ประโยคนี้ของนางกำนัลเผยถึงข้อมูลมากมาย
นางกำนัลข้างกายของฮองเฮารีบเข้ามาพยุงเอาไว้ น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย “โชคชะตาของสิบสี่และฝูชิงถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยกัน? ดวงของทั้งสองแก่งแย่งกันและกัน? นี่มันคืออะไร”
การที่ทั้งสองเกิดในเวลาและวันเดือนปีเดียวกัน โชคชะตาและดวงก็จะต้องเชื่อมโยงกัน? น่าขำสิ้นดี!
ฮองเฮาสัมผัสได้ถึงอีกความหมายหนึ่งของนางกำนัลผู้นั้น นางกล่าวออกมาอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ว่า “นั่นหมายความว่าการที่ดวงตาของฝูชิงบอดมองไม่เห็น เกี่ยวข้องกับเฉินเหม่ยเหรินหรือ”
ข้อมูลนี้ทำให้นางตกตะลึงและสิ้นหวังจนแทบยืนไม่ไหว
หากอาการตาบอดของฝูชิงเกิดจากการกระทำของมนุษย์ แต่นางกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ปล่อยให้บุตรสาวต้องพบกับความขมขื่นมานานหลายปี นี่มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“พระชายาเยี่ยนอ๋อง เรียกพระชายาเยี่ยนอ๋องเข้ามา!” บัดนี้ฮองเฮาไม่มีเวลามาสนใจว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะประทับอยู่ที่นั่นหรือไม่ นางเอ่ยตะโกนขึ้นทันใด
พานไห่เหลือบมองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าใจดีถึงความรู้สึกและปฏิกิริยาอันไม่อาจควบคุมได้ของฮองเฮา จึงได้พยักหน้าเล็กน้อย
พานไห่จึงออกไปเรียกเจียงซื่อ
“ฮองเฮาอย่าเพิ่งใจร้อนไป” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
หลังจากได้ยินคำบอกเล่าของนางกำนัลผู้นั้นแล้ว ตัวเขาเองก็ตกตะลึงมาก แต่จะโมโหจนเสียสติไปไม่ได้ เรื่องราวดำเนินมาถึงตรงนี้แล้ว นอกจากการชี้แจงให้กระจ่างแจ้งไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย
หลังจากที่ฮองเฮาสงบสติอารมณ์ลงแล้ว แต่ถึงอย่างไรไฟลุกร้อนภายในใจนางก็ยังคงเผาผลาญทำให้หายใจไม่สะดวก
เจียงซื่อและอวี้จิ่นที่ยืนรออยู่ด้านนอกได้เข้ามาด้านในในเวลาต่อมา
“สะใภ้เจ็ด อาการทางดวงตาของฝูชิงในวันนั้นเจ้ากล่าวว่าไม่ได้เกิดจากการเจ็บป่วย แต่เป็นเพราะมีพยาธิหรือ”
เจียงซื่อพยักหน้า
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่นางแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าพยาธิเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยสาเหตุใด”
เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะมองไปทางอวี้จิ่น
การที่ฮ่องเต้เอ่ยถามเช่นนี้ เป็นเพราะเขามีคำถามข้องใจเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บทางดวงตาขององค์หญิงฝูชิงหรือ
หลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮาได้ฟังคำบอกเล่าของนางกำนัลข้างกายเฉินเหม่ยเหรินแล้วจึงได้เอ่ยถามออกมาเช่นนี้ คาดว่าอาการตาบอดขององค์หญิงฝูชิงคงจะไม่ธรรมดา
และนี่เป็นการยืนยันว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของนางถูกต้องแล้ว
ในวันนั้นที่นางกล่าวว่าดวงตาขององค์หญิงฝูชิงมีพยาธิอยู่ภายใน ที่จริงแล้วนางเพียงกล่าวออกไปเพื่อไม่ต้องการให้คนอื่นตื่นตระหนก เพราะความจริงแล้วดวงตาขององค์หญิงฝูชิงถูกหนอนพิษกู่บังตา
หนอนพิษกู่บังตาเป็นหนอนกู่ชนิดหนึ่งที่มีมานับหมื่นปี เป็นหนอนที่อาศัยอยู่ในดวงตามนุษย์และจะสร้างเยื่อบางๆ ขึ้นมาปิดดวงตาเอาไว้ จึงทำให้การมองเห็นถูกบดบัง
ผู้ใดที่ถูกหนอนชนิดนี้เข้าตาก็จะค่อยๆ มองไม่เห็น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ยิ่งไม่อาจมองไม่ชัด จนกระทั่งตาบอดไปในที่สุด
ทั้งนี้เนื่องจากการที่ดวงตาองค์หญิงมองไม่เห็นเป็นเพราะถูกเยื่อบางๆ ของหนอนกู่ชนิดนี้บดบังเอาไว้ ผู้ที่ชำนาญด้านทักษะเช่นนางจึงรักษาได้ง่ายยิ่ง เพียงแค่ลอกแผ่นบางๆ นั้นออกแล้วใช้น้ำยาชนิดพิเศษในการทำให้หนอนตัวนั้นออกมาก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงรักษาดวงตาขององค์หญิงได้อย่างง่ายดายในวันนั้น
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้น เจียงซื่อจึงทำได้เพียงตอบว่า
การที่นางรู้ว่ามีหนอนอยู่ในดวงตาขององค์หญิงฝูชิง เป็นเพราะนางมีความรู้เหนือธรรมชาติมาตั้งแต่กำเนิด เมื่อฮ่องเต้และฮองเฮาได้ฟังดังนั้นก็ไม่ติดใจเอาความ เนื่องจากหากบอกว่านางมีความเชี่ยวชาญในด้านพิษกู่ก็คงจะทำให้คนอื่นๆ หวาดกลัว
ผ่านไปชั่วครู่หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เจียงซื่อจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันรู้เพียงว่าหนอนกู่ชนิดนี้หายากนัก ดูจากเหตุผลแล้วองค์หญิงฝูชิงไม่น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับมัน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้และฮองเฮาหันมามองหน้ากัน
หนอนที่ทำให้องค์หญิงฝูชิงต้องตาบอดนั้นหายาก องค์หญิงฝูชิงไม่น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับพวกมัน นั่นหมายความว่ามีคนตั้งใจจะทำเช่นนี้?
สีหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด น้ำเสียงของนางสั่นคลอน “ฝ่าบาทเพคะ อาเฉวียน…อาเฉวียนถูกเฉินเหม่ยเหรินทำร้าย!”
วินาทีนี้โชคดีเหลือเกินที่ฮองเฮาไม่ได้ให้องค์หญิงฝูชิงติดตามมาด้วย หากนางรู้ว่าการที่นางต้องตาบอดมาเนิ่นนานเพราะถูกคนอื่นทำร้ายจะน่าเศร้าเพียงใด
ในพระราชวังอันหนาวเหน็บแห่งนี้ จะทำให้ผู้นางรู้สึกผิดหวังเพียงใด
“เป็นเพราะหม่อมฉันที่ไม่อาจปกป้องอาเฉวียนไว้ให้ดีได้ เพราะหม่อมฉันเองที่ไม่สามารถเป็นมารดาที่ดีได้…” ฮองเฮาแทบจะทรุดกายลง นางพึมพำออกมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตบไปที่แขนของฮองเฮาเบาๆ “ฮองเฮานี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง เรามาจัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ชัดเจนก่อนเถิด”
หลังจากรู้ว่าเหตุใดเฉินเหม่ยเหรินจึงได้ทำร้ายองค์หญิงฝูชิง เช่นนั้นเฉินเหม่ยเหรินกับนางรำมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร เรื่องที่ทำให้องค์หญิงถึงแก่พระชนม์มีกี่คนกันที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะต้องสืบหาให้กระจ่างแจ้ง
“พานไห่ ให้คนในตำหนักฉางเซิงแยกย้ายเถิด”
พานไห่ตอบรับจากนั้นรีบส่งคนไปจัดการทันที
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้อนุญาตให้อวี้จิ่นและเจียงซื่อเดินทางจากไป แต่ให้อยู่สอบสวนพร้อมกับพวกเขา
บัดนี้ทั้งเจียงซื่อและอวี้จิ่นรู้แล้วว่าเฉินเหม่ยเหรินกับหมัวมัวคนสนิทสนทนากันว่าอย่างไรบ้าง
พานไห่ยื่นหนังสือเล่มหนาให้แก่จิ่งหมิงฮ่องเต้
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ประสูติพร้อมกัน ทว่ากระหม่อมค้นพบเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่ง…” พานไห่หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมามอบให้แก่ฮ่องเต้ พร้อมกับกล่าวว่าพบเรื่องบางอย่างตามคำที่เฉินเหม่ยเหรินกล่าวไว้
หนังสือนั้นคือบันทึกการรักษาของหมอหลวงสำหรับผู้ที่อยู่ในพระราชวัง ซึ่งรายชื่อขององค์หญิงสิบสี่ก็ถูกระบุไว้ในนั้นด้วย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เปิดทอดพระเนตรแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าค้นพบสิ่งใดหรือ”
ฮองเฮากำพระหัตถ์แน่น
พานไห่ก้มศีรษะลงทูลว่า “นับตั้งแต่ประสูติมา องค์หญิงสิบสี่ร่างกายอ่อนแอและมักจะประชวรเป็นประจำ เมื่อครั้นอายุได้สามเดือนก็เริ่มดีขึ้น แต่ในเวลานั้นองค์หญิงฝูชิงก็เป็นไข้หวัด ตามบันทึกแล้วองค์หญิงฝูชิง รับการรักษาอยู่ประมาณสิบวันจึงดีขึ้น จากนั้นองค์หญิงสิบสี่ก็มีอาการไอเรื้อรัง จนกระทั่งองค์หญิงสิบสี่อายุได้ครึ่งปีเป็นผื่นแดง อาการไอขององค์หญิงสิบสี่จึงได้หายดี...”
