พระราชวังตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงแดดสีทองที่ทอส่อง สถานแห่งนี้ยังคงสง่างามและดูน่าเกรงขาม เป็นสถานที่ซึ่งผู้คนนับไม่ถ้วนในใต้หล้าล้วนโหยหา
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปทีละน้อย
เจียงซื่อและอวี้จิ่นเดินทางออกจากพระราชวัง มุ่งหน้าไปยังรถม้าของจวนเยี่ยนอ๋องที่จอดไว้อยู่ด้านข้าง
ผู้ที่เป็นสารถีที่ยังคงเป็นเหล่าฉิน และผู้ที่ถือร่มให้เจียงซื่อก็คืออาเฉี่ยว
เจียงซื่อรู้สึกเสมอว่าทุกคนล้วนมีจุดแข็ง สิ่งสำคัญก็คือจะต้องใช้มันให้ถูกต้อง
อาหมานจิตใจกล้าหาญไม่เกรงกลัวสิ่งใด ตามปกติแล้วนางเดินทางไปไหนมาไหนมักจะพาไปด้วย เพราะถึงอย่างไรผู้ที่เสียเปรียบก็คือคนอื่น แต่อาเฉี่ยวมีนิสัยระมัดระวัง เรียบร้อย เหมาะสมที่จะติดตามนางเข้ามาในพระราชวัง
เมื่อเดินทางมาถึงที่รถม้า อาเฉี่ยวก็เปิดม่านขึ้นแล้วพยุงเจียงซื่อขึ้นรถ
อวี้จิ่นกำลังจะก้าวขึ้นรถม้าเช่นกัน แต่เจียงซื่อเหลือบไปมองเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าขี่ม้ามาไม่ใช่หรือ”
“ข้ามีเรื่องอยากจะสนทนากับเจ้า”
เจียงซื่อมองไปที่รถม้าข้างหน้าแล้วกระซิบว่า “อาเฉี่ยวอยู่ที่นี่ด้วย เจ้าจะเบียดเข้ามาทำไม บัดนี้ท่านพ่อและคนอื่นคงจะรออยู่นานแล้ว เรารีบไปกันเถิด”
อวี้จิ่นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากถอดใจยอมแพ้แล้วหันไปรับสายบังเหียนที่เหล่าฉินมอบให้ จากนั้นขึ้นหลังม้าดำเนินไปข้างรถม้า
เหล่าฉินสะบัดแส้ของเขา รถม้าเคลื่อนตัวไปด้านหน้าท่ามกลางแสงอาทิตย์อย่างช้าๆ
บริเวณที่ไม่ไกลออกไปนัก มีรถม้าอีกขั้นคันหนึ่งจอดอยู่ ม่านปักลายเมฆสีทองเข้มถูกปล่อยลงมาช้าๆ เพื่อบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องประกายเข้าไปด้านใน
ภายในรถม้าตกแต่งด้วยความหรูหรา กลิ่นหอมอ่อนๆ ช่างยั่วยวนดึงดูดผู้คนให้หลงใหล
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเอนกายพิงไปที่ผนังในรถม้าแล้วเหลือบมองดูบุตรสาว
“หมิงเย่ว์ ความสัมพันธ์ของพระชายาเยี่ยนอ๋องและเจ้าไม่ดีหรือ”
เมื่อถูกองค์หญิงใหญ่หรงหยางเอ่ยถามขึ้นเช่นนั้น ชุยหมิงเย่ว์ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
สตรีแซ่เจียงกับนางนั้นแน่นอนว่ามีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกัน อีกทั้งยังไม่คิดปิดบังความรู้สึกที่ไม่ชื่นชอบนางเลย แต่เรื่องนี้นางจะบอกกับเสด็จแม่ไม่ได้
องค์หญิงใหญ่หรงหยางหลับตาลงเบาๆ “เจ้าทำตัวโง่เขลา หลวมตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนแซ่จูนั่นจึงทำให้เกิดข้อขัดแย้งเล็กน้อยกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง เดิมทีก็ไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ใด แต่พระชายาเยี่ยนอ๋องกลับก้าวกระโดดจากบุตรสาวของจวนปั๋วกลายมาเป็นพระชายาอ๋อง บัดนี้ฮ่องเต้พอพระทัยนางไม่น้อย จึงจำเป็นที่จะต้องระวัง…”
ชุยหมิงเย่ว์ที่นั่งอยู่ด้านข้างได้แต่ก้มหน้าลงแล้วฟังอย่างเงียบๆ
“โดยรวมเเล้วก็คือ บัดนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องกำลังกลายเป็นจุดสนใจ นับจากนี้ไปเจ้าอย่าได้ไปต่อล้อต่อเถียงกับนางหากไม่จำเป็น”
ชุยหมิงเย่ว์เงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วยิ้มเพื่อปกปิดคำเยาะเย้ยในใจ “ท่านแม่เกรงกลัวพระชายาเยี่ยนอ๋องหรือ”
ในความทรงจำของนาง มารดาผู้บังมักโต้เถียงกับบิดาของนางอย่างไม่ยอมลดละและไร้ความปรานีต่อทุกคน บัดนี้กลับเรียนรู้ที่จะยอมถอย
“กลัว?” องค์หญิงใหญ่หรงหยางมองไปทางบุตรสาวแล้วหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ฮ่องเต้ครองบัลลังก์มาเกือบยี่สิบปีแล้ว ผู้ที่เข้าตาฝ่าบาทมากมายนับพันคน แล้วพวกคนเหล่านั้นเป็นอย่างไรเล่า วันเวลาผันเปลี่ยนไป ดอกไม้ก็ต้องร่วงโรย ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่บัดนี้เราจะหลีกเลี่ยงนาง”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ปรับท่าทางการนั่งของนางให้ผ่อนคลายมากขึ้น “ที่สำคัญก็คืออย่าทำให้ไทเฮาต้องพิโรธ อย่าทำให้ฮ่องเต้ต้องพิโรธ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด”
