บทที่ 391 ปลุกระดมมวลชน
บทที่ 391 ปลุกระดมมวลชน
ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ขอโทษ! เขาไม่กลัวเลยสักนิดกับแค่การถูกตบเพียงไม่กี่ที
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นกู้จือเหวินกล่าวดำเป็นขาวและกล่าววาจาไร้สาระ นางก็อยากจะปรบมือให้เขาจริง ๆ
คนผู้นี้ต้องการข่มเหงนางอย่างนั้นหรือ? โชคดีที่ยังมีคนจับตาดูอยู่มากมาย ใครที่ผิดทุกคนก็คงจะเห็นอยู่กับตา ไม่เช่นนั้น ตนเองก็คงจะกลายเป็นฝ่ายผิดไปเสียแล้ว
กู้เสี่ยวหวานจะไปดูถูกกู้จือเหวินได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้กู้จือเหวินเลิกหยิ่งยโสให้ได้ มิฉะนั้น หากเขารังแกกู้หนิงอัน กู้เสี่ยวหวานก็คงจะต้องเสียใจจนตาย ดังนั้นจึงต้องทำให้เขาจำมันไว้ให้ขึ้นใจ แล้วมาดูกันว่าเขายังจะกล้ามีความคิดที่ไม่ดีต่อกู้หนิงอันอีกหรือไม่
กู้เสี่ยวหวานคิดเกี่ยวกับมันและกล่าวว่า “พ่อบ้านจ้าว หากคนผู้นี้จะไม่ทำก็ไม่เป็นอะไร วันนี้เป็นขอบคุณสำหรับการเป็นพยานให้ข้า”
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่กล่าวถึงเรื่องการจัดการกับกู้จือเหวิน จ้าวเซิงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและเอ่ยถามต่อไปว่า “แม่นางกู้ เมื่อครู่คนผู้นี้ดูถูกเจ้า เจ้าไม่ต้องการแก้แค้นแล้วหรือ?”
“หึหึ!” กู้เสี่ยวหวานหัวเราะเสียงเบา “เหตุใดข้าถึงไม่อยากทำล่ะ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าคิดแล้วข้าจะทำได้ กู้จือเหวินเป็นเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำเดือด*[1] ดังนั้นข้าเดาว่าเขาคงจะปิดปากเงียบ ข้ารู้มานานแล้วว่าเขาเป็นคนประเภทไหน แล้วยังจะไปสัญญากับเขาอีก ลืมมันไปเถอะ…” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ปล่อยเขาไปเถอะ!”
ครั้นเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกล่าวออกมา จ้าวเซิงก็ไม่สามารถจับคนอื่นได้อีกต่อไป เขาโบกมือ และกลุ่มคนรับใช้ก็แยกย้ายกันไปทันใด กู้จือเหวินที่ได้รับบาดเจ็บที่แขนจากการถูกคนเหล่านี้จับไว้ เขาถ่มน้ำลายที่ผสมกับเลือดออกมาพลางมองที่กู้เสี่ยวหวานและก่นด่าอย่างหยาบคาย “เจ้าเด็กเวร เจ้าควรปล่อยข้านานแล้ว วันนี้เจ้าตบข้าหลายครั้ง สักวันหนึ่งข้าจะเอาคืนเจ้าเป็นสองเท่า”