จากที่พานไห่รายงานมา จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงเปิดหนังสือบันทึกการรักษาของหมอหลวง เปรียบเทียบการรักษาขององค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่
จนกระทั่งถึงไปถึงหน้าสุดท้าย พระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูซีดเผือดและนิ่งเงียบไป
ฮองเฮารีบคว้าหนังสือบันทึกการรักษาไปแล้วเปิดดูทีละหน้า
นิ้วมือของนางวางอยู่บนบันทึก เมื่อครั้งองค์หญิงฝูชิงชันษาได้ห้าปี
วิสัยทัศน์ขององค์หญิงสิบสามเลือนรางกะทันหัน หมอหลวงเข้าให้การวินิจฉัยจำนวนมาก แต่กลับไม่มีผล… หลังจากการรักษาอยู่หลายครั้ง มีบันทึกว่าการมองเห็นขององค์หญิงฝูชิงแย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตานางบอดสนิท
แม้ว่าบัดนี้ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงจะหายดีแล้ว แต่เมื่อใดที่ได้อ่านบันทึกอันขมขื่นนี้ พระทัยของฮองเฮาก็เจ็บปวดราวกับมีมีดปักกลางใจ
นางรีบเปิดดูบันทึกขององค์หญิงสิบสี่ จึงพบว่านับตั้งแต่องค์หญิงสิบสี่มีอายุได้ห้าปีจนกระทั่งปัจจุบันไม่มีบันทึกการเจ็บป่วยเลย กระทั่งเมื่อสองวันก่อนที่ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงหายดีแล้ว องค์หญิงสิบสี่จึงได้ล้มป่วยอีกครั้ง
ฮองเฮาหลับตาลงน้ำตาไหลริน
“ฝ่าบาทเพคะ เฉินเหม่ยเหรินคงจะเห็นว่าดวงตาของฝูชิงหายเป็นปกติแล้ว แต่องค์หญิงสิบสี่กลับเจ็บป่วยขึ้นอีก นี่คือเหตุผลที่นางมีเจตนาฆ่าฝูชิง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบ
บ่าวรับใช้คนหนึ่งตรงเข้ามารายงานกระซิบข้างหูพานไห่
พานไห่ได้ยินรายงานนั้นก็รีบทูลว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ สืบพบความสัมพันธ์ของเฉินเหม่ยเหรินกับนางรำผู้นั้นแล้ว”
“ว่ามา”
“เมื่อสี่ปีก่อนนางรำผู้นี้ถูกอาจารย์สอนเต้นรำอิจฉาริษยา เนื่องจากนางมีความสามารถอันโดดเด่น ด้วยเหตุนี้จึงถูกนางรำด้วยกันคนหนึ่งขัดขาเข้าจนทำให้บาดเจ็บ บังเอิญที่เฉินเหม่ยเหรินพบเห็นเข้า นางจึงมอบขี้ผึ้งทาขาเพื่อไม่ให้เป็นรอยแผลเป็นแก่นาง นางรำผู้นั้นรู้สึกซาบซึ้งใจในบุญคุณของเฉินเหม่ยเหรินเป็นยิ่งนัก อีกทั้งเคยกล่าวกับสหายคนสนิทว่าเฉินเหม่ยเหรินปฏิบัติต่อนางดีกว่ามารดาแท้ๆ เสียอีก…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น เขาก็โบกมือด้วยท่าทางอันเคว้งคว้าง “เจ้าเจ็ด พาชายาของเจ้ากลับไปเถิด”
บัดนี้เมื่อความจริงทุกอย่างปรากฏแล้ว ต่อไปผู้ใดควรให้รางวัลก็ต้องให้รางวัล ผู้ใดควรลงโทษก็ต้องนำตัวมาลงโทษ ส่วนงานไว้ทุกข์ก็ควรต้องจัดขึ้น สิ่งใดควรทำล้วนต้องทำ จึงไม่จำเป็นต้องกักตัวผู้ใดเอาไว้อีก
“ลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
“ลูกขอทูลลาเพคะ”
เมื่ออวี้จิ่นและเจียงซื่อจากไปแล้ว ฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
ผ่านไปครู่ใหญ่จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ฮองเฮา งานพิธีศพขององค์หญิงสิบห้าต้องรบกวนเจ้าด้วย”
ฮองเฮาก้มพระพักตร์แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ เดิมทีเฉินเหม่ยเหรินกล่าวว่านางก็ไม่เชื่อ แต่ต่อมาจึงจำเป็นต้องเชื่อ เช่นนั้นประโยคที่ว่าดวงชะตาของอาเฉวียนและสิบสี่แก่งแย่งกัน ไม่สมพงษ์กัน ผู้ใดเป็นคนกล่าวให้นางฟัง หนอนที่ทำให้อาเฉวียนต้องตาบอด อีกทั้งหญ้าไส้ขาดที่ทำให้สิบห้าถึงแก่ชีวิตมาจากที่ใด”
“…”