บทที่ 389 อยากให้เจ้าดูดี

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 389 อยากให้เจ้าดูดี

บทที่ 389 อยากให้เจ้าดูดี

“กู้จือเหวิน เจ้าคิดเรื่องนี้มาดีแล้วหรือ?” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเย็นชา และจ้องมองไปที่กู้จือเหวินอย่างไม่หวาดกลัว

ไม่มีความกลัวบนใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานเลย เมื่อกู้ซินเถาที่ได้สติกลับมาก็เห็นความเย็นชาที่ออกมาจากร่างกายของกู้เสี่ยวหวาน แล้วมองไปที่พี่ชายของนางที่กำลังถูกความโกรธเข้าครอบงำ ในใจของนางรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย นางจึงดึงแขนเสื้อของพี่ชายและกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ท่านพี่ พวกเราอย่าแข่งเลย ข้า… ข้ารู้สึกกลัวนิดหน่อย!”

“เจ้ากลัวอะไร?” เมื่อกู้จือเหวินเห็นท่าทางของกู้ซินเถา หากเขายอมแพ้โดยที่การแข่งขันยังไม่ทันได้เริ่มต้น ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไป เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ลูกธนูถูกยิงออกไปแล้ว และมันจะไม่มีวันหวนกลับคืน

ครั้นเห็นสีหน้าดูถูกและโกรธเคืองของกู้จือเหวิน หากแต่เขาไม่เอ่ยคำใดออกมา กู้เสี่ยวหวานสันนิษฐานว่าเขาเองก็คงจะเห็นด้วย นางเดินมาที่หลังโต๊ะ ยืนนิ่ง และหยิบพู่กันด้วยมือซ้าย

“ฮ่า ๆ กู้เสี่ยวหวาน เจ้าไม่รู้แม้แต่วิธีจับพู่กันอย่างนั้นหรือ? เจ้าใช้มือซ้ายจับพู่กันได้อย่างไร ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” กู้จือเหวินหัวเราะเมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังถือพู่กันด้วยมือข้างซ้าย ผู้คนอยู่รอบ ๆ ตัวเขาเมื่อเห็นมันก็ต่างพากันหัวเราะและกล่าวว่า “แม่นางผู้นี้กำลังจะแพ้ แค่พู่กันก็ถือสลับข้างกันเสียแล้ว”

สวีเฉิงเจ๋อไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานสามารถเขียนหนังสือได้ เมื่อเขาเห็นกู้เสี่ยวหวานถือพู่กันไว้ในมือซ้าย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล

ฉินเย่จือไม่ได้รีบร้อน เขาเคยเห็นตัวอักษรที่กู้เสี่ยวหวานเขียนแล้ว ตัวอักษรเหล่านั้นช่างงดงาม จะเป็นไปได้อย่างไรที่กู้จือเหวินกล่าวว่านางเป็นคนไม่รู้หนังสือ

กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงเฝ้าดูอย่างกังวลใจ เมื่อเห็นพี่สาวของพวกเขาถือพู่กันในมือซ้าย พวกเขาก็กลัวเล็กน้อย บางทีพี่สาวอาจจะประหม่าจนแม้กระทั่งพู่กันก็จับผิด

จ้าวเซิงซึ่งอยู่ด้านข้างมีสีหน้าที่อยากรู้อยากเห็น

ท่าทางของกู้เสี่ยวหวานที่ถือพู่กัน การเคลื่อนไหวของนางดูสง่างาม ท่าทางที่คุ้นเคยนั้นเห็นได้ชัดว่านางเป็นคนมีฝีมือ

กู้เสี่ยวหวานจับพู่กันด้วยมือซ้าย และหลังจากจุ่มพู่กันลงบนหินหมึกแล้ว นางก็ก้มศีรษะลง และเขียนลงบนกระดาษเซวียนจื่อ*[1]

การล้อเลียนของทุกคนในตอนแรกกลายเป็นความตกตะลึงและนึกไม่ถึง

“โอ้สวรรค์ นางเขียนด้วยมือซ้ายอย่างนั้นหรือ?”

