่ะค่ะ”
“นางผู้นี้!” ในที่สุดจิ่งหมิงฮ่องเต้ผู้สงบเสงี่ยมก็อดไม่ได้ที่จะโมโห
อวี้จิ่นได้แต่กลอกตามองอย่างเงียบๆ เขาโมโหเอาตอนนี้มีประโยชน์หรือ ก่อนหน้านั้นทำสิ่งใดอยู่เล่า หากเป็นตนละก็คงจะเข้าไปดึงสตรีนางนั้นเข้ามาตบสักสองที จนนางมึนงง ดูซิว่านางจะทำสิ่งใดได้อีก
เขาต้องการจะสืบหาผู้ร้ายที่ทำร้ายธิดาอันเป็นที่รัก แต่ก็ไม่อยากที่จะทำให้ธิดาอีกคนหนึ่งต้องหวาดกลัว ความสมบูรณ์แบบในโลกนี้มีที่ไหนกันเล่า…ช่างน่าโมโหนัก
ไม่รู้ว่าฮองเฮาเสด็จมาตั้งแต่เมื่อไร
“องค์หญิงสิบสี่เล่า”
“นางเหนื่อยล้าเสียจนหลับไปแล้วเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนจากความโกรธเป็นคำถามว่า “ฮองเฮา เจ้าว่าเหตุใดเฉินเหม่ยเหรินจึงคิดฆ่าตัวตายเช่นนั้น”
ฮองเฮาได้ยินดังนั้นจึงทอดสายตามองออกไปแล้วตอบเบาๆ “คงเกรงว่าจะทำให้บุตรสาวต้องลำบากไปด้วยกระมัง”
แสงเย็นวาบในดวงตาฮ่องเต้ปรากฏขึ้น “นั่นหมายความว่า การที่เฉินเหม่ยเหรินทำร้ายฝูชิง เกี่ยวข้องกับองค์หญิงสิบสี่อย่างงั้นหรือ”
หลังจากเขาฟังสิ่งที่ฮองเฮากล่าวออกมาแล้วก็โพล่งประโยคนี้ออกมา เมื่อกล่าวจบก็หันไปสบตากับฮองเฮา ดวงตาของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เฉินเหม่ยเหรินเลือกที่จะจบชีวิตตนเองลง แทนที่จะยอมรับสารภาพ นางยอมสละโอกาสแม้แต่จะพบกับบุตรสาวเป็นครั้งสุดท้าย เป็นไปได้ว่าหากความจริงถูกเปิดเผยจะส่งผลเสียต่อบุตรสาวของนาง
“องค์หญิงสิบสี่รู้เรื่องนี้หรือไม่”
ทั้งสองมองไปทางองค์หญิงสิบสี่อย่างไม่ได้นัดหมาย
การเจ็บป่วยของเด็กหญิงผ่านเข้ามาในหัวใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้
“ฝ่าบาทเพคะ เรื่องนี้จะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด” ฮองเฮากล่าวอย่างเคร่งขรึม มือทั้งสองข้างของนางสั่นไหว
หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนอ๋องถอดคราบนางรำผู้นั้นออก หากไม่ใช่เพราะพระชายาเยี่ยนอ๋องกล่าวว่าหญ้าไส้ขาดและยวนยางเถิงนั้นคล้ายคลึงกัน ผู้ใดเล่าจะคิดถึงว่าเหม่ยเหรินเพียงผู้นี้จะทำร้ายฝูชิง
นี่มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน หากไม่สืบสวนออกมาอย่างกระจ่างแจ้งนางคงจะนอนไม่หลับ
“ข้ารู้” เมื่อนางรำและเฉินเหม่ยเหรินสิ้นชีวิตลงตามติดกันไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบลงได้ “พานไห่จงไปตรวจสอบคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเฉินเหม่ยเหรินและองค์หญิงสิบสี่ทุกคน หากครั้งนี้มีข้อผิดพลาดอีกละก็ เจ้าอย่าได้กลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งอยู่ข้างหน้าต่างใบใหญ่บานใหญ่ เขาดื่มน้ำชาเข้าไปแก้วแล้วแก้วเล่า ในที่สุดพานไห่ก็กลับมารายงาน
“ตรวจพบสิ่งใดบ้าง”
พานไห่รู้ว่าความอดทนของฮ่องเต้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว เขาจึงไม่กล้าลังเลและรีบทูลว่า “เฉินเหม่ยเหรินมีหมัวมัวคนสนิทอยู่คนหนึ่ง เมื่อวานนี้นางล้มป่วยและจากไป คาดว่าหมัวมัวคนนั้นคงจะเป็นผู้ที่ทำงานให้กับเฉินเหม่ยเหริน และถูกเฉินเหม่ยเหรินฆ่าปิดปากพ่ะย่ะค่ะ”