“แล้วเรื่องในวันนี้ กู้จือเหวิน เจ้าจะเอาคืนด้วยหรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานยิ้มเจ้าเล่ห์ กู้จือเหวินไม่ตอบสนองใด ๆ และเมื่อผ่านไปสักครู่จึงตอบโต้อย่างรวดเร็ว “นี่มันกฎบ้าอะไรกัน! ข้าไม่แปลกใจเลย คนชั้นต่ำไร้ยางอายอย่างพวกเจ้าต้องการให้ข้าคนนี้ขอโทษอย่างนั้นหรือ เหตุใดไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้าง ข้าแค่ล้อเล่นนิดหน่อย เจ้ากลับทำจริงจังไปได้!” กู้จือเหวินกล่าวประชดประชัน
สวีเฉิงเจ๋อรีบกล่าวเสียงดัง “กู้จือเหวิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
กู้จือเหวินไม่ได้คาดคิดว่าสวีเฉิงเจ๋อจะยังอยู่ที่นี่ในเวลานี้ และเขายังได้ยินคำพูดของตนเองในตอนนี้อีก เมื่อเห็นความโกรธบนใบหน้าที่งดงามของสวีเฉิงเจ๋อ กู้จือเหวินก็กังวลเล็กน้อย หากแต่ยังกล่าวด้วยความมั่นใจ “อาจารย์สวี ข้าไม่ได้พูดถึงท่าน! ข้ากำลังพูดถึงคนเหล่านี้อยู่…” กู้จือเหวินหันกลับมาและขยับนิ้วของเขาชี้ไปทีละคน ราวกับว่าคนรอบข้างเขาเป็นพวกคนชั้นต่ำ
“กู้จือเหวิน เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนชั้นต่ำเช่นกันสินะ?” กู้เสี่ยวหวานกล่าวทีละคำ “เจ้าจะบอกว่าการที่เก็บผลผลิตจากดินหมายถึงการเป็นคนชั้นต่ำอย่างนั้นหรือ? การที่หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเป็นคนชั้นต่ำอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าก็ขอถามว่าปู่กับย่าของเจ้าทำงานอะไร? พ่อของเจ้าทำงานอะไรก่อนไปเรียนหนังสือ? หากไม่มีคนเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าจะกินอะไร? ถ้าข้าวและข้าวฟ่างปลูกโดยคนชั้นต่ำที่เจ้าพูด หากไม่มีพวกเขา เจ้าจะกินอะไร?”
กู้เสี่ยวหวานสร้างบรรยากาศของผู้คนรอบ ๆ ขึ้นมา ในที่แห่งนี้มีหลายคนที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป เมื่อเห็นว่ากู้จือเหวินบอกว่าพวกเขาเป็นคนชั้นต่ำ ทุกคนก็มีสีหน้าน่าเกลียด
กู้จือเหวินมองไปที่ผู้คนที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยความหวาดกลัว และมีสัญญาณของความโกรธปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา
“เจ้า… พวกเจ้า… จะทำอะไร!”
“กู้จือเหวิน วันนี้ข้าที่เป็นตัวแทนของของหอหนังสืออวี้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าอย่าเข้าไปในหอหนังสืออวี้ของข้าอีก” ใบหน้าของสวีเฉิงเจ๋อมืดมนและกล่าวอย่างไม่พอใจมากเช่นกัน “การที่คนอย่างเจ้ามาเรียนหนังสือก็ถือว่าเป็นการดูถูกนักปราชญ์!”
กู้จือเหวินผู้นี้ไม่ใช่นายน้อย แต่กลับเป็นโรคนายน้อยที่มีอาการทำตัวหยิ่งผยอง และไม่รู้ว่าใครสอนเขามา!