“ท่านปู่สวรรค์ หญิงผู้นี้สามารถเขียนหนังสือด้วยมือซ้ายได้จริงอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเย่จือไม่ได้คาดว่ากู้เสี่ยวหวานจะทำสิ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้าและมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าคำที่กู้เสี่ยวหวานเขียนนั้นงดงามและมีความหมายราวกับหญิงสาวร่างบางเต้นรำอยู่กลางป่าอย่างสง่างาม เขาเคยเห็นเพียงกู้เสี่ยวหวานที่เขียนด้วยมือขวาเท่านั้น เขาไม่คิดว่านางจะสามารถเขียนด้วยมือซ้ายได้ ตัวอักษรที่เขียนออกมายังคงงดงามเหมือนอย่างเคย

เมื่อกู้จือเหวินเห็นกู้เสี่ยวหวานเขียนตัวอักษรได้ ปากของเขาก็อ้ากว้างพอที่จะยัดไข่ไก่เข้าไปได้

ในตอนเริ่มต้นเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ หลังจากที่เห็นกู้เสี่ยวหวานเขียนคำแรก เขาก็รู้สึกเสียใจและถอยกลับไปสองก้าวความตื่นตระหนก ดูเหมือนว่าเขาอยากจะหนีไป

คนรอบข้างต่างเฝ้าดูงานเขียนของกู้เสี่ยวหวานอย่างตั้งใจ จนไม่ได้สังเกตท่าทางและการเคลื่อนไหวของกู้จือเหวิน แต่จ้าวเซิงมองเห็นได้ชัดเจนและส่งสายตาให้คนรับใช้ที่อยู่รอบ ๆ ซึ่งคนรับใช้เหล่านั้นก็เข้ามาล้อมรอบกู้จือเหวินทันที โดยไม่ให้เขาขยับหนีได้แม้แต่น้อย

กู้เสี่ยวหวานยังคงเขียนอักษรได้อย่างรวดเร็วด้วยมือซ้ายของนาง และในเวลาไม่นานนางก็เขียนเสร็จ

หลังจากวางพู่กันก็เป่าให้หมึกบนกระดาษแห้ง จากนั้นจึงมองให้จ้าวเซิงและกล่าวด้วยความเคารพว่า “พ่อบ้านจ้าว รบกวนท่านแล้ว!”

จ้าวเซิงรับไป บนกระดาษมีตัวอักษรที่งดงามและมีความหมาย ตัวอักษรเหล่านี้เหมือนกับคนเขียน แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้งดงามไปเสียทั้งหมด แต่พวกมันก็มีความงดงามในตัวมันเอง

ทำให้ผู้คนไม่สามารถประเมินค่านางต่ำได้

จ้าวเซิงยื่นกระดาษในมือให้คนรับใช้ที่อยู่ถัดจากเขา แล้วคนรับใช้ก็รับไป เปิดมัน และเดินไปรอบ ๆ ทุกคนที่ได้เห็นทั้งหมดต่างยกย่อง “เห้อ ขนาดข้าเขียนด้วยมือขวายังไม่งดงามเท่านี้เลย!”

“ใช่แล้ว ข้าไม่นึกเลยว่าเด็กสาวในหมู่บ้านอู๋ซีจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ มันแปลก แปลกมาก!”

จ้าวเซิงเองก็อยากรู้อยากเห็นมากเช่นกัน และเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นว่า “ข้าขอถามแม่นาง เจ้าเรียนรู้ทักษะนี้มาจากที่ไหน?”