พระชายาเยี่ยนอ๋องแล้วอย่างไรเล่า ต่อให้เป็นเยี่ยนอ๋องเองเมื่อพบกับนางยังต้องคารวะและเรียกนางว่าเสด็จอา แต่ช่วงนี้เสด็จพี่รู้สึกพอพระทัยพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นพิเศษ ดังนั้นการที่จะเป็นปรปักษ์ต่อพระชายาเยี่ยนอ๋องก็เท่ากับโง่เง่า
“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ชุยหมิงเย่ว์ตอบออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ในใจของนางยังคงดูถูกเหยียดหยาม
คนบางคนเหมือนกับแมวป่วย ความทะเยอทะยานของพวกเขาไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิด แต่บางคนก็เหมือนกับเสือที่ดุร้าย หากไม่ฆ่าพวกมันขณะที่ยังเป็นลูกเสือ ในอนาคตก็จะกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ที่แท้จริง
พระชายาเยี่ยนอ๋องเปรียบเช่นเสือที่ดุร้าย แน่นอนว่านางจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เติบโต!
เมื่อชุยหมิงเย่ว์กลับมาถึงจวนองค์หญิงใหญ่แล้ว นางดื่มชาหอมที่บ่าวรับใช้น้ำมาให้จนหมดภายในอึดใจเดียว กระนั้นก็ยังไม่สามารถกำจัดความกระวนกระวายในหัวใจไปได้
“คุณหนูเจ้าคะ” สาวรับใช้ดูเหมือนลังเลใจที่จะกล่าวบางอย่างออกมา
ชุยหมิงเย่ว์ขมวดคิ้วเข้าหากัน “กระอึกกระอักทำไม”
สาวรับใช้รีบกล่าวขึ้นว่า “บ่าวมีเรื่องอยากจะรายงานคุณหนูเจ้าค่ะ”
“ว่ามา” ชุยหมิงเย่ว์วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะแล้วกล่าวอย่างไร้ความอดทน
บ่าวรับใช้มองไปรอบๆ ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนูเจ้าคะ ในวันนี้ที่บ่าวติดตามคุณหนูเข้าไปในพระราชวัง บ่าวได้รออยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง และพบกับใครคนหนึ่งโดยไม่คาดคิด”
“ผู้ใด”
“สาวรับใช้ของพระชายาเยี่ยนอ๋องเจ้าค่ะ”
“แล้วอย่างไรเล่า” ชุยหมิงเย่ว์เอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ นางไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับสาวรับใช้ของเจียงซื่อเลย
สาวรับใช้ของนางทำท่าทางแปลกประหลาดแล้วกล่าวว่า “บ่าวมักจะพบกับนางเมื่อยามไปซื้อเซียงลู่ให้คุณหนู แต่พบว่าเถ้าแก่ร้านลู่เซิงเซียงปฏิบัติต่อนางอย่างให้เกียรติ ไม่เหมือนกับปฏิบัติต่อแขก คล้ายกับปฏิบัติต่อเจ้าของเสียมากกว่า…”
ชุยหมิงเย่ว์รีบลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน ท่าทางของนางดูเคร่งขรึม “เจ้าหมายความว่า…”
สาวรับใช้รีบกล่าวว่า “ในวันนี้บ่าวได้พบกับนางในพระราชวัง จึงได้นึกถึงเรื่องสถานการณ์ที่ดูแปลกไปในวันนั้นขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงรายงานแก่คุณหนูเจ้าค่ะ…”
“ทำได้ดีมาก” ชุยหมิงเย่ว์เอ่ยชม นางเคาะนิ้วมืออันเรียวยาวของนางลงบนโต๊ะเบาๆ
เถ้าแก่ร้านลู่เซิงเซียงต้องให้เกียรติบ่าวรับใช้เพียงนั้นเชียวหรือ
ชุยหมิงเย่ว์ยอดไม่ได้ที่จะคิด ตัวนางเคยเข้าไปในร้านเครื่องประทินโฉมที่ไม่โดดเด่นแห่งนี้ แล้วพบว่าในร้านเล็กๆ แห่งนั้น มีเซียงลู่ที่กลิ่นหอมยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เองนับแต่นั้นเป็นต้นมานางจึงมักให้บ่าวรับใช้ไปซื้อเซียงลู่ที่ร้านนั้น และเคยเดินไป เลือกซื้อของด้วยตนเองเป็นครั้งคราว
นางสวมเสื้อผ้าซึ่งมองดูก็รู้ว่าเป็นกุลสตรีชั้นสูง แต่ไม่เห็นว่าเถ้าแก่ร้านจะปฏิบัติต่อนางด้วยความนอบน้อมอย่างแต่อย่างใด
การที่เถ้าแก่ร้านปฏิบัติต่อสาวรับใช้ของพระชายาเยี่ยนอ๋องเช่นนั้น… ชุยหมิงเย่ว์เลิกคิ้วขึ้นแล้ววางมือกดลงไปที่โต๊ะ
หรือเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมอันแท้จริงแล้วคือพระชายาเยี่ยนอ๋อง?