ชีวิตในวังนั้นบางคนมีคุณค่ามหาศาล แต่บางคนยังไม่อาจเทียบเท่าได้แม้แต่ใบหญ้า
หมัวมัวที่ติดตามเหม่ยเหริน หากเจ็บป่วยก็ไม่อาจที่จะเชิญหมอหลวงมารักษาได้ เมื่อสิ้นใจลงก็ทำได้เพียงห่อฟางแล้วแบกออกไป
ผู้ที่ถูกหามออกไปเช่นนั้นในแต่ละปีมีมากมายนับสิบคน จึงไม่มีผู้ใดสังเกต
“เช่นนั้นหมายความว่าทั้งเฉินเหม่ยเหรินและคนสนิทของนางได้สิ้นชีวิตลงแล้ว จึงไม่มีผู้ใดรับรู้เรื่องราวอีก?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
ทว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็ยังคงจะอนุญาตให้เฉินเหม่ยเหรินกลับไปกล่าวลาบุตรสาวของนางเป็นครั้งสุดท้ายราวว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“นางกำนัลคนหนึ่งเคยได้ยินบทสนทนาระหว่างเฉินเหม่ยเหรินกับคนสนิทของนาง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระตือรือร้นขึ้นทันที “จงไปนำนางกำนัลผู้นั้นมา”
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกขอพาพระชายาออกไปรอด้านนอกก่อนพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นรีบฉวยโอกาสนี้กล่าวขึ้น
เรื่องบางเรื่องหากรู้มากเกินไปก็ไม่ดี
จิ่งหมิงฮ่องเต้โบกมือเป็นความหมายว่าให้พวกเขาทำตามใจ ในไม่ช้า นางกำนัลคนหนึ่งก็ถูกพาตัวเข้ามา
“จงบอกเรื่องที่เจ้ารู้แก่ฝ่าบาท”
นางกำนัลผู้นั้นนั่งลงบนพื้นหิน กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น “มีอยู่ครั้งหนึ่ง หม่อมฉันกำลังทำความสะอาดอยู่ในห้องหนังสือ ทันใดนั้นต่างหูข้างหนึ่งได้ตกลงไปตรงรอยแยกของชั้นหนังสือจึงเอื้อมมือไปเก็บมัน ไม่รู้ว่ามือนั้นสัมผัสโดนเข้ากับสิ่งใด เมื่อสัมผัสมันแล้วปรากฏว่าชั้นวางหนังสือก็แยกออก พบว่ามีทางลับอยู่ ประกอบกับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น หม่อมฉันตกใจจึงรีบเข้าไปหลบซ่อน ในไม่ช้าก็พบว่ามีคนสองคนเดินเข้ามาในห้องลับ คนหนึ่งคือเฉินเหม่ยเหรินอีกคนหนึ่งก็คือหมัวมัวคนสนิทของนางเพคะ…”
สถานการณ์บังเอิญเช่นนี้สำหรับนางกำนัลแล้วไม่ใช่สิ่งที่นางอยากจะจดจำนัก
นางคุกเข่าตัวสั่นระริกก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าซีดขาวว่า “หม่อมฉันได้ยินเหม่ยเหรินกล่าวว่า บัดนี้ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงรักษาหายแล้ว คาดว่าองค์หญิงสิบสี่คงจะประสบเคราะห์ร้ายอย่างแน่นอน…หมัวมัวปลอบนางว่าอย่าคิดมากกังวลใจไป แต่เหม่ยเหรินกลับกล่าวว่า นางกล่าวว่า…”
“กล่าวว่าอะไร” คราวนี้เป็นฮองเฮาที่ถามออกมาอย่างฉุนเฉียว
“นางกล่าวว่าเดิมทีตนเองก็ไม่เชื่อ แต่ในตอนนั้นที่ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงมองไม่เห็น องค์หญิงสิบสี่จึงได้มีอาการดีขึ้น องค์หญิงสิบสี่และองค์หญิงฝูชิงเกิดในวันเดือนปีเดียวกันและเวลาเดียวกัน ชะตาของทั้งสองถูกเชื่อมโยงกันไว้ ดวงของทั้งสองนั้น หากคนหนึ่งดวงตก อีกคนหนึ่งจะรุ่งเรือง…”