แน่นอนว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่พูดว่าตนเคยเรียนมามากกว่าสิบปีในชีวิตก่อนหน้านี้ นางโกหกว่า “พ่อของข้าสอนมา”

ลายมือด้านซ้าย กู้เสี่ยวหวานจงใจเขียนเบี้ยวเล็กน้อย เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเห็นว่านางฝึกฝนคำนี้มานานกว่าสิบปี

“เหลวไหล พ่อของเจ้าเป็นชาวนาชั้นต่ำ เขาจะรู้หนังสือได้อย่างไร อย่าคิดว่าข้าไม่รู้! พวกเจ้าอย่าเชื่อนาง นางกำลังโกหกพวกเจ้าอยู่ พ่อของนางไม่ได้สอนมา!” กู้จือเหวินตะโกน “นางเป็นแค่คนหลอกลวง”

“เจ้าแปลกใจอะไรกัน ครอบครัวของข้าและเจ้าแยกจากกันมานานแล้ว เจ้าจะมารู้ได้อย่างไรว่าพ่อของข้าทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง? พ่อของข้ายังมีทักษะมากมายที่พวกเจ้ายังไม่รู้!” กู้เสี่ยวหวานโต้กลับอย่างดุดัน

“ทุกท่าน ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว แม่นางกู้ชนะ นายน้อยผู้นี้ก็ควรจะทำตามที่พูดไว้ไม่ใช่หรือ?” จ้าวเซิงกล่าวกับกู้จือเหวินทันทีหลังจากที่เห็นว่าทุกคนได้เห็นแล้ว “เมื่อครู่นายน้อยรับปากแล้ว คราวนี้นายน้อยคงไม่คิดที่จะกลับใช่หรือไม่?”

เมื่อเห็นใบหน้าของกู้จือเหวินซีดเผือด จ้าวเซิงจึงกล่าวอย่างไม่พอใจ

กู้จือเหวินรู้สึกกลัวเล็กน้อย ความมั่นใจและความสูงส่งเมื่อสักครู่ถูกทำลายลงด้วยการเหยียบย่ำของกู้เสี่ยวหวาน

ครั้นเห็นใบหน้าของกู้จือเหวินซีดเผือดและยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่กล่าวอะไร เมื่อผู้คนเห็นว่ากู้จือเหวินยืนนิ่งงันและไม่มีทีท่าจะกล่าวคำขอโทษต่อกู้เสี่ยวหวานเลย ทุกคนต่างก็ชี้ไปที่เขาและเริ่มวิพากษ์วิจารณ์

“คนผู้นี้เป็นอะไรกัน? เมื่อครู่นี้สัญญาไว้แล้ว ทำไมถึงไม่ทำล่ะ?”

“ฮ่า ๆ เขาคงจะกลัวที่ต้องเห่าเหมือนสุนัขน่ะสิ! ฮ่า ๆ”

“คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว”

สีหน้าของกู้จือเหวินเปลี่ยนไป เมื่อมองไปรอบ ๆ เสียงของฝูงชนรอบตัวเขาก็ดังขึ้น “คนผู้นี้พยายามจะปฏิเสธอยู่หรือ? เหตุใดจึงยังไม่เริ่มอีก?”

กู้จือเหวินกะพริบตา เขามองไปยังคนรับใช้ที่อยู่รอบตัวเขา จากนั้นมองไปที่จ้าวเซิงที่จ้องมองมาที่ตนเองโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ

เมื่อเห็นร่างกายที่สั่นเทาของกู้จือเหวิน กู้เสี่ยวหวานก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กู้จือเหวิน เจ้าคงจะไม่กลับคำของเจ้าอีกครั้งหรอกนะ? ข้ากำลังรอคำขอโทษของเจ้าอยู่นะ!”

กู้จือเหวินเก็บสีหน้าไม่อยู่และหมายจะวิ่งหนี แต่คนรับใช้ที่อยู่ถัดจากเขาไม่ได้อ่อนแอ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบล้อมกู้จือเหวินเอาไว้ไม่ให้เขาหนีออกไปได้

เมื่อเห็นการกระทำเช่นนี้ เสียงของผู้คนรอบข้างก็ดังขึ้น “ว้าว คนผู้นี้กำลังจะวิ่งหนีจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะขอโทษเลย”

*[1] เซวียนจื่อเป็นกระดาษที่มีคุณภาพสูง และมีคุณสมบัติพิเศษ คือ สีกระดาษจะขาวสะอาด เนื้อกระดาษละเอียด นุ่ม และเบา กระจายน้ำหมึกได้สม่ำเสมอและชัดเจน ไม่เปื่อยยุ่ยง่าย