ชุยหมิงเย่ว์หลับตาลง ขนตาเรียวยาวของนางตกกระทบเป็นเงาใต้ดวงตา ราวกับว่านางกำลังอยู่ในอารมณ์ที่มืดมนมาเนิ่นนาน เปลือกตาของนางสั่นคลอนเล็กน้อยแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นภายในใจ
มันเป็นความตื่นเต้นยินดี
หากว่ากว่าเบื้องหลังเจ้าของร้านลู่เซิงเซียงคือพระชายาเยี่ยนอ๋อง หากต้องการจะล้มล้างพระชายาเยี่ยนอ๋องจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ชุยหมิงเย่ว์นึกถึงคารมคมคายของอวี้จิ่นเมื่อครั้งอยู่ในตำหนักฉังเซิง อีกทั้งคำพูดของเจียงซื่อที่ดูสงบนิ่ง ทั้งสองสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ สิ่งนี้กระตุ้นความรู้สึกของนางเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้นางอยากจะทำลายทั้งสองทิ้งเสีย
เหตุใดทั้งสองจึงได้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ดึงดูดสายตาผู้คนได้เพียงนั้น
นางจะเริ่มลงมือจากร้านลู่เซิงเซียง แล้วมาดูกันว่าคราวนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องจะยังเย่อหยิ่งจองหองได้หรือไม่
……
ผู้คนในจวนตงผิงปั๋วรอคอยด้วยความกังวลเล็กน้อย
แม้ว่าสองสามีภรรยาได้รับจดหมายเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง แต่เฝิงเหล่าฮูหยินก็ยังคงสั่งให้คนเฝ้ายามอยู่ที่ประตู และรีบให้การต้อนรับเมื่อทั้งสองสามีภรรยากลับมาถึงอย่างรวดเร็ว
การที่จวนตงผิงปั๋วมีผู้ได้ขึ้นเป็นพระชายาอ๋องเช่นนี้ เพียงแค่คิดเฝิงเหล่าฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
นับจากที่เจียงซื่อออกเรือนไป เฝิงเหล่าฮูหยินก็ยังคิดว่าตนกำลังฝัน ในวันที่ควรเดินทางกลับจวน ทว่าไม่เห็นตัวนางเช่นนี้จึงทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินกระวนกระวายใจยิ่งนัก
เมื่อพบว่าดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก หัวใจของทุกคนก็ลุ่มๆ ดอนๆ
“เวลานี้แล้ว พวกเขาน่าจะไม่กลับมาแล้วกระมัง” เจียงจั้นยืนอยู่ที่หน้าปากประตู เอามือกอดอกแล้วบ่นพึมพำ
เจียงอันเฉิงจ้องไปที่เขา “หยุดพูดเรื่องไร้สาระสักที ตามธรรมเนียม หลังจากแต่งงาน วันที่สามฝ่ายหญิงต้องเดินทางกลับบ้านแม่ นางจะไม่มาได้อย่างไร เจ้าคิดว่าน้องสาวของเจ้าไม่ได้เรื่องได้ราวเช่นตัวเจ้าหรือ”
เจียงจั้นมองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
บิดาผู้ยิ่งใหญ่ของเขาเริ่มโมโหอีกแล้ว
นับตั้งแต่น้องสี่ออกเรือนไป ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะชอบจับผิดเขาอยู่เสมอ
จะว่าไปแล้วก็จริงอยู่ สองวันมานี้ที่ตัวเขาไปยังเรือนไห่ถัง แม้แต่ตัวเขาเองมองไปยังชิงช้าอันว่างเปล่าใต้ต้นไม้ก็ยังรู้สึกอึดอัดใจ แล้วนับอะไรกับท่านพ่อเล่า
“มาแล้วๆ!” ผู้ดูแลซึ่งยืนอยู่ตรงประตูจวนเห็นรถม้าของจวนเยี่ยนอ๋องขับตรงเข้ามาจึงรีบก้าวขาออกไป
เจียงอันเชิงเหลือบมองแล้วรีบเดินกลับไป
“ท่านพ่อจะไปที่ใด”
เจียงอันเฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ข้าจะกลับเข้าเรือน จะให้พ่อตาเช่นข้ายืนรอรับลูกเขยเข้าบ้านหรือ”
เมื่อมองตามหลังของเจียงอันเฉิงซึ่งวิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว เจียงจั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า