ถ้าคนแบบนี้อยู่ในหอหนังสืออวี้ เกรงว่าจะไม่รู้ว่าจะเกิดโชคร้ายอะไรขึ้นในอนาคต
สวีเฉิงเจ๋อคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคำพูดคำเหล่านี้ยังเป็นการเตือนกู้จือเหวินว่า ถ้าเขาทำอะไรผิด เขาก็จะถูกลงโทษ
เมื่อเห็นความจริงจังของสวีเฉิงเจ๋อ กู้จือเหวินก็คร่ำครวญในใจและกล่าวออกมา
“ไม่ได้ ๆ ไม่ได้เด็ดขาด…” เสียงที่ดูกังวลดังมาจากภายนอกฝูงชน และฝูงชนก็หลีกทางให้เขาโดยทันที คนผู้นั้นคือกู้ฉวนลู่ เขาจับชายเสื้อและเดินไปหากู้จือเหวินอย่างกังวล
ในเทศกาลหยวนเซียว กิจการในร้านอาหารค่อนข้างดี กู้ฉวนลู่จึงอยู่ในร้านอาหารตลอดเวลา ลูกค้าสองสามคนบังเอิญผ่านมาทางฝั่งนี้และกำลังพูดถึงเรื่องนี้พอดี
เมื่อเขาได้ยินว่ากู้จือเหวินทายปริศนามากมายอย่างต่อเนื่อง กู้ฉวนลู่ก็ดีใจมาก
เมื่อเขาได้ยินว่ากู้จือเหวินกับกู้เสี่ยวหวานกำลังเดิมพันในการทายปริศนา กู้ฉวนลู่ก็ปลื้มใจเป็นอย่างมาก
กู้ฉวนลู่ผงะเมื่อเขาได้ยินว่ากู้จือเหวินทายปริศนาไม่ได้ แต่กู้เสี่ยวหวานกลับทายได้
เมื่อเขาได้ยินว่ากู้จือเหวินไม่ทำตามสิ่งที่เขาสัญญาไว้ และนั่นไม่ใช่การกระทำของสุภาพบุรุษ กู้ฉวนลู่ก็วิ่งออกไปด้วยความตกใจ
วิ่งไปตลอดทาง ด้านนอกฝูงชน เขาได้ยินเสียงเคร่งขรึมของสวีเฉิงเจ๋อไล่กู้จือเหวินออกจากสำนักศึกษา
นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
กู้ฉวนลู่ตะโกนโดยไม่ต้องคิด “ไม่ได้ ไม่ได้…”
เมื่อเขาฝ่าฝูงชนเข้าไปก็เจอกับกู้จือเหวินและคนอื่น ๆ แต่กู้ฉวนลู่เห็นเพียงแก้มซ้ายของกู้จือเหวินที่บวมแดง และมีเลือดไหลซึมตรงมุมปาก กู้ฉวนลู่รู้สึกเป็นทุกข์มากเมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของลูกชาย
ครั้นกู้ฉวนลู่เห็นเช่นนั้น กู้ซินเถาที่ล้มอยู่บนพื้นก็รีบลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วและน้ำตาแห่งความคับแค้นใจก็ไหลออกมา “ท่านพ่อ พวกเขารังแกข้าและท่านพี่! ฮือ ๆ…”
กู้ซินเถาผู้นี้เป็นคนร้ายที่ยื่นฟ้องเหยื่อก่อน แต่กู้เสี่ยวหวานก็ไม่กลัวนาง
กู้ฉวนลู่เอ่ยถามกู้จือเหวินว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างด้วยความเป็นห่วง เมื่อเขาได้ยินกู้จือเหวินบอกว่าสบายดี กู้ฉวนลู่ก็หันกลับมา ดวงตาของเขากวาดไปรอบ ๆ ราวกับจระเข้ที่อยากกินคน และเมื่อเขาเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานอยู่ในหมู่พวกเขา และมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าเย็นชา กู้ฉวนลู่ก็กำมือของเขาแน่น พยายามยับยั้งตัวเองไม่ให้พุ่งไปใส่กู้เสี่ยวหวาน
บาดแผลบนใบหน้าของกู้จือเหวินเกิดขึ้นเพราะกู้เสี่ยวหวานเป็นผู้ลงมือ
หมัดของกู้ฉวนลู่กำแน่นและคลาย คลายและกำแน่น ดวงตาของเขาคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งโทสะ และจ้องมองที่กู้เสี่ยวหวานอย่างชั่วร้าย
*[1] มีผิวหนา มีลักษณะอันธพาล มักใช้สำหรับการเสียดสีหรือการดูถูก